Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
เรื่องเล่าของเราเอง
•
ติดตาม
9 ก.ย. 2023 เวลา 13:16 • นิยาย เรื่องสั้น
ชีวิตบัดซบที่คิดว่าไม่มีจริง EP.5 นักเรียน - นักเลง
ตอนนั้นเราวิ่งเข้าหาหนึ่งในกลุ่มนั้นและสาวหมัดใส่ไป 2 – 3 ที แล้วก็ฉากหลบออกมาแต่ก็โดนสวนกลับมา 2 หมัดแค่ปากแตกเล็กน้อย แล้วก็เกิดเสียงระเบิดดังขึ้น 2 ครั้ง พร้อมเสียงปืน 1 นัด... บึ้ม..บึ้ม เปรี้ยง!!!
1
หลังจบ ม.3 เราก็สมัครสอบเข้าเรียนวิทยาลัยเทคนิค ซึ่งเป็นวิทยาลัยชื่อดังของจังหวัดอยุธยา ตอนนั้นการแข่งขันในการสอบเข้านั้นสูงมาก มีความเป็นไปได้ที่เราจะสอบได้ประมาณ 50-50 โดยใช้ความรู้ที่เรามีครึ่งหนึ่งและดวงอีกครึ่งหนึ่งเลยทีเดียว เราจึงมาปรึกษาพ่อเรื่องการสอบเข้า พ่อถามว่าจะต้องเสียตังเท่าไหร่ถึงจะเข้าเรียนได้เพราะถ้าสอบเข้าไม่ได้แกกลัวเสียหน้า เพราะพ่อเราเป็นที่รู้จักและมีชื่อเสียงในระแวกนั้น เราบอกว่าไม่ต้องเสียเงินนะพ่อ
6
ถ้าสอบได้ก็เรียนถ้าสอบไม่ได้ก็หาเรียนที่อื่นเรียนก็ได้ เราตั้งใจอ่านหนังสือเพราะเราไม่อยากให้พ่อเสียเงิน เราตื่นเต้นมากตอนประกาศผลเรามองทีละชื่อ ชื่อเราอยู่ในช่างสาขาอิเล็กทรอนิค เราสอบติดแล้ว เย้!! คนแรกที่เราอยากบอกคือพ่อของเรา ความรู้สึกตอนนั้นเราโคตรภูมิในตัวเองเลยสอบได้โดยที่พ่อไม่ต้องเสียตัง แต่ก็ไม่รู้ว่าพ่อภูมิใจในตัวเราบ้างหรือป่าว เขารู้สึกอย่างไร คำถามเหล่านี้วนเวียนอยู่ในหัวเราตลอด แต่เราก็ไม่เคยรู้เพราะเค้าไม่เคยพูดออกมาเลย
1
เปิดเรียนวันแรกเราไปวิทยาลัยแต่เช้า เราตื่นเต้นมากเพราะวันนี้เป็นการเริ่มต้นชีวิตวัยรุ่นของเราอย่างเต็มรูปแบบ มีอิสระมากขึ้น การเรียนที่นี่แบ่งเป็นภาคเช้าและภาคบ่าย เราเรียนภาคเช้าเริ่มเรียนตั้งแต่ 8 โมงเช้าถึงประมาณเที่ยงๆก็เลิกแล้ว เป็นอะไรที่เราไม่เคยสัมผัสมาก่อน แรกๆก็กลับถึงบ้านตั้งแต่บ่ายพออยู่ไปเรื่อยๆ ห้องเรามี 25 คน พวกเราสนิทกันเร็วมาก เราเริ่มติดเพื่อนจากที่เรากลับบ้านบ่ายเราเริ่มกลับบ้านเย็น แต่ที่เราเสียดายอยู่อย่างหนึ่งคือเราไม่ได้เล่นดนตรีแล้ว
3
เพราะที่นี่ไม่มีเครื่องดนตรี เราคิดว่าเราโตแล้วคนในบ้านจะไม่ทำร้ายเราแล้วแต่ก็มีเรื่องให้โดนทำร้ายอีกจนได้เพราะปลาหมึกถุงเดียว ในเย็นวันหนึ่งหลังจากกลับจากเรียน เราเข้าไปในบ้านอาบน้ำเสร็จก็รู้สึกหิวเลยไปหาอะไรกินในครัว สายตาเหลือบไปเห็นปลาหมึกเส้น(เหมือนปลาหมึกเต่าทองหากใครนึกไม่ออก)อยู่ 1 ถุง บนหลังตู้เย็นเราก็หยิบเอามากินไปจำนวนหนึ่งโดยไม่คิดอะไร และแล้วพอพ่อกลับมาบ้านเข้าไปในครัวพ่อตะโกนลั่นออกมาจากในครัว “ใครกินปลาหมึกหลังตู้เย็น”
6
เราตอบทันควัน “ผมเองครับพ่อ” เท่านั้นเองเราโดนพ่อลากเข้าไปในครัวแล้วก็กระทืบเราอยู่พักหนึ่งจนพอใจของพ่อ ระหว่างที่โดนกระทืบพ่อด่าเราว่า “ไอ้สัตว์...ปลาหมึกนี้กูจะเอาไว้ให้เพื่อนที่จะมาบ้านกิน มึงไม่มีสิทธิ์กิน” ความรู้สึกคือเราผิดอะไร เราไม่มีความสำคัญกับพ่อขนาดนั้นเลยหรือ ก็เราไม่รู้นี่นา ไม่มีใครบอกเราทำไมต้องทำกับเราถึงขนาดนี้ด้วย
3
เราเจ็บระบมอยู่หลายวันเวลาไปเรียนเพื่อนก็ถามว่า “เป็นอะไร” เราก็ได้แต่บอกว่า “ป่าวไม่ได้เป็นอะไร แค่รถล้มเลยเคล็ดขัดยอกนิดหน่อย” แต่ในความรู้สึกมันแน่นในอกไปหมด สับสน ไม่รู้จะระบายให้ใครฟังสิ่งที่เราเจอตั้งแต่เด็กจนถึงปัจจุบันมันเหมือนระเบิดเวลาที่พร้อมจะระเบิดได้ทุกเวลา
เพื่อนที่จบม.3 ต้องห่างกันเพราะต่างคนต่างแยกย้ายกันไปไปหลังจบ บางคนเรียนสายสามัญ บางคนเรียนอาชีวะ แต่มีคนหนึ่งที่เราคิดถึงและเป็นคนเดียวที่เป็นกำลังใจให้เรามีชีวิตอยู่ได้ในสภาพที่เราต้องอดทนต่อครอบครัวเรา นั่นคือ “เกศ” ผู้หญิงที่ผมรัก เธอไม่ได้เรียนต่อแต่ไปทำงานในบริษัทเอกชนแห่งหนึ่งในอยุธยาเธอให้เหตุผลว่าแม่ไม่มีเงินที่จะส่งเสียให้เรียนต่อเลยต้องไปทำงานเพื่อหาเงินผมก็ไม่ได้ขัดข้องอะไร
2
ในช่วงแรกๆเราก็ติดต่อเกศได้อยู่โทรไปหาเธอที่ทำงานทุกวันเวลาพักเที่ยงจากตู้โทรศัพท์สาธารณะ ในยุคนั้นยังไม่มีมือถือ ถ้าใครทันอารมณ์ก็น่าจะเป็นแบบผมที่จะต้องไปรอคิวที่ตู้โทรศัพท์เตรียมเหรียญไปเป็นกำๆเพื่อเตรียมหยอดต่อเวลา คุยไปยิ้มไปม้วนสายไปจนพันกันเหมือนคนบ้า
1
ขอบคุณภาพ: https://www.posttoday.com/politics/420597
เป็นเวลากว่า 1 ปีที่เราทำแบบนี้ จนกระทั่งความสัมพันธ์ที่มีระหว่างเรากับเกศก็เริ่มจางไป อาจจะเป็นเพราะความห่างและความที่เราเป็นห่วงโทรไปหาทุกวันจากความคิดถึงกลายเป็นความรำคาญซึ่งเธอเคยตะคอกเราผ่านโทรศัพท์ว่า “จะโทรมาทำไมนักหนาน่ารำคาญ!!!” นั่นทำให้เรารู้ว่าเธอเปลี่ยนไปแล้วอาจจะเป็นเพราะเธอเจอใครใหม่ หรืออาจเป็นเพราะสังคมโรงงานที่เธอได้เจอทำให้เธอมองเห็นว่าใครที่สามารถดูแลเธอได้ดีว่าเรา ซึ่งยังมองไม่เห็นอนาคตด้วยซ้ำในตอนนั้น เราจึงต้องจำใจปล่อยให้เธอไปมีอนาคตที่ดีกว่า
2
แต่มันคือการที่เราปล่อยให้กำลังใจสิ่งสุดท้ายที่มีนั้นหลุดหายไป และคิดน้อยใจในโชคชะตาว่า“เรามันก็เป็นแค่คนที่ไม่มีสิทธิ์ก็ผิดตั้งแต่วันที่เราเกิด” สิ่งที่ต้องทำต่อไปคือการหาสิ่งยึดเหนี่ยวจิตใจสิ่งใหม่เพื่อให้ชีวิตที่เหลืออยู่เดินต่อไปได้นั่นคือ “เพื่อน”
ระหว่างที่เริ่มเรียน ปวช.1 การคบเพื่อนส่วนใหญ่ในการเรียนสายอาชีพหรือเรียกอีกอย่างว่าสายช่างก็จะมีแต่พวกห้าวๆพวกเกรียนๆนักเลงๆ การทำตัวให้เพื่อนยอมรับในตัวเรานั้นค่อนข้างที่จะต้องใช้ความกล้าบ้าบิ่นอยู่พอสมควร ในสมัยนั้นจะมีวิทยาลัยอยู่ 5 สถาบันได้แก่ เทคนิค เทคโน วิทยาลัยต่อเรือ พานิชย์ในและพานิชย์นอกและก็มีพวกบ้าสถาบันอยู่หลายคนซึ่งเราก็ต้องร่วมไปไหนไปกัน ซึ่งเราก็ไม่ชอบแต่ก็ตามๆพวกนั้นไปโดยจะใส่เสื้อช็อปเดินไปเป็นกลุ่มๆถือไม้ทีหรือพกเวอร์เนียร์(เครื่องมือวัดชนิดหนึ่ง)ถือไว้เท่ห์ ๆและป้องกันตัว
ส่วนรุ่นใหญ่ๆก็จะมีเหล็กขูดชาร์ปหรือไม่ก็ปืนปากกามีหลายครั้งที่มีปากเสียงกันส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องไร้สาระของวัยรุ่นทั้งนั้นและก็มีหลายครั้งที่มีการปะทะกันแต่ก็ไม่ร้ายแรงเท่าไหร่ และก็มีหลายๆครั้งที่เราเป็นคนห้ามเพราะเราคิดว่ามันไร้สาระแต่มีอยู่ครั้งหนึ่งที่เรารอดตายมาได้แบบหวุดหวิด...ในหมู่พวกเราจะรู้กันว่าในทุกวันศุกร์ของทุกสัปดาห์พวกที่มีเรื่องกันจะนัดมาเจอกันที่ท่ารถประจำทางในตัวจังหวัดเพื่อเคลียปัญหากันหรือเรียกอีกอย่าว่า “วันเก็บโจทย์”
6
ซึ่งในวันศุกร์หนึ่งเป็นเวลาที่เราจะต้องกลับบ้านโดยเวลานั้นเราไปถึงท่ารถพอดีเป็นจังหวะที่มีการรวมตัวของนักเรียนสองสถาบันนั่นคือ เทคนิคและเทคโน นักเรียนเทคนิคจะอยู่ด้านหน้าของท่ารถ เรามาถึงที่ท่ารถได้เจอเพื่อนอยู่ประมาณ 50 – 60 คนก็ทักทายกันธรรมดานั่นกินน้ำกินขนมเฮฮากันไป ซึ่งเราคอยระวังตัวอยู่แล้วเพราะรู้ดีว่าจะเกิดอะไรขึ้น แต่ด้วยความเป็นวัยรุ่นฮอร์โมรมันพรุ่งพร่านไม่กลัวอะไรอยู่แล้วเพราะเราโดนตีจนชินเราเจ็บแค่นี้จิ๊บๆ
1
ขณะที่พวกเราคุยกัน อยู่ ๆก็มีนักเรียนของเทคโนที่เดินเข้ามาจากด้านหลังของท่ารถประจำทางประมาณ 80 คนเห็นจะได้ เดินเข้ามาหากลุ่มของเราและมีหนึ่งคนในกลุ่มนั้นตะโกนว่า “ไอ้สัตว์ ใครทำน้องกู” เท่านั้นขวดแก้วน้ำอัดลมก็ลอยข้ามมาเต็มท้องฟ้าไปหมด เรากับเพื่อนๆเห็นเท่านั้นกระโดดหลบเข้าไปหลังร้านขายน้ำข้างทางที่เรารู้จัก พอเสียงขวดแตกสงบลงพวกเพื่อนๆเราที่หลบได้ก็ออกมาและวิ่งกรูเข้าไปหากลุ่มนักเรียนเทคโนทันทันที ในเวลานั้นไม่รู้ใครเป็นใครมองเห็นแต่สีเสื้อเท่านั้นถึงจะรู้ว่าเป็นพวกเดียวกัน
ขอบคุณภาพ : https://teen.mthai.com/variety/9253.html
การตะลุมบอนเกิดขึ้นอยู่ราว ๆ 15 นาที ตอนนั้นเราวิ่งเข้าหาหนึ่งในกลุ่มนั้นและสาวหมัดใส่ไป 2 – 3 ที แล้วก็ฉากหลบออกมาแต่ก็โดนสวนกลับมา 2 หมัดแค่ปากแตกเล็กน้อย แล้วก็เกิดเสียงระเบิดดังขึ้น 2 ครั้ง พร้อมเสียงปืน 1 นัด... บึ้ม..บึ้ม เปรี้ยง!!!
3
จากนั้นก็มีเสียงคนตะโกนว่า “ตำรวจมา…” แล้วทั้งสองกลุ่มที่กำลังตะลุมบอลกันก็แตกกระเจิงกันไปคนละทิศละทาง ส่วนเราและพวกเพื่อนๆที่ไม่เจ็บมากก็สอดส่องสายตาดูเพื่อนๆที่นอนเจ็บอยู่แล้วก็พากันพยุงให้ลุกขึ้นวิ่งออกจากพื้นที่ก่อนที่ตำรวจจริงจะมาไปหลบที่บ้านเพื่อนที่อยู่ในระแวกนั้นจนเหตุการณ์สงบจึงแยกย้ายกันกลับบ้าน
ในวันรุ่งขึ้นเป็นข่าวดังมากในพื้นที่มีแต่คนพูดถึง เพราะมีคนบาดเจ็บหลายคนทั้งสองฝ่ายโดยสาหัสจากขวดที่ลอยเข้าใบหน้าบ้างเข้าหัวบ้าง จากกระสุนปืนและเศษระเบิดซึ่งมารู้ที่หลังว่าเป็นระเบิดทำมือใส่เศษแก้วและตะปู หลังจากนั้นก็ทำให้เราระวังตัวมากขึ้นเป็นเท่าตัวในเวลาที่ไปเรียน จึงทำให้เรารอดมาได้จนถึงเทอมสองของการเรียน
2
ในฤดูร้อนมีการฝึกสวนสนามของนักเรียน รด.ปี1 เทอม 2 ซึ่งทุกคนต้องเข้าร่วมกิจกรรม ในช่วงเวลาที่กำลังฝึกสวนสนามอยู่นั่นเป็นช่วงหน้าร้อน พื้นที่ที่ใช้ฝึกเดินสวนสนามก็มีแต่ดินทรายฟุ้งเต็มไปหมด ในขณะที่กำลังจัดแถวในท่าเรียบอาวุธอยู่นั้น ครูฝึกได้สั่งให้ทุกคนนิ่งห้ามยุกยิกเด็ดขาด แต่ดันมีลมเจ้ากรรมพัดทรายเข้ามาหากลุ่มเราพอดีซึ่งเรายืนอยู่แถวหน้าสุดต้องรับทรายที่พัดเข้าตาเราเต็มๆ เราทนไม่ไหวเลยเอามือขยี้ตา
1
แต่ครูฝึกหันมาเห็นพอดีเลยเรียกเราออกไปหน้าแถวและใช้พานท้ายปืนกระแทกเข้ามาที่หน้าอกโดยที่เราไม่ทันตั้งตัวและยังไม่ถามว่าเกิดอะไรขึ้น ครูฝึกกระแทกท้ายปืนมาที่อกเราแรงมากจนเราทรุดตัวลงไปด้วยความจุกนอนอยู่พักหนึ่ง หลังจากลุกขึ้นมาได้ด้วยความโมโหมากจนหน้ามืด ตอนนั้นเราไม่คิดอะไรทั้งนั้นในใจคิดแต่ว่ากูเจ็บมึงเจ็บคิดวนไปวนมา มา ด้วยความโกรธจนยั้งอารมณ์ไม่อยู่ เราวิ่งไปหาครูฝึกและสาวหมัดใส่ครูฝึกไป 1 หมัดจนครูฝึกปากแตก
3
เพื่อนๆก็วิ่งเข้ามาห้ามดึงตัวเราออกไปสงบสติอารมณ์ หัวหน้าครูฝึกเรียกเราไปคุยบอกเราว่า “มึงจะมาทำแบบนี้ไม่ได้ไม่ให้เกียรติพวกกู กูไม่ยอม” ถึงเราบอกเหตุผลไปเค้าก็ไม่ฟังบอกว่าเรายังไงก็ผิด เราก็บอกไปว่า “ได้ครับผมผิดเอง..” แล้วหัวหน้าครูฝึกยังบอกอีกว่าจะเอาเรื่องนี้ไปแจ้งกับทางวิทยาลัยทราบเพื่อให้ลงโทษเราอีก
หลังจากวันนั้นเรากลับมาคิดวนไปวนมาอยู่หลายรอบ เริ่มที่จะเบื่อไปเรียนเพราะเหตุการในวันนั้น เราเข้าเรียนบ้างไม่เข้าเรียนบ้าง ไม่รู้ว่าจะโดนเรียกไปลงโทษเมื่อไหร่ทั้ง ๆที่เราไม่ผิดอะไร แต่โดนผู้ใหญ่ทำร้ายเป็นประจำ ไหนจะปัญหาที่บ้านที่ไม่รู้ว่าจะมีวันจบหรือไม่ ทำให้เราตัดสินใจลาออกจากการเรียน และในวัยหัวเลี้ยวหัวต่อในช่วงนั้นทำให้ขาดความยั้งคิด เพื่อนพาไปไหนไปหมด ทั้งกินเหล้าสูบบุหรี่และเที่ยวไปเรื่อย ๆกับกลุ่มเพื่อนๆที่เกเรสุดท้ายก็ลงเอยด้วยยาเสพติด... จบ EP.5
EP.6 ในวังวนชีวิตช่วง 18 ฝนมันค่อนข้างหนักหนาพอสมควรยากจะหลุดพ้น เส้นทางชีวิตที่ต้องตกหลุมอากาศอยู่บ่อยครั้งมันจึงเป็นเส้นทางสายเบี้ยงที่ต้องเข้าไปอยู่ในสถานพินิจหลายวัน....
ขอบคุณภาพประกอบ :
https://www.sanook.com/movie/116565/
เรื่องเล่า
2 บันทึก
12
5
2
12
5
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย