17 ก.ย. 2023 เวลา 05:43 • กีฬา

เจ้าแท็กติก เด แซร์บี้ 365 วันเปลี่ยนไบรท์ตันเป็นยอดทีม

ในวงการฟุตบอลชั่วโมงนี้ ไม่มีใครร้อนแรง เกินไปกว่า โรแบร์โต้ เด แซร์บี้ ผู้จัดการทีมของไบรท์ตัน ที่พาทีมบุกไปชนะแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดได้ถึงโอลด์ แทรฟฟอร์ด
เด แซร์บี้ สร้างผลงานมาสเตอร์พีซตั้งแต่ซีซั่นที่แล้ว เมื่อพาไบรท์ตันไปเล่นในรายการยุโรป (ยูโรป้าลีก) ครั้งแรกนับตั้งแต่ก่อตั้งสโมสร รวมถึงพาทีมไปเล่นในเวมบลีย์ ด้วยการเข้าถึงรอบรองชนะเลิศเอฟเอคัพ
ยิ่งไปกว่านั้น เขายังสร้างทีมฟุตบอลที่เล่นได้สนุก ต่อบอลไหลลื่น สวยงาม แถมเอาชนะคู่แข่งอย่างเด็ดขาด คือเรานึกไม่ออกเลย ว่าพวกเขาเพิ่งเสียคีย์แมนสำคัญ ทั้งอเล็กซิส แม็คอัลลิสเตอร์ และ มอยเซส ไคเซโด้ ออกไปจากทีม
แบ็กกราวน์ของเด แซร์บี้ เขาเกิดที่เมืองเบรสชา ประเทศอิตาลี ในสมัยเป็นนักเตะเคยเล่นอยู่กับหลายสโมสรเช่น เบรสชา, เอซี มิลาน และ นาโปลี โดยยืนในตำแหน่งหมายเลข 10 แต่ไม่ประสบความสำเร็จ ก่อนจะแขวนสตั๊ดไปอย่างเงียบๆ ในปี 2013 ตอนอายุ 34 ปี
หลังจากแขวนสตั๊ด เด แซร์บี้ ไปสอบไลเซนส์โค้ช โดยที่ประเทศอิตาลีนั้น โค้ชทุกคนที่ต้องการโปรไลเซนส์ ต้องทำสารนิพนธ์หนึ่งฉบับส่งให้สหพันธ์ฟุตบอลอิตาลี ที่โคแวร์ชาโน่ โดยสารนิพนธ์ของเด แซร์บี้ มีชื่อว่า "Il mio modello di gioco" หรือแปลว่า เกมฟุตบอลในแบบฉบับของผม
2
ในธีสิสนั้น เขียนรายละเอียดเรื่องแท็กติกมากมาย เช่น ถ้าเสียบอลคุณต้องสปรินท์เข้าไปแย่งคู่แข่งทันที เพราะการวิ่งแค่ 2-3-4 เมตรเพื่อแย่งบอลคืนได้ทันที ย่อมดีกว่า วิ่ง 70 เมตร เพื่อถอยกลับไปประจำตำแหน่งของตัวเองแน่
1
หรือการแบ่งสนามออกเป็น 3 โซน ถ้าบอลอยู่ในโซน 1 ต้องเพรสซิ่งแบบไหน อยู่ในโซน 2 ต้องประกบอย่างไร เขาเขียนวิธีไว้อย่างละเอียด
1
สุดท้ายธีสิสฉบับนั้นก็ผ่าน และเด แซร์บี้ ก็ได้ไลเซนส์สามารถคุมทีมอาชีพได้
ดังนั้นถ้าถามว่าสไตล์ของเด แซร์บี้เป็นอย่างไร นั่นคือ "เป็นเจ้าแท็กติก" เป็นห้องสมุดความรู้เคลื่อนที่ เขามีไอเดียอยากจะสร้างทีมฟุตบอลที่ใช้ไอเดียทั้งหมดของตัวเอง
ไอดอลของเด แซร์บี้ คือเป๊ป กวาร์ดิโอล่า เหตุผลแรกคือเป๊ปเคยเป็นนักเตะเบรสชา สโมสรที่เขาเชียร์อยู่ จากนั้นพอเป๊ปเปลี่ยนบทบาทเป็นผู้จัดการทีม ยิ่งทำให้เขารู้สึกทึ่ง เพราะเป๊ปได้สร้างบาร์เซโลน่าให้กลายเป็นยอดทีมแห่งยุค ที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวอย่างมาก
ในปี 2013 ตอนที่เด แซร์บี้ รับงานคุมทีมดาร์โฟ โบอาริโอ ในดิวิชั่น 4 ของอิตาลี เขาเดินทางไปที่เทือกเขาโดโลไมท์ สถานที่เก็บตัวของบาเยิร์น มิวนิค ที่เป๊ปเพิ่งจะรับงานคุมทีม เพื่อศึกษาการซ้อมของกวาร์ดิโอล่า ว่าทำแบบไหน เพื่อที่จะเอาไปปรับใช้กับตัวเองได้
หนึ่งในหลักการที่เด แซร์บี้ ได้เรียนรู้จากเป๊ป นั่นคือ "ตัวนักเตะ ไม่สำคัญเท่าดีเอ็นเอของสโมสร"
เด แซร์บี้ กล่าวว่า "สโมสรใหญ่ สามารถซื้อนักเตะคนไหนของเราไปร่วมทีมก็ได้ แต่สิ่งที่พวกเขาไม่มีทางจะซื้อได้ คือจิตวิญญาณของทีม"
1
"ในการคุมทีมนั้น รายละเอียดอาจจะเปลี่ยนแปลง คุณอาจต้องใช้นักเตะที่ไม่เหมือนเดิมในแต่ละนัด แต่สิ่งที่ผมต้องการให้คงอยู่ตลอดไปคือ ดีเอ็นเอของผม ในสมัยเป็นนักเตะผมอยากลงเล่นกับทีมแบบไหน ผมจะเอาสิ่งนั้นมาใช้ตอนเป็นผู้จัดการทีมด้วย"
ความหมายคือของเด แซร์บี้ คือ ในการสร้างทีมฟุตบอล คุณต้องสร้างระบบขึ้นมาก่อน ทำให้ทั้งทีมเข้าใจตรงกันว่าจะเล่นฟุตบอลแบบนี้ เดินหน้าไปในทิศทางนี้ จากนั้น ก็เอานักเตะที่มีคุณสมบัติเข้ากับแผน มายืนเป็น 11 ตัวจริง
ถ้าทีมมีระบบที่แข็งแกร่ง มั่นคง จะส่งใครลง ทีมก็ยังมีคุณภาพดีอยู่ เหมือนแมนเชสเตอร์ ซิตี้ ที่จะเอาใครมายืน ก็ต่อบอลไหลลื่น เข้าทำน่ากลัว และตัวเด แซร์บี้ อยากสร้างทีมให้เป็นแบบนั้น
ในเซสชั่นการซ้อม เพื่อให้ทุกคนเข้าใจตรงกัน เด แซร์บี้ จะลงไปทำให้นักเตะดูกันชัดๆ เลย
เคยมีคลิปสมัยเขาคุมสโมสรเบเนเวนโต้ เขาจะวางกรวย แล้วบอกนักเตะว่า ถ้าส่งบอลไปแล้ว คุณต้องวิ่งไปตำแหน่งไหน แล้วคนอื่นต้องเคลื่อนที่อย่างไร ลงละเอียดกันถึงขั้นดีเทล
3
เด แซร์บี้ บอกว่า "เบสิคของการเล่นฟุตบอล คือการจ่ายบอลและการครองเกม นี่คือจุดเริ่มต้นของทุกอย่าง ก่อนที่เราคิดจะทำอย่างอื่น"
1
ถ้าจ่ายบอลสั้นๆ ยังเสีย หรือจ่ายบอลแล้วนักเตะไม่ยอมวิ่งหาพื้นที่ไปรอรับบอลต่อจากเพื่อน คุณก็ไม่ต้องทำอะไรกันแล้ว
1
เด แซร์บี้ อธิบายอีกว่า "ตอนผมเป็นนักฟุตบอล ผมไม่ชอบการต้องรอลุ้นจากบอลสอง ครอสบอลมั่วๆ เข้าไป แล้วบอลจะเด้งมาตอนไหนก็ไม่รู้ ผมมีความสุขที่เวลาที่ได้ครองบอลอยู่กับเท้าของตัวเอง"
การครองบอลไว้กับตัว คือการเล่น Possession Game ค่อยๆ ต่อบอลกันมา เพื่อหาช่องว่าง เวลาผู้รักษาประตูได้บอลก็ไม่ต้องสาดทิ้ง แต่เล่นสั้นๆ เซ็ตมาจากแดนหลัง ก่อนที่คุณจะคิดโจมตีคู่แข่ง คุณต้องครองบอลให้เหนียวแน่นก่อน
หลังจากคุมสโมสรในอิตาลีมาหลายทีม เขากระโดดไปคุมทีมระดับแชมเปี้ยนส์ลีก อย่างชัคเตอร์ โดเน็ตส์ แต่คุมได้แค่แป้บเดียวเท่านั้น ก็เกิดสงครามยูเครน-รัสเซีย ทำให้ฟุตบอลลีกระงับการแข่งขัน เด แซร์บี้ จึงว่างงานอยู่พักหนึ่ง แต่พอเกรแฮม พอตเตอร์ ลาออกไปคุมเชลซี ตำแหน่งผู้จัดการทีมของไบรท์ตันจึงว่างลง และสโมสรได้ทาบทามเขามาอยู่ด้วย
รายงานเผยว่าโทนี่ บลูม ซีอีโอของไบรท์ตัน กับ เด แซร์บี้ นัดคุยกันที่ลอนดอน และแลกเปลี่ยนความเห็นกัน 5 ชั่วโมง ก่อนสุดท้ายเด แซร์บี้ จะตอบตกลงในที่สุด
ในข้อเท็จจริงนั้น เด แซร์บี้ ได้รับข้อเสนอจากทีมที่ใหญ่กว่าไบรท์ตัน แต่เขาเลือกไบรท์ตัน เนื่องจากจะได้อิสระในการทำงานอย่างเต็มที่
โทนี่ บลูมเล่าว่า "ถ้าเป็นเรื่องฟุตบอล เกี่ยวกับนักเตะ และแท็กติก โรแบร์โต้สามารถทำได้ทุกอย่างที่ต้องการ"
ใช้แผนไหน ส่งใครลง ไม่ส่งใครลง จับใครแยกซ้อมกับทีมเยาวชน ทุกสิ่งทุกอย่าง เด แซร์บี้ ได้อำนาจสิทธิ์ขาด
การคุมทีมเล็ก จริงอยู่ คุณภาพนักเตะจะน้อยกว่า และสโมสรก็ไม่สามารถรั้งนักเตะไว้กับทีมได้นานๆ แต่เด แซร์บี้รู้สึกโอเค ถ้าได้อิสระในการสร้างทีมแบบของตัวเองขึ้นมาโดยไม่โดนบีบบังคับจากอำนาจเบื้องบน
เด แซร์บี้บอกว่า "ผมชอบความขนาดของสโมสรไบรท์ตันที่ไม่ใช่ทีมใหญ่เกินไป พวกเขาจึงไม่ยุ่มย่ามกับแนวทางของผม และปล่อยให้ผมทำได้ทุกอย่าง จริงๆ ก่อนจะรับข้อเสนอ ผมกับผู้ช่วย อันเดรีย มัลเดร่า และ มาร์เซโล่ ควินโต้ เราดูเกมของไบรท์ตันมา 3-4 นัด เราหักลบข้อดีข้อเสีย และสุดท้ายก็ตอบตกลง"
สิ่งที่เด แซร์บี้ ต้องรู้ก่อนจะรับงาน นั่นคือคาแรคเตอร์ของสโมสรไบรท์ตัน พวกเขาสามารถขายนักเตะได้ทุกคน ถ้าได้ข้อเสนอดีพอ จากนั้นก็จะใช้ scout ไปหาเพชรเม็ดงามคนอื่นๆ เข้ามาแทนที่
1
ดังนั้นสโมสรจึงต้องการโค้ชที่ "สร้างระบบ" มากกว่า "ยึดตัวผู้เล่น" มันจะดีมาก ถ้าทีมขายนักเตะ A แต่โค้ชสามารถใช้นักเตะ B เข้ามาแทนที่ โดยที่ทีมยังคงแข็งแกร่งอยู่
ไบรท์ตัน กับ เด แซร์บี้ จึงเป็นความสัมพันธ์แบบ Win-Win Situation ไบรท์ตันสามารถขายนักเตะคนไหนก็ได้ เพื่อทำเงิน สร้างรายได้ให้ทีม โดยที่โค้ชไม่ได้ออกมาอาละวาด แสดงความไม่พอใจ
2
ส่วนเด แซร์บี้ ก็ได้สิทธิ์ในการสร้างทีมยังไงก็ได้ สามารถใช้แท็กติกของตัวเองได้ตามใจ โดยไม่มีใครก้าวก่ายเรื่องในสนามทั้งสิ้น
เรื่องในสนามฟุตบอลนั้น เมื่อนักเตะไบรท์ตันเข้าใจระบบ เข้าใจแท็กติกการเล่นแล้ว สิ่งสำคัญลำดับต่อไปที่ต้องปลูกฝังคือ ความกล้าเล่น
เด แซร์บี้เล่าว่า "ถ้าเกิดอะไรผิดพลาดจนทีมแพ้ ผมจะรับความผิดเอง แต่ถ้าทีมชนะผมจะยกเครดิตทั้งหมดให้นักเตะ แต่ผมยอมไม่ได้เด็ดขาด ถ้าคุณไม่มีความกล้าที่จะเล่นฟุตบอล"
ความหมายคือ การเล่นต่อบอลสั้นจากแดนหลัง มันก็มีความเสี่ยงที่จะโดนแย่งบอลได้ ถ้านักเตะที่หวาดกลัว ก็อาจสาดยาวทิ้งไปเลย ให้พ้นจากเขตอันตราย แต่เด แซร์บี้ ยืนยันว่า ต่อให้เล่นสั้นๆ หน้าโกล์มันจะเสี่ยง แต่ก็ขอให้เล่นแบบนั้น ถ้ามีอะไรผิดพลาด เขารับผิดชอบเอง
1
นอกจากนั้น เขาอยากให้ผู้เล่น เล่นฟุตบอลอย่างสนุก คุณควรประกอบอาชีพด้วยความรัก ไม่ใช่ทำตามหน้าที่เป็นหุ่นยนต์ "ตอนผมฝึกนักเตะ ผมสอนเขาให้เล่นบอลด้วยความสนุก ผมไม่ต้องการให้พวกเขารับคำสั่งเป็นหุ่นยนต์ ผมต้องการให้เขาคิดเอง ใส่จินตนาการลงไป ระหว่างเกมควรเขาจะคิดว่า 'โอเค เมื่อบอสบอกทุกอย่างมาหมดแล้ว จากนี้ไปเดี๋ยวผมจัดการต่อเอง ให้ผมตัดสินใจในแต่ละจังหวะในสนาม' มันควรเป็นแบบนี้มากกว่า"
เข้าใจแท็กติก เข้าใจระบบ เคลื่อนที่ให้ถูกต้อง แต่มีความกล้าที่จะทำอะไรแปลกใหม่ และเล่นฟุตบอลให้สนุกเข้าไว้ นี่คือหัวใจในการคุมทีมของเด แซร์บี้
แต่แน่นอน เขาเองก็โชคดีด้วย ที่ได้ย้ายมาอยู่กับสโมสรที่เชื่อมั่น ไม่มีการล้วงลูก และมีการเสริมทัพนักเตะให้อย่างเหมาะสม ไม่ใช่ขายแล้วขายเลย ไม่หาตัวแทนมาให้ แบบนั้นก็ไม่ไหว
1
เด แซร์บี้ รับงานคุมไบรท์ตัน วันที่ 18 กันยายน 2022 สานต่อจากเกรแฮม พอตเตอร์ โดยเกมแรกสุดของเขา คือการไปเยือนแอนฟิลด์ และบุกไปเสมอด้วยสกอร์ 3-3 จากนั้นก็รักษามาตรฐานที่ดีมาเรื่อยๆ จนจบอันดับ 6 ของตาราง เป็นผลงานที่ดีที่สุด ตั้งแต่ก่อตั้งสโมสรไบรท์ตัน
ผลงานในสนามเกิดขึ้นจากการเข้าใจระบบที่วางไว้ คือต่อให้เอาผู้เล่นใหม่มาลงสนาม ถ้ารู้ว่าฟุตบอลเล่นยังไง ทีมก็สามารถปรับจูนได้อย่างรวดเร็ว
เด แซร์บี้บอกว่า "ผมใช้งานผู้เล่นใหม่ 3-4 คน เอสตูปิยานไม่เคยลงเล่นมาก่อน, โคลวิลล์ ไม่เคยลงเล่นมาก่อน, สตีลไม่เคยลงเล่นมาก่อน, มิโตมะ ไม่เคยได้เป็นตัวจริงมาก่อน, เฟอร์กูสันไม่เคยลงเล่นกับทีมนี้มาก่อน หรือ ปาสกาล กรอสส์ ไม่เคยเล่นฟูลแบ็กมาก่อน"
แต่ถ้านักเตะเคลื่อนที่ถูกต้อง รู้ว่าจะเล่นยังไง ต่อให้จะใช้คนใหม่ หรือคนเก่า ทีมก็มีความสมดุลอยู่
ขณะที่เรื่องนอกสนาม ทัศนคติของเด แซร์บี้ คือ "ตั้งบาร์ไว้ แต่ให้ต่ำอยู่เสมอ"
เขาอธิบายว่า "การมีความฝันเป็นสิ่งดี มันทำให้ผู้คนตื่นเต้น แต่มันก็เสี่ยงถ้าคุณฝันใหญ่เกินไป เพราะคุณอาจจะร่วงหล่นลงมาจนเจ็บตัวได้ ดังนั้นวิธีของผมคือค่อยๆ ฝันไปทีละสเต็ป เดินหน้าไปช้าๆ ดีกว่า"
ในฤดูกาล 2023-24 ไบรท์ตัน ต้องเสียแม็คอัลลิสเตอร์ ให้ลิเวอร์พูล (35 ล้านปอนด์) ,ไคเซโด้ ให้เชลซี (115 ล้านปอนด์) และ โรเบิร์ต ซานเชซ ให้เชลซี (25 ล้านปอนด์) นี่ยังไม่รวมถึงลีอันโดร ทรอสซาร์ ที่ต้องขายให้อาร์เซน่อลในเดือนมกราคมอีกด้วย
2
แต่ผู้บริหารของทีม ก็เก่งมากเรื่องการเล่นแร่แปรธาตุ กองกลางได้มามุด ดาฮูด จากดอร์ทมุนด์ (ฟรี) และ เจมส์ มิลเนอร์ (ฟรี) รวมถึงยังปรับเอาปาสกาล กรอสส์ ดาวเตะสารพัดประโยชน์มายืนเป็นมิดฟิลด์ตัวกลางได้ด้วย
ไบรท์ตันจะเอาใครมายืน ทีมก็เล่นในสไตล์แบบเดิม คือ Pass and Move ต่อบอลแล้วเคลื่อนที่ พอมีจังหวะก็ใช้ความสามารถพิเศษของคาโอรุ มิโตมะ และ ซอลลี่ มาร์ช ในการทะลวงเข้าไป
ในฤดูกาลนี้ ไบรท์ตัน ยิงประตูได้ 15 ลูกในพรีเมียร์ลีก (5 นัด) ไม่มีสโมสรไหนที่ยิงประตูได้มากเท่านี้อีกแล้ว นี่ขนาดเสียคีย์แมนไปหลายคน ทีมก็ยังแกร่งอยู่ เกมรุกดี เกมรับใช้ได้ และคราวนี้ ก็ยิ่งมีลุ้นแย่งท็อปโฟร์อย่างเป็นเรื่องเป็นราวยิ่งกว่าซีซั่นก่อนเสียอีก
ด้วยฟอร์มที่น่าประทับใจ ทำให้เด แซร์บี้ ถูกยกย่องไว้สูงมาก ทั้งจากสื่อ และคนในวงการฟุตบอล ใครๆ ต่างก็ยกย่องว่าเป็นคนอิตาลีรุ่นใหม่ที่มีพรสวรรค์
1
แต่ในบรรดาคำชมทั้งหมดนั้น คนที่น่าจะทำให้เด แซร์บี้ ดีใจมากที่สุด ก็คือไอดอลของเขา เป๊ป กวาร์ดิโอล่า
กวาร์ดิโอล่ากล่าวว่า "วิธีการที่เขาสร้างทีมให้เล่นสวยงาม แตกต่างจากฟุตบอลในอิตาลีโดยทั่วไป โรแบร์โต้ค้นพบวิธีการเฉพาะตัว ซึ่งเขาทำได้ดีมากๆ ตั้งแต่คุมซาสซูโอโล่แล้ว มันไม่สำคัญเลยว่าคุณภาพของนักเตะจะเป็นอย่างไร ถ้าคุณเชื่อมั่นในแนวทางของตัวเองแบบ 100% ว่าคุณอยากให้ทีมเล่นอย่างไร คุณจะสามารถสร้างทีมได้ ขอแค่เชื่อมั่นเข้าไว้"
วันนี้ (17 กันยายน 2023) เด แซร์บี้ คุมไบรท์ตันครบ 365 วันพอดี และเขาสร้างไบรท์ตัน จากทีมที่อยู่ในระดับ "โอเค" ให้เป็นทีมที่ "ยอดเยี่ยม" ได้จริงๆ
เราไม่รู้ว่าปลายทางของเด แซร์บี้ จะอยู่ตรงไหน แต่ ณ เวลานี้ เขาคือโค้ชที่ร้อนแรงที่สุดในยุโรป
1
จากนี้ไปสิ่งที่เด แซร์บี้ต้องทำ คือ "ความสม่ำเสมอ" ในเมื่อทุกคนรู้จักไบรท์ตันมากขึ้น ก็จะระวังตัวยิ่งขึ้น เขาไม่มีช่วงโปรโมชั่นเหมือน 1 ปีที่ผ่านมาแล้ว
นี่จะเป็นบททดสอบที่สำคัญจริงๆ ว่าเด แซร์บี้ จะยกระดับไบรท์ตันให้ก้าวไปไกลยิ่งกว่านี้ได้อีกหรือไม่ ในสนามฟุตบอลจะเป็นคำตอบ
1
#REDHOTDEZERBI
โฆษณา