25 ก.ย. 2023 เวลา 23:00 • การเมือง

รายงานพิเศษ : เปิดเส้นทาง"บิ๊กโจ๊ก"เจอดิสเครดิตสกัดดาวรุ่งชิง ผบ.ตร.

เปิดเส้นทาง "บิ๊กโจ๊ก" พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. หลังถูกบุกค้นบ้าน โดยอ้างพบคนใกล้ชิดพัวพันเว็บพนันออนไลน์ จน“เจ้าตัว”ออกมาโวยว่าถูกกลั่นแกล้ง ทำเสียเครดิต ก่อนที่จะมีประชุม ก.ตร. เคาะ ผบ.ตร.คนใหม่ เพียง 3 วัน
เช้าวันที่ 25 ก.ย. 2566 ตำรวจชุดเฉพาะกิจ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ(สตช.) เปิดปฏิบัติการ “บิ๊กคลีนนิ่งเดย์ กวาดล้างบ้านตัวเอง” โดยนำกำลังเข้าตรวจค้นจับกุมตำรวจและพลเรือนที่เชื่อมโยงกับการแก๊งพนันออนไลน์ รวม 30 จุดใน 6 จังหวัดทั่วประเทศ
ในส่วนของกรุงเทพมหานคร(กทม.) พล.ต.ท.ไตรรงค์ ผิวพรรณ ผบช. สำนักงานกฎหมายและคดี (กมค.) พร้อมด้วยกำลังตำรวจไซเบอร์ ได้นำหมายค้นเข้าตรวจสอบบ้านพักของ บิ๊กโจ๊ก พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. ภายในหมู่บ้าน ซอยวิภาวดี 60 ซึ่งอยู่ด้านหลังสโมสรตำรวจ หลังพบคนใกล้ชิดมีส่วนเกี่ยวข้องกับเว็บพนันออนไลน์
ผลการตรวจค้นบ้าน “บิ๊กโจ๊ก” ไม่พบสิ่งผิดปกติ หรือ ผิดกฎหมายแต่อย่างใด
“การขอหมายค้นจากศาลของตำรวจเมื่อเช้าที่ผ่านมา เป็นการกระทำที่เกินกว่าเหตุ และเชื่อว่าการขอหมายศาลในครั้งนี้ไม่ปกติ เพราะเป็นการหลอกศาล เนื่องจากการขอหมายศาลเข้าตรวจค้นบ้านตำรวจชั้นผู้ใหญ่จะต้องมีพยานหลักฐาน หรือ มีเส้นทางการเงินที่เชื่อมโยงมาถึงตัว และเชื่อว่าตำรวจชุดสอบสวนรู้ว่า บ้านหลังนี้เป็นของใคร
แต่ว่าการขอหมายค้นครั้งนี้ไม่ได้ระบุว่าบ้านหลังดังกล่าวเป็นของ รอง ผบ.ตร. แต่บอกเพียงแค่บ้านเลขที่เท่านั้น จึงเชื่อว่า การกระทำครั้งนี้ เป็นการดิสเครดิต ทำให้เสียชื่อเสียง และเป็นการเมืองภายในของตำรวจ ซึ่งส่วนตัวรู้ว่าใครเป็นผู้สั่งการ” พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ระบุ
ปฏิบัติการบุกค้นบ้าน “บิ๊กโจ๊ก” ครั้งนี้ เกิดขึ้นก่อนที่จะมีการประชุม คณะกรรมการข้าราชการตำรวจ (ก.ตร.) เพียง 3 วัน คือ วันที่ 27 ก.ย. 2566 ซึ่ง พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ เป็น 1 ใน 4 แคนดิเดตชิงเก้าอี้ ผบ.ตร.คนที่ 14
ประวัติ"บิ๊กโจ๊ก"
สำหรับ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล เกิดที่ อ.สะเดา จ.สงขลา เมื่อวันที่ 29 ตุลาคม 2513 ปัจจุบันอายุ 53 ปี เป็นบุตรของ นายดาบตำรวจ ไสว และ นางสุมิตรา หักพาล สมรสกับ ดร.ศิรินัดดา (สกุลเดิม พานิชพงษ์)
1
สำเร็จการศึกษาในชั้นอนุบาล โรงเรียนกลับเพชรศึกษา ซึ่งมารดาเป็นครูสอนอยู่โรงเรียนนี้ สำเร็จการศึกษาในชั้นประถม โรงเรียนวิเชียรชม สำเร็จการศึกษาในชั้น มัธยมศึกษาจากโรงเรียนมหาวชิราวุธ และโรงเรียนเตรียมทหาร รุ่นที่ 31
ระดับชั้นปริญญาตรี : รัฐประศาสนศาสตรบัณฑิต สำเร็จการศึกษาจากโรงเรียนนายร้อยตำรวจ รุ่นที่ 47 เป็นหัวหน้านักเรียนของนรต.รุ่น47
ระดับปริญญาโท : สังคมศาสตรมหาบัณฑิต สาขาอาชญาวิทยาและการบริหารงานยุติธรรม จากมหาวิทยาลัยมหิดล โดยสามารถสอบคัดเลือกเข้าเรียนได้เป็นอันดับ 1
ระดับปริญญาเอก : ปรัชญาดุษฎีบัณฑิต สาขารัฐประศาสนศาสตร์ จากมหาวิทยาลัยอีสเทิร์นเอเชีย
ปรัชญาดุษฎีบัณฑิต สาขาอาชญาวิทยา มหาวิทยาลัยมหิดล
ปัจจุบันกำลังศึกษา คณะนิติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ภาคค่ำ (นอกเวลาราชการ) หลักสูตรประกาศนียบัตรชั้นสูงการบริหารงานภาครัฐและกฎหมายมหาชน
พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ยังจบหลักสูตร และ รับมอบประกาศเกียรติบัตร ผู้สำเร็จการศึกษาหลักสูตร การเมืองการปกครองในระบอบประชาธิปไตย สำหรับนักบริหารระดับสูง รุ่นที่ 21 (ปปร.21) จาก พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ ประธานองคมนตรี
เมื่อวันที่ 5 ก.ย.2565 ได้รับรางวัลศิษย์เก่าดีเด่นสถาบันพระปกเกล้า จาก นายชวน หลีกภัย ประธานรัฐสภา ปัจจุบันกำลังศึกษา วิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร หลักสูตร ว.ป.อ.ปีการศึกษา 2565
นอกจากนี้ "บิ๊กโจ๊ก" ยังมีบทบาทในตำแหน่งอื่นๆ ดังนี้
นายกสมาคมชาวปักษ์ใต้ ในพระบรมราชูปถัมภ์
รองผู้อำนวยการ ศูนย์พิทักษ์เด็ก สตรี ครอบครัว ป้องกันปราบปรามการค้ามนุษย์และภาคประมง สำนักงานตำรวจแห่งชาติ
อดีตผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ
อดีตที่ปรึกษาสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สบ.9)
อดีตผู้บัญชาการสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง
อดีตรองผู้อำนวยการศูนย์ปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีสารสนเทศ (ศปอส.ตร.)
ผู้ช่วยโฆษกประจำรองนายกรัฐมนตรี พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ
ทั้งเคยดำรงตำแหน่งเป็น รองผู้บัญชาการตำรวจท่องเที่ยว ผู้บังคับการตำรวจสายตรวจและปฏิบัติการพิเศษ ผู้บังคับการตำรวจท่องเที่ยว รองผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดสงขลา ผู้กำกับการสถานีตำรวจภูธรหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา และ ผู้กำกับการกองบังคับการปราบปรามการค้ามนุษย์ (ดูแลพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ)
เส้นทางราชการตำรวจ
พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ เริ่มต้นรับราชการตำรวจ ยศ "ร.ต.ต." เริ่มรับราชการตำรวจในตำแหน่งรองสารวัตร เมื่อวันที่ 1 ก.พ. 2537 จนได้รับการแต่งตั้งเลื่อนขั้นเป็นสารวัตรในกองวินัย
ต่อมาเป็น สารวัตรสถานีตำรวจทางหลวง 4 กองกำกับการ 5 จังหวัดเชียงใหม่ เมื่อวันที่ 16 พ.ย. 2543 และสารวัตรสถานีตำรวจทางหลวง 2 กองกำกับการ 3 จังหวัดชลบุรี เมื่อวันที่ 11 ก.พ. 2545
จนได้รับการโปรดเกล้าฯ เป็นนายตำรวจราชสำนักประจำ เมื่อ วันที่ 11 ก.ค. 2546 และเป็นผู้ช่วยนายเวรตำรวจราชสำนักประจำให้กับ พล.ต.อ. วิเชียร พจน์โพธิ์ศรี เมื่อวันที่ 22 พ.ย. 2547
ระดับผู้กำกับการ
หลังจากได้รับการเลื่อนขั้นเป็น พันตำรวจเอก พ.ต.อ.สุรเชษฐ์ ในขณะนั้น ได้รับตำแหน่งผู้กำกับการประจำสำนักงานผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ทำหน้าที่อำนวยการประจำผู้ช่วยผู้บัญชาการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ จนกระทั่งวันที่ 7 ก.ย. 2552 จึงได้เป็นผู้กำกับการ 1 กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับการค้ามนุษย์
ต่อมา เมื่อวันที่ 10 ก.พ. 2554 ได้เป็น ผู้กำกับการฝ่ายอำนวยการ 10 กองบังคับการอำนวยการ กองบัญชาการตำรวจนครบาล
1
ในวันที่ 5 เม.ย. 2555 ถูกส่งไปเป็น ผู้กำกับการสถานีตำรวจภูธรหาดใหญ่ จนได้เลื่อนขึ้นเป็น รองผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดสงขลา และทำหน้าที่เป็นผู้บัญชาการศูนย์ปฏิบัติการณ์ตำรวจภูธรจังหวัดสงขลาส่วนหน้า รับผิดชอบพื้นที่ 4 อำเภอ ในจังหวัดสงขลา ซึ่งเป็นพื้นที่สีแดงเสี่ยงต่อภัยความไม่สงบบริเวณชายแดนภาคใต้
ระดับผู้บังคับการและผู้บัญชาการ
ต่อมาวันที่ 23 ก.ค.2558 พ.ต.อ.สุรเชษฐ์ ในขณะนั้น ได้รับการเลื่อนขั้นเป็น พลตำรวจตรี ในตำแหน่ง ผู้บังคับการประจำสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ทำหน้าที่ประสานงานกับนายกรัฐมนตรี รายงานต่อ พล.อ.ประวิตร วงศ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ผู้รับผิดชอบสำนักงานตำรวจแห่งชาติ หลังจากนั้นทำหน้าที่รักษาการในตำแหน่งนี้มาตั้งแต่เดือนตุลาคม 2557
1
จนในวันที่ 30 ต.ค. 2558 ได้เป็น ผู้บังคับการตำรวจท่องเที่ยว กระทั่งวันที่ 1 ต.ค. 2559 ได้เป็น ผู้บังคับการตำรวจสายตรวจและปฏิบัติการพิเศษ ก่อนที่วันที่ 6 ก.ย. 2560 เข้าทำหน้าที่ รักษาการรองผู้บัญชาการตำรวจท่องเที่ยว จนได้เป็น รองผู้บัญชาการตำรวจท่องเที่ยว ในวันที่ 1 ต.ค. 2560
ต่อมาวันที่ 1 ต.ค. 2561 พล.ต.ต.สุรเชษฐ์ ได้รับการเลื่อนขั้นเป็น พลตำรวจโท และได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่ง ผู้บัญชาการสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง
กระทั้งวันที่ 5 เม.ย.2562 ได้มีคำสั่งจาก พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ให้ พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ ไปปฏิบัติราชการที่ศูนย์ปฏิบัติการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดยขาดจากการปฏิบัติหน้าที่ทางตำแหน่งเดิม เพื่อปฏิบัติหน้าที่ตามที่ผู้อำนวยการศูนย์ปฏิบัติการสำนักงานตำรวจแห่งชาติมอบหมาย
1
วันที่ 9 เม.ย. 2562 มีคำสั่งฟ้าผ่าที่สอง จาก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้า คสช. ให้ บิ๊กโจ๊ก ขาดจากตำแหน่งหน้าที่ในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เพื่อโอนไปเป็นข้าราชการพลเรือนสามัญ ประเภทนักบริหารระดับสูง ในตำแหน่งที่ปรึกษาพิเศษประจำสำนักนายกรัฐมนตรี สังกัดสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี และถูกเพิ่มรายชื่อในบัญชีเพื่อได้รับการตรวจสอบจาก ป.ป.ช. และสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน เนื่องด้วยมีมูล ถูกกล่าวหา เกี่ยวข้องกับการทุจริต หรือ ประพฤติมิชอบ
วันที่ 6 ม.ค. 2563 รถยนต์ส่วนตัวของบิ๊กโจ๊ก ถูกยิง สื่อหลายแห่งตั้งข้อสังเกตว่า เหตุการณ์นี้อาจมีความเกี่ยวข้องกับการที่บิ๊กโจ๊ก ออกมาเปิดโปงการทุจริตโครงการจัดซื้อจัดจ้างรถตรวจการณ์ไฟฟ้า ของสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง ครั้งนั้น มีคลิปเสียงหลุด ที่อ้างว่า เป็น พล.ต.อ.วิระชัย ทรงเมตตา สั่งยิง จนถูกสำรองราชการ
1
หลังจากนั้น “บิ๊กโจ๊ก” ได้ลากิจไปบวชที่อินเดียเป็นเวลา 9 วัน และกลับมาใช้ชีวิตเงียบ ๆ ในชีวิตข้าราชการพลเรือนไปถึง 2 ปีเต็ม ท่ามกลางกระแสข่าวเขาพยายามทุกวิถีทางจะโอนกลับไปรับราชการตำรวจอีกครั้งให้ได้ เพราะอายุราชการยังยาวไกลไปถึงปี 2574
ถัดมาในปี 2564 บิ๊กโจ๊ก กลับมาผงาดอีกครั้ง เลื่อนจาก ที่ปรึกษา (สบ 9) สตช. ขึ้นดำรงตำแหน่งเป็น ผู้ช่วย ผบ.ตร. ถือเป็นตำรวจอีกหนึ่งนาย ที่ขยับขึ้นเป็นระดับนายพลในเวลาอันรวดเร็ว และไม่ใช่เรื่องยากที่เขาจะขยับเป็น รอง ผบ.ตร. เพราะการเลื่อนเป็นไปตามลำดับอาวุโส โดยในปี 2565 ตำแหน่ง รอง ผบ.ตร.ที่ว่างลงถึง 4 ตำแหน่ง จึงมีชื่อของ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล อยู่ด้วย
2
“บิ๊กโจ๊ก” เริ่มกลับมาทำผลงานในหลายคดี และด้วยบุคลิกเวลาแถลงข่าว หรือสัมภาษณ์ จะเป็นไปแบบนุ่มนวล เขาจึงได้รับฉายาจากสื่อว่า “โจ๊กหวานเจี๊ยบ”
การเกษียณอายุราชการของ “บิ๊กเด่น” พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร. ในวันที่ 30 ก.ย. 2566 นี้ “บิ๊กโจ๊ก” มีชื่อเป็น 1 ใน 4 แคนดิเดตที่จะมีโอกาสขึ้นเป็น “ผบ.ตร.คนที่ 14”
บิ๊กโจ๊ก จึงเริ่มขยับทำผลงานอีกครั้ง โดยเฉพาะคดี “กำนันนก” สั่งยิง “ตำรวจทางหลวง” ที่ออกตัวทำคดีอย่างเต็มตัว แต่สุดท้ายฟ้าผ่าอีกครั้ง เมื่อ ผบ.ตร.มีคำสั่งให้โอนคดี “กำนันนก” ไปให้กองปราบรับช่วงต่อแทน
ก่อนที่ฟ้าจะผ่าเปรี้ยงใหญ่อีกครั้ง กับปฏิบัติการถูกบุกค้นบ้านช่วงฟ้าสางในวันที่ 25 ก.ย. 2566 โดยอ้างตำรวจใกล้ชิดพัวพันเว็บพนันออนไลน์ ในช่วงใกล้ก่อนจะมีการคแต่งตั้ง “ผบ.ตร. คนที่ 14” เพียง 3 วัน
เหตุการณ์ดูเหมือนจะเป็นการ “สกัดดาวรุ่ง” หรือไม่
เพราะหากไล่เรียงลำดับอาวุโสแล้ว “บิ๊กโจ๊ก” ยังมีโอกาสที่จะขึ้นเป็นแม่ทัพสีกากีได้อีกหลายปี ถึงปีนี้ไม่ได้เป็น ปีหน้า หรือ ปีต่อๆ ไป ก็ยังมีโอกาสได้ลุ้นขึ้นเป็น เบอร์ 1 คุมทัพสีกากี
เว้นเสียแต่ว่า เจอ "สกัดดาวรุ่ง" ถูกดำเนินคดี ถูกตั้งกรรมการสอบสวน หรือ ถูกโอนย้ายพ้นราชการตำรวจ นั่นแหละ ถึงจะทำให้ "บิ๊กโจ๊ก" หมดสิทธิผงาดในตำแหน่ง ผบ.ตร.
โฆษณา