28 ก.ย. 2023 เวลา 07:02 • หุ้น & เศรษฐกิจ

ส่องพื้นฐาน 7 หุ้น รับกระแสสถาบันลงทุน ESG บอนด์

เทรนด์หรือกระแสของ ESG ถือเป็นกระแสที่หลายๆประเทศต่างให้ความสำคัญและผลักดันออกมาอย่างจริงจัง ไม่เว้นแม้แต่ประเทศไทยภายใต้ของรัฐบาลเศรษฐาที่ถูกหยิบยกสื่อสารให้แก่ผู้คนทั้งในประเทศและต่างประเทศ อย่างในเวทีโลกหรือบนงานการประชุมระดับผู้นำว่าด้วยเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนประจำปี 2023 (SDGs Summit)
ทั้งนี้ แน่นอนว่าการแสดงวิสัยทัศน์ดังกล่าวย่อมถูกได้รับความสนใจจากสถาบันต่างชาติไม่เว้น ที่ BlackRock ได้มีการพบปะกันระหว่างนายกรัฐมนตรีและ CEO โดยการพบกันระหว่าง 2 บุคคลที่มีความสำคัญต่อตลาดทุนเช่นไรนั้น เราจะพาไปดูมุมมองจากนักวิเคราะห์กัน
บทวิเคราะห์ของบริษัทหลักทรัพย์ เอเชีย พลัส จำกัด ให้มุมมองถึงการพบของนายกรัฐมนตรีไทยและ CEO BlackRock เพื่อศึกษาแนวทางการลงทุนในประเทศไทย ทั้งภาคการลงทุนขนาดเล็ก กลาง และใหญ่ โดยเฉพาะสนับสนุนธุรกิจ พลังงานสะอาดเพื่อขยายฐานการลงทุนและฐานการผลิต ซึ่ง CEO ของ BlackRock ได้แสดงความสนใจลงทุน SLB (Sustainability Linked Bond) ที่รัฐบาลไทยจะผลักดันในปีหน้า
โดยประเด็นดังกล่าวจะเป็นบรรยากาศการลงทุนที่ดีต่อหุ้นพลังงานสะอาด รวมถึงธุรกิจที่เริ่มมีการเตรียมความพร้อม และเคยออก ESG Bond หรือ SLB ในช่วงที่ผ่านมา น่าจะได้รับความสนใจจากนักลงทุนไทยและต่างประเทศมากขึ้น ทำให้หุ้นที่เคยออก ESG Bond ได้รับกระแสดังกล่าวช่วยหนุนและเป็นจังหวะน่าสะสมเพื่อหวังผลระยะกลางยาว จึงแนะนำ BEM, BCPG, TU, IVL, EA, GULF และCPN
สำหรับปัจจัยพื้นฐานรายตัวเริ่มกันที่ BEM บทวิเคราะห์ของบริษัทหลักทรัพย์ ดาโอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ได้ประมาณการกำไรสุทธิปี 2566 ที่ 3.7 พันล้านบาท เติบโตจากปีก่อนหน้า 50% จากแนวโน้มผู้โดยสารรถไฟฟ้ายังมีช่องให้ขยายตัวดีต่อเนื่อง หนุนโดยการทยอยรับรู้ผลบวกจากสายสีน้ำเงินเงินเต็มวงและอานิสงส์จากสายสีเหลือง
ดังนั้น จึงให้คำแนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมายที่ 10.40 บาท จากการเติบโตของกำไรในปี 66-67 และยังปัจจัยเสริมจากความคืบหน้าโครงการ Double Deck และโครงการสายสีส้มที่มีโอกาสกลับมาเดินหน้าอีกครั้ง เนื่องจากปัจจุบันเหลือเพียงรอคำพิพากษาศาลปกครองสูงสุด 1 คดี เบื้องต้นหากลงนามสัญญาได้ จะเป็นอัพไซด์ให้ราคาหุ้นราว 1-2 บาท
ขณะที่ BCPG บทวิเคราะห์ของบริษัทหลักทรัพย์ ฟิลลิป (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) คาดกำไรปี 2566 ที่ 1.52 พันล้านบาท ลดลง 42% จากปีก่อนหน้า แต่อย่างไรก็ดีผลประกอบการครึ่งปีหลังเป็นบวก เนื่องจากเข้าสู่ไฮซีซั่นของโรงไฟฟ้าพลังงานน้ำในประเทศลาวและมีการรับรู้รายได้เพิ่มตามกำลังการผลิตที่เพิ่มขึ้น
ทั้งนี้ จึงให้ยังคงแนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมายที่ 11.80 บาท เนื่องจากบริษัทยังมีศักยภาพการเติบโตในระยะยาวจากการลงทุนในต่างประเทศตามแผนบริษัทในช่วง 1-2 ปีนี้ และประกอบกับจะได้รับผลกระทบน้อยลงจากนโยบายการลดค่าไฟของภาครัฐ เนื่องจากมีสัดส่วนรายได้และแนวโน้มการลงทุนเพิ่มในต่างประเทศค่อนข้างมาก
ด้าน TU บทวิเคราะห์ของบริษัทหลักทรัพย์ เอเชีย พลัส จำกัด คาดกำไรปี 2566 ที่ 5 พันล้านบาท ลดลง 31.6% จากปีก่อนหน้า แต่ประเมินว่ากำไรในช่วงครึ่งปีหลังปี 66 จะสูงขึ้นจากครึ่งปีแรก 31.4% หลังคำสั่งซื้อของลูกค้าที่เริ่มกลับมาสต๊อกสินค้าอีกครั้ง ขณะที่ต้นทุนปลาทูน่ามีราคาลงมาตั้งแต่ ก.ค. ส่วนราคากุ้งยังอยู่ระดับต่ำ
สำหรับคำแนะนำยังคงแนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมายที่ 18.70 บาท เนื่องจากราคาหุ้นมีดาวน์ไซด์จำกัด หลังปรับฐานลงมาสะท้อนกับความกังวลเรื่องผลประกอบการอ่อนแอในช่วงครึ่งปีแรกปี 66 จึงเชื่อว่าราคามีโอกาสปรับขึ้นเพื่อตอบรับการฟื้นตัวของกำไรหลังจากนี้ ขณะเดียวกันมูลค่าหุ้นอยู่ในระดับที่ยังน่าสนใจ
ฟาก IVL บทวิเคราะห์ของบริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี พัฒนสิน จำกัด (มหาชน) ประเมินกำไรปี 2566 ที่ 7.57 พันล้านบาท ลดลง 75% จากปีก่อนหน้า แต่คาดว่ากำไรครึ่งปีหลังปี 66 จะฟื้นทั้งจากครึ่งปีแรกและช่วงเดียวกันปีก่อน เนื่องจากไม่มีผลขาดทุนสต๊อกก้อนใหญ่มาฉุด และความต้องการในจีนฟื้นตัวขึ้นส่งผลให้การแข่งขันลดลง
ดังนั้น จึงให้คำแนะนำ “เก็งกำไร” ราคาเป้าหมายที่ 38.50 บาท แต่ให้รอดูความชัดเจนการฟื้นตัวในไตรมาส 3/66 หลังผลกระทบของการระบายสต๊อกลดลงชัดเจนก่อน และค่อยซื้อเก็งกำไร เพื่อรับการฟื้นตัวของอัตรากำไรทั้ง PET/ IOD/ Fibers ที่จะหนุนกำไรปี 2567 จะฟื้นตัวมาอยู่ที่ 1.94 หมื่นล้านบาท เติบโตจากปีก่อนหน้า 156%
ขณะที่ EA บทวิเคราะห์ของบริษัทหลักทรัพย์ ดาโอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) คาดการณ์กำไรปี 2566 ที่ 9.1 พันล้านบาท เติบโต 19% จากปีก่อนหน้า เนื่องจากในช่วงครึ่งปีหลังปี 66 จะมีรายได้จากการส่งมอบรถที่สูงขึ้นมาทดแทนรายได้ธุรกิจไบโอดีเซลที่ลดลงและธุรกิจโรงไฟฟ้าที่หดตัวตามฤดูกาล
พร้อมกันนี้ ยังคงให้คำแนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมายที่ 80 บาท เนื่องจากมูลค่าหุ้นที่ซื้อขายอยู่ในปัจจุบันอยู่ในระดับต่ำ เมื่อเมื่อเทียบกับผลการดำเนินงานที่จะเติบโตได้ดีจากปีก่อนหน้า ตามยอดส่งมอบรถ E-Bus ที่บริษัทยังคงยืนยันเป้าหมาย 3,000 คันในปี 2566
ด้าน GULF บทวิเคราะห์ของบริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี พัฒนสิน จำกัด (มหาชน) ประเมินกำไรปี 2566 ที่ 1.51 หมื่นล้านบาท เติบโตจากปีก่อนหน้า 32% โดยกำไรในช่วงครึ่งปีหลังปี 66 จะฟื้นตัวต่อเนื่อง ตามโครงการโรงไฟฟ้าที่จะทยอย COD ได้ตามแผนและเริ่มดำเนินการของตลาดซื้อขาย digital asset รวมไปถึงโอกาสที่โครงการโรงไฟฟ้าระหว่างเจรจา, การจัดโครงสร้างธุรกิจ Digital และ ธุรกิจ LNG มีความคืบหน้า
ทั้งนี้ จึงยังคงคำแนะนำ “เก็งกำไร” ราคาเป้าหมายที่ 56 บาท เนื่องจากแรงกดดันจากนโยบายการเมืองผ่านจุดแย่สุดไปแล้วทำให้กำไรไตรมาส 2/66 เป็นจุดต่ำสุดของปี และประกอบกับจะมีปัจจัยบวกทยอยเข้ามาในครึ่งปีหลังปี 66 ทั้งกำไรที่ฟื้นตัวต่อเนื่องและความคืบหน้าของโครงการระหว่างเจรจาในเวียดนาม
สุดท้าย CPN บทวิเคราะห์ของบริษัทหลักทรัพย์ เคจีไอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) คาดการณ์กำไรปี 2566 ที่ 1.31 หมื่นล้านบาท เติบโต 22% จากปีก่อนหน้า โดยแนวโน้มผลประกอบการครึ่งปีหลังปี 66 ยังคงฟื้นตัวต่อเนื่อง ด้วยแรงหนุนจากจำนวนลูกค้าเข้าห้างดีขึ้น, กลับมาให้ส่วนลดผู้เช่าในระดับปกติที่ 4%, ขึ้นค่าส่วนกลางราว 10%-15% ตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ และ casual leasing ที่ดีขึ้น (ได้แก่ กิจกรรมทางการตลาด) จากการฟื้นตัวของธุรกิจ
ดังนั้น จึงให้คำแนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมายที่ 83 บาท เนื่องจากบริษัทมีการขยายโครงการอย่างต่อเนื่องโดยเฉพาะโครงการ mixed-use มากขึ้น จึงยังคงมองบวกกับแนวโน้มการเติบโตของ CPN ในระยะยาว
โฆษณา