1 ต.ค. 2023 เวลา 13:07 • ความคิดเห็น

ครั้งหนึ่งที่เคยทำงานให้ “คนเฮงซวย”

บทความนี้บันทึกเอาไว้เพื่อแชร์ประสบการณ์ และสถานการณ์ครั้งหนึ่งของช่วงชีวิต ไม่ได้มีเจตนาพาดพิงบุคคลใด เป็นเพียงการแสดงทัศนคติ และมุมมองของคนตัวเล็กๆ ที่มีต่อโลกอันกว้างใหญ่ใบนี้เท่านั้น
ณ วินาทีแรกที่เข้ามาร่วมงานในองค์กรแห่งนี้ เจอผู้นำองค์กรที่พาเราไปนั่งคุยสนทนาร่วมกัน วางแผนแนวทางและทิศทางที่เป็นไปได้ขององค์กร รวมไปถึงแนวทางในการแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นภายในองค์กร
ด้วยความที่เป็นคนชอบอ่านและฟังเรื่องราว ความคิด มุมมองและวิธีแก้ปัญหาของผู้นำระดับประเทศหรือระดับโลก เมื่อได้สัมผัสกับผู้บริหารท่านนี้ ณ วันเรียกประชุมพนักงานที่เข้ามาใหม่
สัมผัสแรกคือชื่นชมจากหัวใจ ว่าสิ่งที่เรารับรู้มาในเรื่องของผู้นำแต่ละคน เราโชคดีที่ได้มาเจอผู้นำในอุดมคติก็คือท่านผู้นี้
เราได้สัมผัส ได้ยิน ได้ฟัง ได้รู้จัก ทำให้มีความรู้สึกว่าท่านผู้นี้มีของ นี่คือผู้นำที่เราเคยตามหามานาน ณ ตอนนั้น จึงขนลุกอยากจะร่วมงานจนได้เห็นการเติบโตและพัฒนาขององค์กร
จนเมื่อเวลาผ่านไปก็ยังไม่เห็นสิ่งที่เขาคนนั้นพูดเอาไว้ แต่สิ่งที่ได้กลับมาคือปัญหาที่เริ่มพอกพูนภายในองค์กร ปัญหาความแตกแยกระหว่างคนในองค์กร ปัญหาของคนทำงานและผู้นำ รวมถึงปัญหากำลังใจและแรงบันดาลใจในการปฏิบัติงานจากผู้นำองค์กร
สถานการณ์เริ่มแย่ลงจนเกิดความรู้สึกว่า ผู้นำองค์กรที่สร้างความประทับใจให้เราในวันนั้นทำไมถึงได้เปลี่ยนไปเป็นคนละคนเฉกเช่นในวันนี้
ทั้งไม่ดูแลผู้ปฏิบัติงาน แบ่งแยกคนทำงานเป็นฝักเป็นฝ่าย บริหารด้วยความอคติลำเอียง ไม่ให้เกียรติผู้คน ไม่เคารพความเป็นเพื่อนมนุษย์ ไม่ทำให้คนและองค์กรไปถึงเป้าหมายที่วางไว้ได้
ที่สำคัญ ท่านผู้นี้ไม่เคยมีสิ่งที่องค์กรยุคใหม่มี เรียกว่าความเห็นอกเห็นใจ (Empathy) ไม่มีหรอกคำว่าเป็นยังไงบ้าง สบายดีไหม เป็นอะไรหรือเปล่า ความห่วงใยซึ่งกันและกันไม่เคยปรากฏให้เห็นจากท่านผู้นี้
มันก็แสดงให้เห็นว่าแม้จะจบถึงระดับปริญญาเอก(จริงๆหรืออาจจะได้มาแบบฟลุ๊คๆ) ก็ไม่สามารถแยกแยะได้ว่าอะไรควรไม่ควร? อะไรถูกไม่ถูก? โลกเขาไปถึงไหนก็ไม่รู้? ผู้นำระดับโลกคนดังๆ เขาทำอย่างไรให้องค์กรของเขาก้าวหน้า ทำอย่างไรคนทำงานถึงจะขับเคลื่อนองค์กรไปได้ท่ามกลางความขัดแย้ง (แค่นี้ก็คิดไม่ได้หรือ?)
ผู้นำเก่งๆเขามีความคิดแบบไหนก็คงไม่สนใจ จะมัดใจคนทำงานยังไงไม่เคยพิจารณาตัวเอง ยังคงดักดานอยู่กับเจตคติเดิม ๆ วิถีชีวิตเดิม ๆ คนอายุน้อย ๆ ที่เก่งกว่าท่านผู้นี้ก็อิจฉาไม่ยอมรับความสามารถของพวกเขา หรือบางครั้งคนทำงานอาจจะมีมุมมองที่แตกต่างและอาจจะถูกต้องมากกว่าสิ่งที่เขาคิดหรือเคยรับรู้ เขาก็ไม่ยอมรับทำได้เพียงกีดกันและแถข้าง ๆ คู ๆ ในสิ่งที่มันไม่เป็นความจริง(ใส่ไข่ใส่น้ำ)
จึงอยากขอร้องให้ท่านผู้นี้มีมโนธรรมสำนึก มีความเป็นมนุษย์สักเล็กน้อย อย่าทำตัวแบบแก้วที่คว่ำไม่รับรู้อะไรอื่นอีก ลองทำตัวเป็นเหมือนแก้วที่พร้อมจะเติมน้ำตลอดเวลา จะได้รู้ว่าในตอนนี้โลกได้ก้าวกระโดดไปถึงไหนต่อไหนแล้ว
ผู้นำเก่งๆเขาคิดอะไรเขาทำอะไร ท่านไม่รู้อะไรแค่เปิดใจถามหรือปรึกษา ช่องทางความรู้มีอยู่มากมาย องค์กรที่ดีเขาพร้อมซัพพอร์ทท่านเสมอ แค่ยอมรับในสิ่งที่เราไม่รู้มันน่าเคารพมากกว่าการยกอีโก้ของตัวเองมาเป็นกำแพงในการยอมรับความจริง
จมอยู่กับความคิดของตัวเองแบบไม่ลืมหูลืมตา มันจะยิ่งนำพาองค์กรและตัวของท่านเองให้จมดิ่งถึงขั้นแย่กว่าเดิม
ที่พูดมาทั้งหมดนี้แค่อยากจะบอกไว้ว่าถ้าผู้นำองค์กรกอปรด้วยวิสัยทัศน์ที่เฮงซวย มองโลกแบบล้าหลัง องค์กรจะถึงขั้นเรียกได้ว่า “ฉิบหาย” ไม่เพียงแค่องค์กรของท่านครับ คนทำงานของท่าน พวกพ้องของท่าน และตัวท่านเองที่จะต้องรับชะตากรรมความฉิบหายไปพร้อมๆกัน
ขอบคุณผู้นำเฮงซวยที่เปิดโอกาสให้ได้เรียนรู้อะไรมากมาย ทั้งมิตรภาพที่หายได้ยากยิ่ง และทั้งวิสัยทัศน์ที่สุดจะยอดแย่
ผมขอให้คำมั่นกับตัวเองว่าจะไม่นำความเฮงซวยเช่นนี้ไปใช้ในองค์กรของผมอย่างแน่นอน
ขอบคุณครับ
บันทึกไว้ ณ เผื่อจะกลับมาอ่าน.......
โฆษณา