6 ต.ค. 2023 เวลา 06:04 • ความคิดเห็น

การลงทุนคือการมองระยะยาว

บทเรียน David Beckham ที่ยอมลดค่าเหนื่อย 705 เพื่อสัญญาที่ทำให้เขาร่ำรวยขึ้น 21,500 ล้านบาท
1
ในปี 2007 ด้วยวัย 31 ปี เดวิด เบคแฮม (David Beckham) ถือว่ากำลังอยู่ในช่วงพีคที่สุดของชีวิต
ตลอด 15 ปีที่ผ่านมาได้เป็นทั้งนักเตะทีมชาติอังกฤษและเล่นให้กับทีมยักษ์ใหญ่อย่าง Manchester United และ Real Madrid และแต่งงานกับ วิกตอเรีย อดัมส์ (Victoria Adams) หนึ่งในสมาชิกวง Spice Girls ที่โด่งดังมากในยุค 90’s (ภายหลังแต่งงานก็เปลี่ยนเป็น วิกตอเรีย เบคแฮม)
เขาคือหนึ่งในนักเตะสัญชาติอังกฤษที่มีชื่อเสียงมากที่สุดคนหนึ่งของโลกในเวลานั้น
แต่แล้วในช่วงฤดูร้อนของปี 2007 เขาก็ตัดสินใจทำบางอย่างที่หลายต่อหลายคนสงสัยและตั้งคำถาม แทนที่จะเล่นให้ Real Madrid ต่อไปด้วยค่าเหนื่อยประมาณ 20 ล้านต่อปี (แม้จะมีข่าวว่า Real Madrid เองก็กำลังเจรจาต่อรองค่าเหนื่อยลงก็ตาม) เบคแฮมกลับตัดสินใจลดค่าเหนื่อยของตัวเองลงประมาณ 70% เหลือแค่ 6.5 ล้านต่อปี เพื่อไปเล่นให้กับทีม LA Galaxy ในลีกฟุตบอล MLS ของอเมริกาแทน
1
แฟนบอลบางคนบอกว่านี่คือช่วงขาลงของเขาแล้ว อยู่ต่ออาจจะไม่เล่น ไปลีกขนาดเล็กอย่าง MLS ก็ยังเป็นตัวจริงได้ ไม่ต้องปะทะหรือใช้ร่างกายมากนัก
1
นั่นก็อาจจะเป็นเรื่องจริง, แต่ก็ไม่ใช่เหตุผลทั้งหมดที่เขาตัดสินใจแบบนั้น
ในสัญญาที่เขาเซ็นกับ LA Galaxy นอกจากเรื่องค่าตัวที่ได้รับ 6.5 ล้านต่อปีแล้ว ยังมีเงื่อนไขที่เขาจะได้รับส่วนแบ่งจากรายได้ทั้งหมดของทีม LA Galaxy เป็นโบนัสอีกด้วย ไม่ว่าจะเป็นยอดขายสินค้า ตั๋ว สปอนเซอร์ หรือแม้แต่ฮอตดอก เบียร์ ขนมขบเคี้ยวที่ขายระหว่างเกมการแข่งขันด้วย
รวมๆ แล้วทุกอย่างค่าเหนื่อย ค่าสปอนเซอร์ ค่าส่วนแบ่งรายได้ ตลอด 5 ปีที่เขาอยู่กับ LA Galaxy ทำรายได้ไปประมาณ 255 ล้านเหรียญ เทียบกับถ้าอยู่ต่อไปที่ Real Madrid รายได้อย่างมากสุดก็แค่ 100 ล้านเหรียญเท่านั้นเทียบระยะเวลาเดียวกัน
เพราะฉะนั้นค่าเหนื่อยลดลง 70% ก็จริง แต่เขากลายเป็นนักเตะที่มีรายได้สูงมากที่สุดคนหนึ่งของโลกในช่วงเวลาที่อยู่กับ LA Galaxy
แต่ยังไม่หมดแค่นั้น
ตอนที่เขาเซ็นสัญญามาเล่นในลีก MLS ก็มีเงื่อนไขอีกข้อหนึ่งว่าหลังจากที่แขวนสตั๊ดแล้ว เขาสามารถเอาซื้อสิทธิ์ในการเอาทีมฟุตบอลเข้ามาเล่นในลีกได้ด้วยเงิน 25 ล้านเหรียญ ซึ่งในปี 2007 ทีม Toronto FC จ่ายเงินราวๆ 10 ล้านเหรียญเพื่อเข้ามาเล่นใน MLS เพราะฉะนั้นเงื่อนไขตรงนี้จึงดูไม่ได้มีอะไรพิเศษนักในตอนนั้น
1
แต่กลับกลายเป็นว่าหลังจากที่เบคแฮมเริ่มมาเล่นใน MLS ความนิยมของมันก็เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ทั้งยอดขายตั๋ว ทั้งการถ่ายทอดสด รวมถึงสินค้าของทีมต่างๆ ด้วย ผู้ชมเข้าดูเกมเฉลี่ยเพิ่มขึ้น 40% และดีลการถ่ายทอดสดจาก 8 ล้านเหรียญในปี 2006 กลายเป็น 250 ล้านเหรียญในตอนนี้ เพิ่มขึ้นกว่า 3,025%
ดีลที่ดูธรรมดาๆ ในปี 2007 ตอนนี้มูลค่าเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล
มูลค่าของลีกเพิ่มสูงขึ้นเมื่อมีทีมเข้ามาเพิ่มขึ้น จาก 13 ทีมตอนที่เบคแฮมเซ็นสัญญา ตอนนี้ทั้งลีกมีทั้งหมด 29 ทีมแล้ว ยังไม่พอค่าธรรมเนียมของสิทธิ์การเข้าร่วมลีกก็สูงขึ้นเรื่อยๆ จาก 10 ล้านเหรียญ มาเป็น 100 ล้านเหรียญในปี 2013 และ 325 ล้านเหรียญในปีล่าสุด
เพราะฉะนั้นสำหรับเบคแฮมตอนที่เขาเอาทีม Inter Miami CF เข้าลีกในปี 2020 ด้วยค่าธรรมเนียมเพียง 25 ล้านเหรียญ (ใช้เงื่อนไขตอนที่เซ็นสัญญาในปี 2007) ถือว่าเป็นผลประโยชน์ที่ดีมากๆ แถมตอนนี้ทีมของเขาก็มีมูลค่ากว่า 585 ล้านเหรียญ หรือกว่า 21,500 ล้านบาทแล้ว
สำหรับเบคแฮมแล้วการเซ็นสัญญาย้ายมาเล่นใน MLS ให้ LA Galaxy ถือเป็นการลงทุนแบบระยะยาวที่คุ้มค่า มันเป็นความเสี่ยงครั้งใหญ่และก็ได้ผลตอบแทนที่คุ้มค่า (ลองคิดดูว่าถ้าเขามาแล้วคนดูไม่อินหรือความนิยมของ MLS ไม่เพิ่มขึ้นก็คงเสียหายไม่น้อย) จากนักเตะสัญญาค่าเหนื่อยปีละ 6.5 ล้านเหรียญ ผ่านมาสิบกว่าปีตอนนี้กลายเป็นเจ้าของทีมฟุตบอลมูลค่ามากกว่า 500 ล้านเหรียญไปเรียบร้อย
ส่วน MLS เองก็ได้ผลประโยชน์เช่นกัน ทั้งยอดคนดู ทั้งสิทธิ์การถ่ายทอดสด และดึงดูดผู้เล่นที่มีชื่อเสียงจากทั่วโลกมาได้มากขึ้นเรื่อยๆ ถือเป็นดีลที่ win-win กันทั้งสองฝ่าย
#aomMONEY #SuccessStory #Money #ความสำเร็จ #DavidBeckham #Netflix #การเงิน #เดวิดเบคแฮม
โฆษณา