7 ต.ค. 2023 เวลา 09:31 • นิยาย เรื่องสั้น

บทที่ 1 ตายแล้วไปไหน?

เจ็บ... เจ็บมาก มึนหัวไปหมดแล้ว... เราต้องตายแล้วเหรอ...
...ไม่สิ ต่อให้ยังไม่ตายสักพักก็ต้องตายอยู่ดี มาโดนดักยิงท่ามกลางป่าเขาลำเนาไพรไกลปืนเที่ยงแบบนี้ 
ชีวิตเราคงจบในวัยย่างเข้า 35 ปีแล้วล่ะ
ก็ว่าแล้วว่าวันนี้มันแปลก ๆ แต่งานก็ต้องทำไง ใช่มะ? เดินไปเดินมาแปปเดียว โห่ นึกว่าเสียงประทัด ...ที่ไหนได้ เล่นยิงตูซะพรุนเลย
...แต่จะว่าไปชีวิตเราก็แปลก ตอนไปทำธุรกิจถูกกฎหมาย ไม่ว่าจะทำอะไรกลับถูกเรียกส่วยจากผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ ทั้ง ๆ ที่เราก็พยายามทำตามกฎหมายทุกอย่าง แต่สุดท้ายก็จะต้องมีบางจุดบางแง่มุมที่อยู่ดี ๆ ก็ผิดแบบงง ๆ ซะอย่างนั้น
แต่พอตัดใจมาทำธุรกิจสีเทาหน่อยแม้จะต้องจ่ายมากขึ้นแต่กลับทำงานง่ายขึ้นเยอะ ซื้อง่ายขายคล่อง เปิดถึง
กี่โมงก็ได้ ภาษีก็ไม่ต้องจ่าย ประกันสังคมก็ไม่ต้องมี แล้วไป ๆ มา ๆ ไอ้ที่เทา ๆ กลับกลายเป็นดำคล้ำลงเรื่อย ๆ
จากแค่อยากเปิดร้านอาหารกลางคืนแล้วปิดช้าเกินเวลาสักหน่อย อยู่ดี ๆ ก็มีโอกาสจากลูกค้าให้ไปเป็นนายหน้าบ่อนพนันออนไลน์จากต่างประเทศ
ไอ้เราก็รู้แหละว่าไม่ถูกต้อง แต่ลองมองดูสิ ทั่วประเทศเรา ไม่ว่าจะดารา ไฮโซ ข้าราชการ ตำรวจ ทหาร หมอ ทุกสายงาน ทุกสายอาชีพ พวกนั้นก็ทำทั้งนั้น เปิดเว็ปพนันออนไลน์ จ้างพวกแร็ปเปอร์มาแต่งเพลงให้เพื่อใช้โฆษณา แล้วก็เอาพริตตี้กับดาราตกอับสักสองสามคนมาเป็นพรีเซ็นเตอร์ให้ แล้วเป็นเล่นไป ทำแค่นี้ยอดก็ได้เป็นสิบล้านร้อยล้านแล้วนา นี่ไม่นับพวกทำเว็ปโป๊ควบไปด้วย กำไรเยอะจะตาย...
ตำรวจ? มีใครกลัวโดนจับด้วยเหรอไง! แค่อย่าไปดึงลูกค้ากลุ่มเดียวกันก็พอแล้ว ไปเช็คให้ดี ๆ สิว่าเว็ปพวกนั้นเน้นอะไร? ถ้าเป็นไพ่ป๊อก เอ็งก็ไปทำเก้าเกแทน สบาย ๆ น่า...
แต่ก็นะ ...ใจลึก ๆ เราก็รู้แหละ ว่าการที่ทำตามคนอื่น ๆ นั่นก็ไม่ได้แปลว่าเราทำถูกต้อง เราก็เข้าใจดี กฎหมายก็คือกฎหมาย ในเมื่อมันผิดก็ต้องว่าไปตามนั้น คนที่มีอำนาจเขาก็เลี่ยงได้ แต่เราไม่มีเราก็ต้องรับ ในเมื่อเราถลำลึกลงมาเกินครึ่งตัวแล้ว ต่อให้อยากออกไปก็ใช่ว่าจะทำได้ซะเมื่อไหร่ล่ะ...
แต่อย่างแย่ที่สุด ที่คิดไว้ก็แค่ถูกตำรวจจับไม่ใช่เหรอ... ปรับเงินสักก้อน ติดคุกสักปีนึง แล้วก็จบ ๆ ไป ออกมาใช้เงินสบาย ๆ ไม่ใช่เหรอ?
คือตอนนั้นเคยคิดไว้นะ ว่าถ้าถูกจับสักครั้ง แสร้งทำเป็นกลัวจนหัวหด ใช้เงินหว่านวิ่งคดีไปให้มากหน่อย ไปติดคุกสักพัก จากนั้นก็ถอนตัวออกมาเงียบ ๆ ส่งไม้ต่อให้คนที่อยากรวยสักคนแล้วหนีไปต่างประเทศ แค่นั้นก็จบไง
ทั้งที่คิดแผนไว้แล้วแท้ ๆ ...แต่สุดท้ายกลับต้องมาพัวพันกับการค้ายาเสพติดเข้าจนได้
ก็แทนที่ไอ้พวกหัวปิงปองนั่นจับเราไปแล้วจะดำเนินคดีให้มันจบ ๆ พอเห็นลู่ทางเรามากหน่อยก็กลับบังคับให้เราเป็นนายหน้าติดต่อเอเย่นต์รายใหญ่จากประเทศเพื่อนบ้าน เพื่อที่จะนำเข้ายาเสพติดจำนวนมากมามอมเมาคนในประเทศ
คิดว่าตัวเราจะทำ? หน้าตาเราชั่วขนาดนั้นจริงดิ? คนมีหนวดเคราไม่ได้แปลว่าชั่วนะเฮ้ย...
ก็นั่นแหละ แล้วไอ้พวกหน้าโง่นั่นไม่ได้รู้เรื่องเลยว่าเราแค่เสแสร้งแกล้งยอม คิดว่าเรากลัวคดีการพนันออนไลน์จนหัวหด ให้ทำอะไรก็ต้องทำตาม ถามจริง? กลัวไรฟะ เงินก็ซุกไว้ที่อื่นหมดแล้ว จริงมั้ยล่ะ?
ก็นั่นอีกแหละ จะเรียกว่าสีเทาหักสีเทาก็ได้ สุดท้ายหน้าโหด ๆ อย่างเราก็ตัดใจขายยาเสพติดไม่ลงจริง ๆ สรุปสุดท้ายก็เลยเล่นงานพวกมันซะเลย
เหอะ... เจอซ้อนแผนเรียกปปส. มารวบแม่งยกกะบิ จับยาล็อตใหญ่สุดในรอบปี คงแค้นเราเข้ากระดูกดำกันเลยสิท่า? จะว่าไปตอนนั้นกลัวเจอปปส. หิวเงินเหมือนกัน แต่ก็ยังดีที่เจ้าหน้าที่ดี ๆ ในประเทศนี้ยังมีเหลืออยู่ ...ขอบคุณครับ
แต่ก็นะ อุตส่าห์หนีมากบดานจังหวัดห่างไกลความเจริญขนาดนี้แล้วแท้ ๆ ขนาดคนที่บ้านยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเราหนีไปไหน แต่ไอ้พวกเวรตะไลนั่นยังหาเจอจนได้ ...เก่งกันจังวะ แล้วก็มาเก่งแต่กับตูซะด้วย
แล้วญาติเราก็เหลือแค่พี่ชายที่อยู่ต่างประเทศ เกือบได้หนีไปอยู่ด้วยแล้วแท้ ๆ แต่นั่นล่ะ ใครใช้ให้เรามีคดีเยอะจนนั่งเครื่องบินไปแบบปกติไม่ได้ล่ะ แล้วไอ้เรือสินค้าเวรนั่นก็ลีลาไม่ยอมออกซักทีรอเรียงคอนเทนเนอร์บ้าง รอสินค้ามาเติมบ้าง
บ้าบอคอแตก! สุดท้ายเราก็เลยต้องหนีเป็นหมาตัวนึง ดีนะ ยังโอนเงินผ่านช่องทางพิเศษไปครบหมดแล้ว แม้จะโดนหักไปเยอะหน่อยก็เถอะ
อืม... แต่เราก็ไม่รอดอยู่ดีนี่หว่า? เหมือนเราจะโดนยิงราวสามสี่นัดสินะ รู้สึกจะโดนตรงท้องกับหน้าอก? ไม่รู้สิ ไม่มีแรงจะยกหัวไปมองแล้วล่ะ ...แต่ตอนนี้เริ่มไม่เจ็บแล้วแฮะ เหมือนอากาศเริ่มหนาวแทน สงสัยวาระสุดท้ายใกล้มาถึงเต็มทีแล้วล่ะนะ
เอาจริงเลยนะ นี่ถ้าไม่ลาออกจากงานประจำตอนอายุ 25 ป่านนี้เราคงเป็น
รองผู้จัดการไปแล้วมั้ง? หรืออย่างน้อยก็พนักงานอาวุโสสักตำแหน่งไรงี้
...แต่ก็นั่นล่ะ ยุคนี้สมัยนี้ใคร ๆ ก็อยากร่ำรวยไม่ใช่เหรอ? ต่อให้ย้อนเวลากลับไปได้ วันนั้นเราก็คงลาออกอยู่ดีนั่นแหละ
นั่นแปลว่านี่คือโชคชะตา? ...แต่ก็ไม่น่าใช่มั้ง เราเรียกปปส. มาจับพวกมันนะ ความดีงามพวกนี้ไม่น่าส่งผลให้เราต้องมาตายอนาถแบบนี้หรอกมั้ง? ...หรือบาปเราจะเยอะเกินไปฟะ? ช่างเหอะ คิดไปก็รกสมองน่า
โอ๊ะ... ไม่รู้สึกถึงร่างกายแล้วแฮะ เราคงทนไม่ไหวแล้ว อา... ขอให้พี่ชายประสบแต่ความเจริญแล้วกันนะ ตังที่โอนไปก็อย่าไปหาที่มาที่ไปเลย ใช้ ๆ ไปเถอะ
ส่วนน้องที่ไม่ได้เรื่องได้ราวคนนี้คงต้องลาไปก่อนแล้ว ...แล้วผมยังไม่เข้าใจที่พี่บอกหรอก เรื่องการเป็นคนดีน่ะ จะแยกยังไงในเมื่อมองไปทางไหนก็มีแต่เรื่องเทา ๆ เต็มไปหมดอะนะ ช่างเถอะ ๆ ไม่ทันแล้วล่ะ ...สุดท้ายก็ขอให้ลูกสาวพี่โตอย่างมั่นคงแข็งแรงมีครอบครัวที่ดี เข้าใจคำว่าความดีงามแบบที่พี่คอยสอนผมนะ แล้วก็...
...ผมขอโทษนะครับ
...
__________
เอ๋...
นี่มันอะไรกันเนี่ย... เรายังไม่ตายเหรอ?
หนุ่มวัยรุ่นอายุไม่เกินยี่สิบห้าปีคนหนึ่งกำลังเงยหน้าขึ้นมาจากโต๊ะคอมพิวเตอร์ แววตามึนงงสุดขีด ภาพที่ปรากฏแก่สายตาช่างน่าพิกลนัก โลกเราเทคโนโลยีไปไกลขนาดนี้แล้วเหรอเนี่ย ทำไมเราจำไม่ได้เลยว่ามีอุปกรณ์ไฮเทคฯ ขนาดนี้อยู่ด้วย
ไม่ทันได้สับสนนาน ความเจ็บปราดแล่นเข้าสู่สมอง ความทรงจำต่าง ๆ ไหลเข้ามารวมกันราวน้ำวนขนาดย่อม ความเจ็บนี้ไม่ได้ด้อยกว่าตอนถูกยิงเท่าไหร่นัก ร่างชายหนุ่มปริศนาลงไปนอนดิ้นอยู่บนพื้น
“โอย... เอ่อ... เราชื่อ อลัน ฟลินท์ อายุ 23 ปี ทำงานร้านสะดวกซื้อ ส่วนที่นี่... โลกนี้...มันประหลาดเกินไปแล้ว!” ประโยคสุดท้ายเขาเอ่ยขึ้นเต็มเสียง
เมื่อความทรงจำเจ้าของร่างนี้หลอมรวมกับเขา มันทำให้เขาถึงกับเก็บอาการไม่อยู่
จากข้อมูลที่ไหลเข้ามา โลกใบนี้ชื่อว่า ‘เอเลนอร์’ มันมีขนาดกว้างใหญ่มาก ๆ ประชากรทั้งหมดมีไม่ต่ำกว่าสามพันล้านคน แต่นั่นไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจ ที่สำคัญก็คือที่นี่ประชากรถูกแบ่งระดับตามการวิวัฒนาการต่างหาก
ประชากรบนโลกใบนี้ เกินกว่าครึ่งล้วนก้าวเข้าสู่ระดับหนึ่ง หรือสูงกว่านั้น พลังแปลกพิสดารจำนวนมากถูกบันทึกลงในหน้าประวัติศาสตร์ของดาวเคราะห์ดวงนี้
โดยปกติ พลังพิเศษจะตื่นขึ้นมาในช่วงอายุระหว่าง 12-18 ปี ในช่วงแรกเริ่มของยุคสมัยก็มีไม่มากเท่าไหร่ จนกระทั่งราว 600 ปีมานี้ เหล่านักวิทยาศาสตร์ได้คิดค้นวิธีกระตุ้นพลังแฝงในร่างกายทำให้เกิดการบังคับวิวัฒนาการ หลังจากนั้นประชากรจำนวนมากก็ก้าวเข้าสู่ยุคสมัยใหม่อย่างเต็มตัว
แต่ที่สำคัญคือ โลกใบนี้เทคโนโลยีไม่ได้ด้อยไปกว่าโลกเดิมเลย ในบางเรื่องมันระดับสูงกว่าด้วยซ้ำ เรียกว่าพัฒนาการทั้งสองด้านทั้งวิทยาศาสตร์และพลังพิเศษไม่ได้ด้อยกว่ากัน เป็นเรื่องมหัศจรรย์มาก ๆ
ตัวอย่างเช่นคอมพิวเตอร์ตรงหน้าของอลัน มันเป็นเพียงแผ่นบาง ๆ ขนาดกว้างราวทีวี 40 นิ้ว และมีความหนาราว 7-8 มิลลิเมตร สามารถแปะอยู่ตรงผนังโล่ง ๆ ได้ และไอ่แผ่นนั่นเป็นชิ้นส่วนทั้งหมดที่มันมี ทั้งยังสามารถแกะออกม้วนกลม ๆ ย้ายไปแปะตรงไหนก็ได้อีกด้วย
ส่วนในด้านพลังพิเศษจากความทรงจำของเจ้าของร่างเดิม บุคคลสำคัญในหน้าประวัติศาสตร์ล้วนแต่มีพลังพิเศษสุดอลังการอยู่ทั้งนั้น ไม่ว่าจะเหาะเหินเดินอากาศ เรียกอุกกาบาตจากฟ้า หรือไม่ก็ใช้พลังจิตยกเมืองหนีจากการรุกรานของสัตว์อสูร
ไม่ว่าในเรื่องไหนล้วนแต่น่าเหลือเชื่อ โลกใบนี้มันแปลกเกินไปแล้ว เพียงแต่ว่า...
“ได้ข้ามโลกมาทั้งที ...แต่อลันเอ๊ย อลัน ทำไมแกมันกากขนาดนี้วะเนี่ย!” เขาถึงขั้นแทบคุมอารมณ์ไม่อยู่ มือสองข้างทึ้งหัวตัวเองไม่หยุด
ก็แน่ล่ะ! ...ร่างกายของนายอลัน ยังไม่มีพลังตื่นขึ้นเลยสักอย่างเดียว ...แม้แต่อย่างเดียว! ทั้ง ๆ ที่อายุ 23 ปีเข้าไปแล้ว!
ในด้านการศึกษาก็ห่วยแตกสิ้นดี! หมอนี่จบแค่การศึกษาพื้นฐานเท่านั้น
เมื่อไม่มีทั้งพลัง ไม่มีทั้งความรู้ หมอนี่ทำได้แค่ทำงานร้านสะดวกซื้อเลี้ยงชีพ สมบัติที่แพงที่สุดในห้องเช่าเล็ก ๆ นี่ก็คือคอมพิวเตอร์ราคา 40,000 เครดิตที่ยังผ่อนไม่หมดนี่เท่านั้น!
...ผ่อนยังไม่หมด!
เขาลุกออกจากเตียงเพื่อสงบสติอารมณ์ เขาลงนั่งลงไปส่องกระจกดูร่างกายใหม่ของตัวเองอีกครั้งเผื่อจะเจออะไร
ดี ๆ
ชายหนุ่มวัยรุ่นตอนปลาย ก้าวสู่วัยผู้ใหญ่ตอนต้น อายุ 23 ปี ผิวขาวเหลืองหน้าตาออกไปทางเอเชีย เพียงแต่มีเส้นผมสีน้ำตาลอ่อน ร่างกายค่อนข้างอวบอัด เนื่องจากกินแต่อาหารฟาสต์ฟู้ดทุกมื้ออาหาร พอแดดร่มลมตกก็กินแต่แอลกอฮอล์นา ๆ ชนิด
และจากความทรงจำที่แล่นพรวดพราดเข้ามา เมื่อคืนหมอนี่ซัดเบียร์ไม่ยั้งตั้งแต่เลิกงานยาวไปยันเกือบสว่าง พอกลับมาก็มาเปิดคอมฯ เล่นเกมแพ้จนความดันขึ้น สักพักก็แน่นหน้าอก ฟุบลงไปกับโต๊ะ ...ตายคาที่
“หัวใจล้มเหลวเฉียบพลันสินะ ตายอย่างโดดเดี่ยวไม่ต่างจากเราเท่าไหร่นี่ ฮะ ๆ 
แต่ว่าฉันชนะแน่นอน กว่าฉันจะตายต้องโดนยิงตั้ง 4 นัดนะเฟ้ย” อยู่ดี ๆ ก็ขิงวิธีตายซะงั้น สงสัยจะเป็นผลกระทบจากการย้ายร่าง...
“ช่างเถอะ ไหน ๆ ก็ไหน ๆ แล้ว อดีตก็ผ่านไป นับจากวันนี้ เราคือ อลัน ฟลินท์!”
โอกาสครั้งใหม่มาแล้ว ลองดูซักตั้งก็แล้วกัน...
___________
อลันจัดการตัวเองแบบง่าย ๆ เขาจำได้ว่าวันนี้เขาต้องเข้ากะที่ร้านสะดวกซื้อตอนบ่ายโมงตรง ตอนนี้ก็ใกล้จะเที่ยงแล้ว อย่างน้อยเขาต้องไปหาอาหารดี ๆ กิน
สักหน่อยก่อน
อันที่จริงเขาจะโดดงานไปเลยก็ได้ อย่างไรอลันคนเดิมก็ไม่ใช่คนขยันขันแข็งอยู่แล้ว มีหลายครั้งที่เขาขอลางานเพียงเพราะเมื่อคืนดื่มหนัก ตื่นไม่ไหว เรียกว่าความรับผิดชอบไม่เคยมีอยู่ในหัวสมองแต่แรกแล้ว
แต่ตอนนี้เขาไม่ใช่อลันคนเดิม อีกทั้งเขายังอยากเข้าสู่โลกใบใหม่ให้เร็วที่สุด แม้ตอนนี้เขาจะยังไม่มีพลังพิเศษใด ๆ แต่จากความทรงจำ มันยังสามารถกระตุ้นออกมาได้ ขอเพียงเขาเก็บเงินได้มากพอ
ดังนั้น เขาจึงต้องไปทำงาน...
เวลาเที่ยงครึ่ง ตามปกติอลันคนก่อนจะไปหาของที่ในร้านสะดวกซื้อที่เขาทำงานนั่นแหละ แต่ตอนนี้นายอลันคนใหม่ลงมานั่งกินก๋วยเตี๋ยวอยู่แถวร้านสะดวกซื้อแทน ซึ่งอาหารที่เอเลนอร์แห่งนี้มีหลากหลายมาก ๆ เรียกว่าถ้าเป็นโลกเดิม เยอะขนาดนี้ก็เป็นโซนอาหารนานาชาติได้เลยทีเดียว แต่สุดท้ายเขาเลือกกินก๋วยเตี๋ยวร้อน ๆ เพื่อรีเฟรชร่างกายอวบอัดให้พร้อมสำหรับการทำงาน…
เขาเดินมาถึงร้านสะดวกซื้อก่อนเวลาเข้ากะประมาณ 15 นาที เพื่อนร่วมงานหลายคนทักเขาอย่างประหลาดใจ
“เหลือเชื่อ... ปกติต้องเลท 15 นาทีไม่ใช่เหรอ สงสัยวันนี้พายุจะเข้าแล้วล่ะ” เพื่อนร่วมงานชายผมแดงที่กำลังจะเลิกงานจากกะก่อนหน้าเอ่ยทักเขาแบบทึ่ง ๆ
“เงียบน่า สมิท วันนี้ก็แค่ขยันเท่านั้นล่ะ” อลันตอบกลับไปง่าย ๆ จากความทรงจำ เขากะไว้แล้วว่าต้องมีคนทักแน่ ๆ หาดเขามาเข้างานก่อนเวลา ...ซึ่งก็เดาไม่ผิดเลย
“พูดได้ดี อลัน นายต้องขยัน ๆ หน่อย ไม่งั้นหัวหน้าอาจจะไล่นายออกได้ทุกเมื่อ” เจนนิส หญิงสาวเพื่อนร่วมงานอีกคนเอ่ยเสริมพลางหัวเราะคิกคักไปด้วย
“ไม่มีวันนั้นหรอกน่า! รู้ซะบ้างว่าฉันเป็นใคร” อลันใช้ความทรงจำเดิมตอบกลับอย่างนิ่ม ๆ เขารู้มานานแล้วว่า เมซี่ ผู้จัดการร้านอยากจะไล่เขาออกเต็มแก่ เพียงแต่เจ้าอลันมันรู้มาก แม้จะสายและลาบ่อย แต่ก็ไม่เกินโควตาการทำงานของร้านเลยสักครั้ง เต็มที่เธอเลยทำได้เพียงตัดเงินเฉยๆ
“ระวังเถอะ พลาดเมื่อไหร่ นายเป็นอดีตพนักงานแน่ ๆ” สมิทบอกพลางหัวเราะร่วน หมอนี่รำคาญอลันที่ชอบมาเข้ากะสายบ่อย ๆ นั่นแหละ ไม่มีอะไรมากกว่านั้นหรอก
หลักจากแซวกันพอหอมปากหอมคอ อลันก็เข้าทำหน้าที่ของตัวเองต่อจากสมิท และ เจนนิส ซึ่งรีบร้อนเดินออกไปหาอะไรกินทันที
เพื่อนร่วมงานอีกคนของเขาก็มาทันเวลาเข้ากะแบบฉิวเฉียด เธอชื่อแอนนา เป็นพนักงานพาร์ทไทม์เนื่องจากยังเรียนการศึกษาเฉพาะทางอยู่ เรียกได้ว่าอนาคตค่อนข้างดีทีเดียว ขอแค่สอบให้ผ่านในรอบเปิดรับ เธอก็สามารถบอกลางานห่วย ๆ นี่ได้ทันที
“วันนี้เธอไปทำตรงแคชเชียร์แล้วกัน เดี๋ยวงานเช็คของฉันทำเอง” อลันเอ่ยขึ้นมาท่ามกลางความเงียบ
...และมันดันทำให้เงียบลงไปอีก แอนนาทำหน้าไม่อยากจะเชื่อ ปกติอลันมักจะทำงานแคชเชียร์เนื่องจากงานเดินเช็คของและเติมของมันเหนื่อยกว่า แอนนาที่เป็นผู้หญิงมักจะต้องก้มหน้าก้มตาทำ เพราะไม่อยากมีปัญหากับอลันผู้ที่สามารถชี้หน้าด่าใครก็ได้โดยไม่มีความรู้สึกผิด
“ไม่ต้องอึ้ง เพราะถ้าเงินในลิ้นชักเครื่องคิดเงินหาย เธอต้องรับผิดชอบนะ!” อลันไม่อยากบอกว่าเขาเปลี่ยนเป็นคนใหม่แล้ว และเขาไม่สามารถให้ผู้หญิงที่อายุน้อยกว่าเขาทำงานหนักกว่าได้ เขาถึงหาข้ออ้างเรื่องเลี่ยงการรับผิดชอบลิ้นชักเก็บเงิน
แอนนาตาเหลือกเดินไปเช็คเงินในเครื่องทันที แม้ร้อยละ 99 เงินจะถูกจ่ายผ่านระบบ แต่ร้านก็เตรียมเศษเงินไว้เผื่อเหลือเผื่อขาด แม้มันจะราว ๆ แค่สามร้อยเครดิต แต่ถ้าหายไป พนักงานก็ต้องรับผิดชอบอยู่ดี ด้วยเงินเดือนที่น้อยนิด เธอไม่สามารถพลาดได้
เพียงแต่... อลันไม่รู้จะทำหน้าแบบไหนดีเมื่อเห็นแอนนาเช็คเงินไม่กี่ร้อยซ้ำไปซ้ำมา ...กลัวฉันแฮ้บตังไปขนาดนั้นเลยเรอะไง! หน้าฉันเหมือนโจรขนาดนั้นเลยเรอะ! ฉันโกนหนวดมาแล้วนะเฟ้ย!
แต่สุดท้ายเขาก็ไม่ได้บ่นอะไรออกไป เพียงแค่กรอกตาเบา ๆ แล้วเดินไปทางานต่อด้วยสีหน้าย่ำแย่เท่านั้น
to be continue
โฆษณา