15 ต.ค. 2023 เวลา 00:51 • ไลฟ์สไตล์

ความงามที่มากับความหายนะ

สิ่งเล็กๆ ที่เราเพิกเฉย คิดว่ามันไม่น่าจะมีอะไร ตอนนี้มันได้สร้างปัญหาที่อาจจะสายเกินแก้ไปแล้ว
จากการเปิดเผยของนักวิทยาศาสตร์จากมหาวิทยาลัยอินซูเบรียและโตริโน่ ประเทศอิตาลี ร่วมมือกับ บริติส แอนตาร์กติก เซอร์เวย์ โดยการตีพิมพ์ผลการศึกษาในวารสาร Current Biology พบว่ามีพันธุ์พืชที่เรียกว่า หญ้าขนแอนตาร์กติก (Deschampsia Antarctica) และ เพิร์ลเวิร์ตแอนตาร์กติก (Antarctic Pearlwort) เติบโตอย่างรวดเร็วบนเกาะซีกนีย์ซึ่งเป็นเกาะแห่งหนึ่งในทวีปแอนตาร์กติกาหรือขั้วโลกใต้ ดินแดนที่ได้ชื่อว่ามีอากาศหนาวเย็นที่สุดในโลก ยากที่จะมีพืชใดๆ เติบโตได้ แต่ดอกหญ้ากลับออกดอกบานสวยงาม
จริงๆ แล้วมันไม่น่ามาอยู่ตรงนี้เลย เป็นความงามที่มาพร้อมกับความหายนะ
ปัญหาเกิดจากจำนวนแมวน้ำขน (Fur Seals) ซึ่งเป็นศัตรูกับพืชเหล่านี้ลดจำนวนลงอย่างมหาศาล จนไม่มีใครคอยเหยียบทับเพื่อยับยั้งการเจริญเติบโต ทำให้หญ้าทั้งสองตระกูลนี้รอดชีวิตและผลิดอกสวยงาม ทั้งที่อุณหภูมิที่ขั้วโลกใต้ติดลบถึง 60 องศาเซลเซียส สภาพภูมิประเทศมีแต่น้ำแข็ง ลมแรงและปกคลุมไปด้วยหิมะ ไม่มีพืชชนิดไหนเติบโตได้ ยกเว้น พืชประจำถิ่นบรรดา มอส เฟิร์นและไลเคน
ไม่ใช่แค่จำนวนแมวน้ำที่ลดลง บรรดาเพนกวิน และสิ่งมีชีวิตอื่นๆ ต่างก็กำลังลดจำนวนลงด้วยเช่นกัน เนื่องจากแหล่งอาหารของพวกมันที่ลดน้อยลง รวมทั้งอุณหภูมิที่อบอุ่นขึ้นทำให้มีสิ่งมีชีวิตจากที่อื่นอพยพเข้ามาอยู่ในพื้นที่และมีชีวิตอยู่ได้ เท่านั้นยังไม่พอ มันยังนำเกสรและเมล็ดพืชที่ติดตัวมา รวมทั้งที่ขับถ่ายออกมา ทำให้พืชและสัตว์ต่างถิ่นเริ่มแพร่พันธุ์ ส่งผลให้ระบบนิเวศบริเวณขั้วโลกผิดเพี้ยนไปอย่างรวดเร็ว
สาเหตุทั้งหมดทั้งมวลนั้น เกิดจากฝีมือมนุษย์ที่เป็นตัวการ ทำให้เกิดภาวะโลกร้อน น้ำแข็งขั้วโลกละลายอย่างรวดเร็ว ภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อมกำลังเปลี่ยนแปลงขั้นรุนแรง จากเดิมที่นักวิทยาศาสตร์คาดว่าอุณหภูมิโลกจะเพิ่มขึ้น 2-3 องศาเซลเซียส หลังจากสิ้นศตวรรษนี้ แต่ตอนนี้มันได้เกิดขึ้นแล้ว ไม่ต้องรอให้ถึงเวลานั้น
เรามีการรณรงค์เรื่องภาวะโลกร้อนกันทั่วโลกมาหลายสิบปี พยายามลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก แต่ผลลัพธ์ไม่ได้กระเตื้องขึ้นเลย หลายประเทศ หลายอุตสาหกรรม เอาแต่สร้างภาพลักษณ์ ปากก็เอาแต่พร่ำพูดว่าต้องปรับปรุงเปลี่ยนแปลง แต่ความจริงแล้วยังปฏิบัติตัวกันเหมือนเดิม เห็นแก่ตัวและยึดผลประโยชน์ของตัวเองเป็นหลัก โดยไม่สนใจหายนะของโลกที่เกิดขึ้นและไม่เคยคิดห่วงชีวิตความเป็นอยู่ของลูกหลานที่ต้องเผชิญสิ่งเลวร้ายขั้นหายนะในอนาคต
แม้แต่ตัวเราเองที่ยังคิดว่า กินน้อย ใช้น้อย ไม่น่าจะมีผลต่อสิ่งแวดล้อม ถึงจะออกมาเรียกร้องเรื่องเหล่านี้ ลำพังคนตัวเล็กๆ อย่างเรา พูดไปก็คงไม่มีใครฟัง ทำอะไรไปก็ไม่มีใครสนใจ สู้ปล่อยให้องค์กรใหญ่ๆ เขาทำกันจะเห็นผลได้มากกว่า อยู่เงียบๆ น่ะดีแล้ว
ใครคิดแบบนี้ ลองอ่านนิทานปลาดาวเรื่องนี้กันครับ
เป็นนิทานที่ดัดแปลงมาจากเราเรื่อง The star thrower ที่ถูกรวบรวมไว้ในหนังสือ The Unexpected Universe เขียนโดย Loren Eiseley นักมานุษยวิทยาและนักเขียนแนววิทยาศาสตร์ ชาวอเมริกัน
มีชายคนหนึ่งกำลังเดินเล่นตามชายหาด เห็นเด็กน้อยกำลังก้มๆ เงยๆ ทำอะไรบางอย่าง จึงเข้าไปดู
“หนู กำลังทำอะไรอยู่“ ชายคนนั้นเริ่มบทสนทนา
“ผมกำลังพาปลาดาวกลับบ้าน” เด็กน้อยตอบ พลางกล้มหยิบปลาดาวที่ขึ้นมาเกยตื้นบนชายหาด แล้วขว้างลงทะเล ทีละตัว ทีละตัว
“ทำไมต้องทำอย่างนั้นด้วยล่ะ” ชายหนุ่มถามต่อ
“พระอาทิตย์กำลังจะขึ้นและน้ำกำลังจะลง ถ้าปล่อยไว้ มันจะต้องแห้งตายแน่” เด็กน้อยตอบ
ชายหนุ่มมองปลาดาวที่นอนเกลื่อนอยู่มากมายตลอดแนวชายหาดแล้วถามต่อว่า
“หนูไม่เห็นเหรอว่ามีปลาดาวอยู่มากมาย ไม่มีทางช่วยมันได้ทั้งหมดหรอก ที่หนูทำมันไม่ได้ช่วยอะไรให้แตกต่างหรอก”
เด็กน้อยเงียบแล้วหยิบปลาตัวหนึ่งขึ้นมา แล้วหันมาบอกชายหนุ่มว่า
“ก็ปลาดาวตัวนี้ไงครับ อย่าน้อยชีวิตมันก็กำลังจะเปลี่ยนแปลง” พูดจบ เด็กน้อยก็ขว้างปลาดาวในมือลงน้ำไป
หลายครั้ง เราล้มเลิกความตั้งใจในการทำอะไรบางอย่าง เพราะคิดว่ามันไม่ช่วยอะไร เพราะตัวเราไม่มีอำนาจที่จะสร้างแรงกระเพื่อมแก่สังคมได้ แล้วยังเคาะหัวตำหนิตัวเองว่าทำอะไรใหญ่เกินตัว สุดท้ายก็ไม่ได้ทำอะไรเลย
มันจะดีกว่าหากเรา “เริ่มลงมือทำจากสิ่งเล็กๆ” ที่ทำได้โดยตัวเราเอง แม้มันแทบจะมองไม่เห็นการเปลี่ยนแปลง แต่เชื่อเถอะว่า สิ่งเล็ก ๆ ที่เราเริ่มทำนั้น จะเป็นจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงใหญ่ๆ ที่กำลังตามมา
ทำสิ่งเล็กๆ แต่ทำอย่างสม่ำเสมอ ผลลัพธ์ที่ได้อาจยิ่งใหญ่มหาศาล
หมายเหตุ: ขอบคุณรูปภาพจาก Alexandre Soares Rosado Microbilogist-professor of Biosciences at Kaust
เริ่มลงมือทำจากสิ่งเล็กๆ แต่ทำอย่างสม่ำเสมอ ผลลัพธ์ที่ยิ่งใหญ่จะตามมา
โฆษณา