18 ต.ค. 2023 เวลา 13:00 • การ์ตูน

อนิเมะประจำกาลฤดูใบไม้ร่วง ปี 2023

หลังจากห่างหายจากการเขียนเรื่องเกี่ยวกับอนิเมะไปนาน เนื่องจากยุ่งมากตลอดหลายเดือนที่ผ่านมา แม้ว่าจะมีความขี้เกียจเขียนอยู่มากพอสมควร แต่มันรู้สึกเหมือนเป็นหน้าที่อย่างหนึ่งที่ค้างคาใจอยู่ จะไม่เขียนก็ไม่ได้ ก็เลยอย่างน้อยควรจะเขียนอะไรสักอย่างเกี่ยวกับบรรยากาศอนิเมะประจำฤดูใบไม้ร่วง ปี 2023
เหตุที่ขี้เกียจเขียน ไม่ใช่เพราะไม่ชอบเขียน อยากจะเขียน แต่ไม่รู้จะเขียนเรื่องอะไรดี แม้ว่าจะมีเรื่องที่เขียนเสร็จแต่เก็บไว้ใน stock อยู่เรื่องหนึ่ง รอเวลาลงโพส แต่ก็คิดว่าน่าจะยังไม่ถึงเวลา อีกทั้งได้หัวข้อใหม่ที่อยากจะเขียนแล้ว แต่ก็ยังคิดไม่ออกว่าจะร้อยเรียงเรื่องราวยังไงให้มีความน่าสนใจ ระหว่างนี้ที่ยังคิดไม่ออก ก็เลยว่าจะเขียน เกี่ยวกับอนิเมะประจำฤดูกาลนี้ที่ผมตัดสินใจดูไปก่อนก็แล้วกัน เพราะอย่างน้อยก็มีเรื่องน่าพูดถึงอยู่บ้าง
โพสนี้น่าจะเป็นโพสที่สั้นมาก ๆ หากจะให้เทียบกับมาตรฐานความยืดยาวของวิธีการเขียนของผม เพราะว่าสำหรับฤดูกาลนี้ มีอนิเมะที่ผมสนใจอยู่น้อยมาก แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีคุณภาพ อาจจะเป็นเพราะสองฤดูกาลที่แล้วผมตัดสินใจดูอนิเมะหลายเรื่องมากจึงแอบเกิดอาการหมดไฟเล็กน้อย ลักษณะเหมือนต้องดูอนิเมะเพราะเป็นงานชนิดหนึ่ง แต่ก็ไม่ได้ค่าตอบแทนใด ๆ เหมือนเป็นสัญญาใจกับตัวเองมากกว่า
เมื่อดูอนิเมะหลายเรื่องต่อฤดูกาล เช่นฤดูกาลที่แล้ว ผมแอบ drop ไปบางเรื่อง แบบไม่สนใจที่จะดูต่อ เพราะจะเสียเวลาทำอย่างอื่นที่จำเป็นและอยากจะทำมากกว่า ทำให้เกิดความขัดแย้งในจิตใจตัวเอง เนื่องจากไม่ได้ดูเรื่องที่เริ่มดูไว้แล้วจนจบ เหมือนเริ่มอ่านหนังสือไว้แล้วอ่านไม่จบ จากประสบการณ์และบทเรียนเหล่านั้น ฤดูกาลนี้ผมจึงตัดสินใจดูอนิเมะน้อยเรื่องกว่าทุกครั้ง อาจจะรวมถึงเพราะไม่มีเรื่องไหนน่าสนใจมากพอที่จะตัดสินใจเสียเวลาลองดู อีกทั้งช่วงนี้เป็นช่วงที่ผมยุ่งมาก ๆ
และจริง ๆ แล้ว ผมมีเรื่องอยากจะเขียนถึงมาก ๆ อยู่เรื่องหนึ่ง แต่หาข้ออ้างเขียนไม่ได้นอกจากจะเอามารวมกับการเขียนถึงอนิเมะฤดูกาล ซึ่งผมเห็นว่าเป็นวิธีการอ้างที่เหมาะสมที่สุด
ทั้งนี้ทั้งนั้น เริ่มที่เรื่องแรกที่ผมดู
Jujutsu Kaisen Shibuya Incident Arc
Jujutsu Kaisen Season 2 Shibuya Incident Arc
จริง ๆ แล้ว JJK ss2 ไม่เชิงเป็นอนิเมะประจำฤดูกาลนี้ เพราะเป็นเรื่องที่เริ่มฉายเมื่อฤดูกาลที่แล้ว และฉายยาวทับกับฤดูกาลนี้ เรื่องนี้คงไม่ต้องพูดอะไรมาก เพราะเหตุผลที่ตัดสินใจดูก็เป็นเหตุผลเดี่ยวกันกับที่เคยได้กล่าวเอาไว้แล้ว ในฤดูกาลนี้ ss2 ต่อที่ Shibuya Incident Arc อันโด่งดัง ผมที่ดูซีซั่นแรกและภาค 0 จบไปแล้ว ก็ให้เพื่อนใกล้ตัวที่อ่านมังงะแล้วสปอยต่อทันที พร้อมกับไปตามอ่านเอง จึงรู้เรื่องราวที่จะเกิดใน Arc นี้แล้ว
พูดถึงข้อดีก่อนก็แล้วกัน อนิเมชั่นทำออกมาได้อย่างดีเยี่ยม สมกับเป็นลูกรักของ MAPPA จริง ๆ JJK เป็น Shounen ที่ขึ้นชื่อเรื่องการไม่มี Downtime อยู่แล้ว กล่าวคือ เมื่อการต่อสู้ครั้งหนึ่งจบลง ก็ตามต่อด้วยการต่อสู้ครั้งต่อไปทันที อาจจะมีช่วง Slice of life มาคั่นบ้างประมาณครึ่งตอน แต่ความเดือดดาลไม่ขาดหาย
ฉากต่อสู้ทำได้อย่างดีเยี่ยม และนอกจากอนิเมชั่นไหลลื่นแล้ว เพลงประกอบฉากทำออกมาได้อย่างน่าประทับใจ ซึ่งเลือกที่จะไม่ใช้ดนตรีแนว Heavy แต่มีความเป็น Jazz รวมอยู่ด้วย ผมคิดว่าเป็น Artistic Choice ที่จะยกย่องครับ
มาถึงข้อเสีย จริง ๆ ก็ไม่ใช่ข้อเสีย แต่เป็นความนิยมส่วนตัวก็แล้วกัน ผมที่อ่านมังงะมาก่อนแล้ว รู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้น แอบทำใจไม่ได้เบา ๆ ที่จะเห็นฉากเหล่านั้นบนจอ ส่วนตัวเข้าไปอีก อันนี้ได้ยินจากเพื่อนอีกคนมาอีกที ได้ยินว่า Gege ผู้เขียนไม่อยากจะเขียน JJK ต่อแล้ว เลยพยายามรีบตัดจบ คนที่อ่านมังงะจนตอนล่าสุดก็พอที่จะเข้าใจความรู้สึกผมได้ดีนะครับ แต่ผมยัง Copium อยู่อย่างมีความหวังมาก 555555
แม้จะคิดว่าคงจะ drop JJK เร็ว ๆ นี้ก่อนที่ฉากเหล่านั้นจะเกิดขึ้น แต่ในใจลึก ๆ แล้วก็แอบอยากเห็นอนิเมชั่นอยู่ อย่างฉาก Nanami โกรธก็ทำออกมาได้แท่และขนลุกในเวลาเดียวกัน เป็นการดัดแปลงภาพจากกระดาษลงจอได้อย่างน่านับถือใจจริง ๆ ครับ
Frieren: Beyond Journey's End
Frieren: Beyond Journey’s End
เรื่องนี้ Frieren: Beyond Journey’s End หรือแปลตรงตัว Frieren at the funeral เป็นมังงะที่ผมชื่นชอบอันดับต้น ๆ เรื่องนี้ผมคงไม่ต้องแนะนำอะไรมาก แต่เผื่อมีคนยังไม่ได้ดู ผมก็คงพูดได้แต่ว่า มัวทำอะไรกันอยู่ครับ ไปดูบัดเดี๋ยวนี้
ผมเริ่มอ่านมังงะเรื่องนี้ตั้งแต่ปีที่แล้ว เนื่องจากไอเดียเนื้อเรื่องน่าสนใจมาก ผมที่ชอบเล่นเกมแนว JRPG ทรงประมาณนี้ก็สนอกสนใจในมุมมองใหม่ ๆ ในโลกแฟนตาซี เมื่อเรื่องนี้ประกาศทำเป็นอนิเมะ ผมหยุดอ่านมังงะต่อทันที และตั้งหน้าตั้งตารอรับชมอนิเมะ
ผมมี criteria อยู่ว่าจะตัดสินใจดูอนิเมะหรืออ่านมังงะง่าย ๆ เนื่องจากผมอ่านมังงะมาแล้ว ช่วงประมาณบทแรก ๆ ทำผมเสียน้ำตาบ่อยมาก ๆ ช่างเป็นมังงะที่บทพูดไม่ต้องเยอะ ไม่มีเรื่องที่จะอธิบายอะไรมากมาย แต่คำพูดเพียงไม่กี่คำ ภาพเพียงไม่กี่ฉากก็กระตุ้นต่อมน้ำตาของผมได้อย่างง่ายดาย ดังนั้น ทั้ง ๆ ที่รู้ emotional impact ของมันและผ่านมันมาแล้ว หากอนิเมะทำให้ผมกลับมารู้สึกแบบเดิมได้หรือมากกว่า ผมจะตัดสินใจตามดูอนิเมะต่อแทน
แล้วมันก็เป็นเช่นนั้น ทั้ง ๆ ที่รู้ว่าเรื่องเป็นยังไง ฉากไหนจะซึ้งจะเศร้า เตรียมใจมาแล้วแท้ ๆ ผมกลับมีความรู้สึกหลากหลายปะปนกันอยู่ในใจมากกว่าตอนที่ผมอ่านซะอีก มันน่าประทับใจมาก มันเป็นการผสมผสานที่ลงตัวจากการดัดแปลงเนื้อหาและบทพูดจากในมังงะด้วยเสียงพากษ์ที่ได้อารมณ์ อนิเมชั่นที่ดีเยี่ยมน่าชื่นชม และดนตรีประกอบที่ทำให้ขนลุกเอาง่าย ๆ
จริง ๆ แล้วไม่น่าแปลกใจ เพราะในทีมงานทำดนตรีประกอบฉากเรื่อง Frieren มีคนที่ทำเพลงประกอบฉากให้กับอนิเมะเรื่อง Violet Evergarden คนแบบนี้เขารู้ดีกว่าดนตรีแบบไหน เข้าออกจังหวะไหนในเรื่องจะทำให้ผู้ชมน้ำตาไหล เหมือนเป็นความสามารถพิเศษของนักดนตรีชั้นยอดเลยครับ
อนิเมะประกาศทำ 28 ตอนรวมกับ 4 ตอนแรกที่ออกพร้อมกัน ดูกันไปยาว ๆ ครับ ผมพอจะเดาออกว่าน่าจะไปจบซีซั่นที่ตอนไหน ก็ตั้งหน้าตั้งตารอชมอย่างใจเย็น แม้ว่าจะประกาศทำออกมาหลายตอนมาก ๆ แต่การดำเนินเรื่องไม่รีรอชักช้าหรือดึงเชิงแต่อย่างใด มีจังหวะการเล่าเรื่องที่ไม่ชะลอเพื่อที่จะบอกเล่าเรื่องราวที่กระแทกความรู้สึกแบบตรงจุด ตรงนี้ต้องชื่นชมไว้ด้วยครับ หวังแต่ว่าจะไม่ประสบเคราะห์ร้ายแห่งการดีเลย์เหมือนเรื่องอื่น ๆ ในฤดูกาลที่ผ่านมา (ผมกำลังพูดถึง Zom 100 อยู่ครับ)
ผมคิดว่าเป็นความคิดที่ดีมาก ๆ ที่ปล่อย 4 ตอนแรกออกมาพร้อมกัน ทำเนียมแบบนี้เหมือนจะเริ่มได้รับความนิยมจาก Oshi no Ko ที่ตอนแรกยาวพอ ๆ กับหนังสั้นเรื่องหนึ่งเลย มันเป็นความคิดที่ดีเพราะมันทำให้ผู้ชมดื่มด่ำกับเนื้อหาที่ปูเอาไว้ และอินไปกับตัวละครและมีอารมณ์ร่วมได้ดีกว่า จริง ๆ แล้ว 4 ตอนแรกของเรื่องนี้เป็นเพียงแค่ Prologue จริง ๆ เนื้อเรื่องเพิ่งจะเริ่มท้ายตอนที่ 4 เอง
Spy x Family season 2
Spy x Family ss2
ผม drop ซีซั่นหนึ่งวินาทีสุดท้าย กล่าวคือ ผมไม่ได้ตอนสุดท้ายของซีซั่นหนึ่ง ซึ่งแอบน่าแปลก ไหน ๆ ก็จะจบซีซั่นแล้วทำไมไม่ดูต่อจนจบไปแล้ว คำตอบคือ เบื่อครับ ผมไปตามอ่านต่อเรื่อย ๆ และก็ไม่ได้อ่านต่อแล้ว มันเป็นอนิเมะ Feel good อันดับต้น ๆ ของทศวรรษเลยก็ว่าได้ และก็เป็นอนิเมะที่มีต้องการมากในช่วงนี้ ดังนั้นจึงเป็นเหตุผลที่ผมกลับมาดูในซีซั่นนี้
แต่เหตุผลจริง ๆ มีสองอย่างครับ ผมจะกล่าวถึงอย่างแรกก่อนก็แล้วกัน อย่างที่สองเอาไว้ตอนท้ายทีเดียว ผมเห็นในโปสเตอร์ Spy x Family ss2 และคิดได้ว่า ซีซั่นนี้น่าจะดัดแปลงเนื้อหาส่วนบนเรือสำราญ ซึ่งเป็นภาคที่ผมชอบที่สุดในมังงะ Spy x Family มีความน่าตื่นเต้น สนุก ตลกไปพร้อม ๆ กัน ตอนผมอ่านมังงะตอนนี้อยู่ ก็เฝ้านึกถึงว่า หากฉากเหล่านี้เป็นอนิเมะคงน่าสนุกน่าดู นั่นคือเหตุผลหนึ่งครับ
เรื่องนี้ เนื่องจากเป็นซีซั่นสอง จึงไม่มีการต้องพูดถึงมากนัก ดนตรี การพากษ์ อนิเมชั่น ทำออกมาตรงตามมาตรฐาน คล้ายกับซีซั่นที่แล้ว เนื้อหาไม่มีอะไรต้องเครียดมาก ดูอย่างสบายใจได้เลย ซึ่งผมเชื่อว่ามันเป็นสิ่งจำเป็นต่อหลาย ๆ คน เป็นเรื่องที่แนะนำให้ใครดูก็ไม่เสียหาย เหมาะสมกับเด็กและผู้ใหญ่ และผมคงต้องบอกว่า ใครเล่าจะไม่ตื่นเต้นกับการกลับมาของครอบครัวที่เจ๋งที่สุดในวงการและน้องอาเนียครับ
พูดถึงน้องอาเนีย ฤดูกาลนี้ นักพากษ์เสียงน้องอาเนีย คุณทาเนะซาคิ อัตสึมิ ก็พากษ์เสียงฟรีเร็นใน Frieren: Beyon Journey's End ด้วยครับ และได้ข่าวว่าคุณทาเนะซาคิเพิ่งจะแต่งงานไปเร็ว ๆ นี้เอง ยังไงก็ขอแสดงความยินดีไว้ ณ ที่นี้ด้วยครับ
The Apothecary Diaries
The Apothecary Diaries
ผมต้องยอมรับว่า ทั้งที่การศึกษาของผมเป็นภาษาอังกฤษมาทั้งชีวิต แต่ผมเพิ่งจะมารู้จักคำว่า Apothecary เร็ว ๆ นี้เอง ซึ่งมาจากการเล่นเกมที่ผมอยากจะแนะนำ นั่นคือ Octopath Travelers II แต่นั่นไม่ใช่เหตุผลที่ผมสนใจอนิเมะเรื่องนี้หรอกนะครับ ทั้ง ๆ ที่ตอนนี้ผมเขียนอยู่นี่ ตอนแรกของ The Apothecary Diaries ยังไม่ออกฉายเลยด้วยซ้ำ ผมก็ตัดสินใจที่จะดูแล้ว
ผมจะต้องขอบอกไว้ก่อนอย่างหนึ่งก่อนที่จะเข้าเรื่อง แม้ว่าผมจะเคยสนใจสามก๊กมาก ๆ ประมาณว่าอ่านหลายรอบ และชอบพูดถึงตัวละครและเหตุการณ์ในวรรณคดีเล่มนั้น จนกลายเป็นคนที่ชอบวรรณกรรมจีนมาก ๆ ช่วงหนึ่ง รวมถึงนิยายกำลังภายใน เมื่อพ้นจากจุดนั้นมาแล้ว (ซึ่งประมาณสิบปีได้แล้ว) ผมมีความเบื่อหน่ายวรรณกรรมแนวจีน ไม่ว่าตัวละคร สถานที่ เรื่องราว อะไรก็ตามที่มันจีน ผมจะเบื่อมาก และหลีกเลี่ยงมาโดยตลอด
และแน่นอนครับ The Apothecary Diaries มีความจีนสูงมาก ส่วนตัวผมยิ่งไม่ค่อยจะนิยมความจีนในอนิเมะด้วย มันยิ่งเป็นเรื่องที่พิเศษสำหรับผมมาก ๆ ที่มาสนใจเรื่องนี้ ทั้ง ๆ ที่ความนิยมของผมมันตรงข้ามกับ Setting ของเรื่อง แล้วอะไรทำให้ผมสนใจเรื่องนี้ หลัก ๆ มีอยู่สองอย่างครับ
อย่างแรกคืออนิเมชั่นและภาพสีแสง (ส่วนเสียงจะต้องรอชมอีกที) เมื่อดูตัวอย่างแล้ว มันจับความสนใจของผมได้อย่างทันทีก่อนที่ผมจะคิดได้ว่า นี่มันชื่อและสถานที่แบบจีนโบราณนี่นา อนิเมะเรื่องนี้ทำโดยค่าย TOHO Animation จริง ๆ เป็นค่าย Produce อนิเมะ เช่น JJK หรือ Spy x Family แต่ส่วนตัวผมสนใจค่ายนี้จาก MV เพลงที่โด่งดังอยู่ในโลกออนไลน์เมื่อเอาตัดเข้ากับเพลง Moonlight ของ Kali Uchis
MV นั้นคือ COLORs ซึ่งเป็น Music films ฉลอง 10 ปี TOHO Animation (แต่ว่าค่ายที่ทำอนิเมชั่นคือ Wit Studio นะครับ)
ทั้งนี้ทั้งนั้น ผมสนใจเพราะผมตะลึงกับความสวยของภาพ บวกกับการออกแบบตัวละครเหมาเหมา ซึ่งผมว่าสวยและน่ารักประกอบกับความลึกลับอยู่ (อันนี้ความชอบส่วนตัวล้วน ๆ ครับ) เหตุผลที่สองก็คือ มันเป็นเรื่องราวแนวสืบสวนสอบสวน หรือ Mystery ผมเป็นแฟนนิยายแนวนี้ ตั้งแต่ Sherlock Holmes, Hercules Poirot, หรือคินดะอิจิ โคสึเกะ เมื่อมีอนิเมะแนวนี้มา ก็ก็อดจะติดตามไม่ได้ (ความรู้สึกคล้ายกับ Undead Girl Murder Farce ของฤดูกาลที่แล้ว)
ภาพประกอบเพลงเปิด JJK ss2
ความน่าสนใจส่วนตัวของฤดูกาลนี้: ดนตรี
และนี่คือเหตุผลที่แท้จริงที่ผมอยากจะเขียนเกี่ยวกับอนิเมะประจำฤดูกาลนี้ครับ นั่นคือ ดนตรีประกอบอนิเมะที่ผมกล่าวถึง (ยกเว้น The Apothecary Diaries) เหตุผลอื่น ๆ ที่ผมกล่าวไปก่อนหน้านี้เป็นลองเหตุผลหลักนี้ทั้งหมดครับ ยกเว้นความพิเศษทางอารมณ์ของ Frieren นี่คือฤดูกาลที่ผมไม่ข้ามเพลงเปิดและปิดของแต่ละตอนเลย
King Gnu
เริ่มแบบเบา ๆ ก่อนก็แล้วกันครับ JJK ss2 ได้ King Gnu มาทำเพลงเปิดให้ในชื่อเพลง SPECIALZ และมันก็พิเศษมาก ๆ เช่นกันครับ เพลงและดนตรีของลง King Gnu ขึ้นชื่ออยู่แล้ว คงไม่ต้องแนะนำอะไรมาก นอกจากเพลงที่โคตรจะเพราะแล้ว อนิเมชั่นประกอบดนตรีก็โคตรจะเท่ครับ
อันนี้เป็นเรื่องตลกที่ผมนึกเล่น ๆ เอานะครับ JJK ss1 ทำภาพประกอบเพลงเปิดออกมาหลอกผู้ชม โดยเฉพาะในส่วนของจุนเปย์ สำหรับผมที่อ่านมังงะต่อมาแล้ว เมื่อดูภาพประกอบเพลงเปิด JJK ss2 ผมคิดว่านี่คือการโต้กลับของผู้สร้าง ผมคิดว่า นี่มันเป็นการสปอยโดยไม่สปอยนี่หว่า นึกแล้วก็ขำหน่อย ๆ บวกกับซึม ๆ ครับ
Yoasobi
ต่อมา Frieren ได้ Yoasobi ดูโอ้ที่โด่งดังไปทั่วโลกมาทำเพลงเปิดให้ครับ แน่นอนว่าเสียงของ Lilas Ikuta เป็นเสียงร้องที่ไพเราะเสนาะหูมาก คู่นี้มาด้วยเพลง Yuusha
แต่ก็เห็นว่ามีกระแสไม่ชอบเหมือนกัน ประมาณว่า เพลงไม่เพราะ หรือไม่เข้ากับอารมณ์ของเรื่อง Frieren ในความคิดส่วนตัวของผมแล้ว ผมกลับมองว่าเพลงนี้มันเพราะครับ แต่มีติดใจบ้างเล็กน้อย และก็คิดว่ามันเข้ากับอนิเมะมาก ผมก็เห็นได้ว่าทำไมบางคนถึงคิดแบบนั้น แต่ผมกลับคิดว่ามันเข้ากันนะครับ
ส่วนที่ผมติดใจ มันอาจจะเล็กน้อยมาก ๆ แต่เป็นความคิดเห็นส่วนตัว Yoasobi ทำเพลงออกมาได้อย่างยอดเยี่ยม เช่น Idol ที่ใช้ประกอบ Oshi no Ko ที่ดังก้องโลก แต่อาจจะเนื่องจากผมฟังเพลงหลายเพลงและฟังบ่อยมาก และอาจจะเนื่องจากเล่นดนตรีเป็นด้วย ผมแอบคิดว่าช่วงท่อนฮุคของเพลงมันคล้าย ๆ กับเพลงอื่น ๆ ของวงนี้อยู่ แบบถ้าฟังผ่าน ๆ แค่ช่วงท่อนฮุค ผมอาจจะแยกไม่ออกว่าเป็นเพลงไหนของ Yoasobi จริง ๆ อาจจะเรียกได้ว่าเป็นสไตล์เพลงของวงนี้ก็ได้ครับ
ส่วนตัวผมคิดว่า เพลงเปิดแสดงถึงความทรงจำที่น่าจดจำและตื่นเต้นในการผจญภัยของกลุ่มฮีโร่ฮิมเมลที่เดินทางไปปราบจอมมาร เมื่อดูจากภาพประกอบเพลงเปิดแล้ว ถ้าเป็นเช่นนั้น เพลงปิดก็แสดงถึงอารมณ์และความรู้สึกของ Frieren หลังจากการตายของฮิมเมล ซึ่งมีจังหวะที่ช้า เศร้า ๆ มากกว่า แต่ก็ปนไปด้วยความรู้สึกดี ๆ มีอารมณ์แง่บวก ถึงความทรงจำในอดีตและความเป็นไปได้ในอนาคต
milet
เพลงปิดของ Frieren ขับร้องโดย milet นักร้องหญิงที่มีเสียงร้องเป็นเอกลักษณ์ มาด้วยเพลงชื่อ Anytime Anywhere ครับ
สุดท้าย เหตุผลสูงสุดที่ผมเขียนโพสนี้ เพลงเปิดของ Spy x Family ss2 ครับ! ได้นักร้องที่ผมชอบที่สุดตลอดกาลมาร้องเพลงเปิดให้ นั่นคือ Ado! มาดับเพลง Kura Kura แน่นอนว่าผมไปหาฟังเพลงนี้ตั้งแต่เพลงออกเลย นั่นคือ ก่อนดูอนิเมะเสียอีก และ Ado นี่แหละครับคือเหตุผลที่สองที่ผมกลับมาดู Spy x Family เอาพูดกันตามตรงเลยนะครับ หากไม่ได้ Ado มาร้องเพลงเปิดให้ ผมคงไม่ได้ดู Spy x Family ต่อเลยด้วยซ้ำ
Ado
Ado คือใคร มาจากไหน ทำไมผมถึงชอบมากนัก มากขนาดแค่นั่งฟังน้องเขาพูดเป็นภาษาที่ผมไม่เข้าใจก็มีความสุขแล้ว ผมเขียนไว้เกือบทั้งหมดแล้วในโพสเกี่ยวกับ Ado ทั้งสองตอนครับ เอาเป็นว่า ผมไปญี่ปุ่มรอบนี้ หากตรงกับช่วงที่ Ado มีคอนเสิร์ต ผมจะวางแผนเที่ยวรอบการไปชมการแสดงของเธอเลย
แต่หากจะให้ผมพูดถึงเพลง Kura Kura ก็ต้องบอกว่า แน่นอนครับ ผมชอบ! อาจจะฟังดูลำเอียงเพราะผมชอบ Ado มาก แต่ต้องยอมรับว่าเพลงนี้ไม่ติดท็อปเพลงของเธอที่ผมชอบที่สุด แน่นอนว่าเสียงร้องของ Ado ยอดเยี่ยมและเป็นที่น่าตื่นตาตื่นใจ และทุกคนในโลกควรจะได้รับฟัง แต่สิ่งที่ทำให้ Kura Kura ติดหูผมทุกครั้งที่ตื่นนอนมาเป็นอาทิตย์แล้วนั้น เป็นเพลงการเขียนดนตรีและวงที่เล่นเพลงนี้ครับ
Spy x Family ได้รับเพลงเปิดที่มีความ Jazz อยู่ในตัวจนเป็นติดเป็นเอกลักษณ์อยู่แล้ว ซีซั่นแรกเราได้ Official HIGE DANdism ทำเพลง Mixed Nuts กับคุณเก็น โฮชิโนะร้องเพลง Comedy ในพาทแรก และ Bump of Chicken ทำเพลง Souvenir และ Yama กับเพลง Shikisai ในพาทที่สอง แน่นอนว่าในซีซั่นสอง ก็จะยังคงความ Jazz นี้อยู่ครับ
และหากจะให้พูดถึง Jazz แบบอนิเมะญี่ปุ่น เราคงจะไม่พูดถึงคุณโยโกะ คันโนะ มาแต่งและเรียบร้องเพลง Kura Kura ให้ สำหรับคนที่ไม่รู้ คุณคันโนะเป็นผู้แต่งเพลงและดนตรีประกอบ Cowboy Bebop ซึ่งเป็นที่ชื่นชมทั่วโลกว่าดนตรีอย่างเจ๋งครับ นอกจากนั้น เธอไม่ได้มาคนเดียว ยังยกวงที่เล่นดนตรีประกอบ Cowboy Bebop มาด้วย นั่นคือวง Seatbelts มาด้วย
Yoko Kanno แห่งวง Seatbelts
Kura Kura กลายเป็นยอดเพลงในใจผมเลย จริง ๆ ตอนผมฟังเพลงนี้ ผมก็พอจะจับได้ว่า แนวการเล่นดนตรีและเครื่องดนตรีแบบนี้มันคล้ายกับแนวของคุณคันโนะมากเลย (เนื่องจากผมฟังเพลงประกอบ Cowboy Bebop บ่อยมาก) และมารู้ที่หลังว่า ใช่ และวงที่เล่นดนตรีก็วงเดียวกันด้วย ถึงว่า ทำไมดนตรีมันติดหูอะไรขนาดนั้น เมื่อองค์ประกอบเหล่านี้รวมกันนักร้องเป็น Ado คนแต่งเป็นคุณคันโนะ นักดนตรีจาก Seatbelts ไม่ต้องเถียงเลยว่าผมชอบเพลงนี้ขนาดไหน
Vaundy
ยังไม่พอ เพลงปิดของ Spy x Family ss2 ได้ Vaundy มาทำเพลงให้ คนที่ฟังเพลงญี่ปุ่นบ่อย ๆ คงไม่ต้องแนะนำอะไรมากว่า Vaundy เป็นใครมาจากไหน เขาเป็นอีกหนึ่งนักเขียนเพลงที่ผมชอบมาก ๆ ตั้งแต่ได้ฟัง Odoriko และ Tokyo Flash ครั้งแรก จริง ๆ แล้วความชอบทั้ง Ado และ Vaundy ของผมเริ่มมาจากเพลง Backlight ประกอบ One Piece Film RED ที่ทั้งสองทำเพลงด้วยกัน
Sousou no Frieren (Frieren: Beyond Journy's End) ไปดู ไปดูเดี๋ยวนี้!
และนั่นคือ (อย่างน้อย ๆ ก็เกือบ) ทั้งหมดของสิ่งที่ผมอยากจะพูดถึงเกี่ยวกับอนิเมะประจำฤดูใบไม้ร่วง ปี 2023 ครับ ตอนแรกว่าจะเขียนสั้น ๆ แต่ดันมายาวซะได้
โฆษณา