19 ต.ค. 2023 เวลา 13:18 • กีฬา

เกมสุดท้ายของซิโก้ ไทยแพ้ญี่ปุ่น 4-0 กับประโยคอมตะ "ใครไม่อาย"

เกมสุดท้ายของซิโก้-เกียรติศักดิ์ เสนาเมือง ในการคุมทีมชาติไทยชุดใหญ่ คือเกมแพ้ญี่ปุ่น 4-0 ที่ไซตามะ ในปี 2017 และเกมนี้เองก็เป็นที่มาของประโยคคลาสสิค "ใครไม่อาย ผมอาย" จากพล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ด้วย
ในประวัติศาสตร์ของฟุตบอลไทย เราเคยเข้าสู่ "รอบสุดท้าย" ของการคัดฟุตบอลโลกโซนเอเชีย แค่ 2 ครั้งเท่านั้น
ครั้งแรก คือคัดบอลโลก 2002 ยุคปีเตอร์ วิธ และมาอีกครั้งคือคัดบอลโลก 2018 ยุคเกียรติศักดิ์ เสนาเมือง
หลังจากหมดยุคของปีเตอร์ วิธ ทีมชาติไทยตกรอบเร็วในคัดบอลโลกมาตลอด จนได้ซิโก้เข้ามา นำเอาสไตล์การเล่น "ติ๊กต่อก" ต่อบอลสั้นๆ ด้วยความรวดเร็ว ทำให้ทีมช้างศึกเริ่มคัมแบ็ก กลายเป็นทีมที่ดีขึ้น และสร้างชื่อในเอเชียได้อีกครั้ง
2
ซิโก้ พาทีมชาติไทย ได้แชมป์ AFF Suzuki Cup ในปี 2014 จากนั้นสานต่อผลงานที่ดี ด้วยการผ่านรอบแบ่งกลุ่ม ในฟุตบอลโลกรอบคัดเลือก 2018 มีแต้มเหนือทั้ง อิรัก, เวียดนาม และ ไต้หวัน
1
ตอนนั้นคือจุดพีกที่สุดของฟุตบอลไทย กระแสฟีเวอร์รุนแรงมากๆ อานิสงส์จากทีมชาติ ทำให้บอลสโมสรก็บูมสุดๆ ค่าลิขสิทธิ์ถ่ายทอดสดไทยลีกพุ่งทะยาน นักบอลกลายเป็นไอดอลที่มีแฟนคลับหนาแน่นมาก
3
เมื่อผ่านรอบแบ่งกลุ่มมาได้ ทีมชาติไทย จับสลากรอบ 12 ทีมสุดท้าย ในคัดบอลโลกโซนเอเชีย มาอยู่สายเดียวกับ ญี่ปุ่น, ซาอุดิอาระเบีย, ออสเตรเลีย, อิรัก, ยูเออี และ ไทย นี่คือกรุ๊ปมหาโหดที่ทุกทีมเหนือกว่าเราหมด
ด้วยความที่ทีมชาติไทยไม่เคยมีประสบการณ์ ในเกมเลเวลนี้มาก่อนเลย ทำให้เราสู้คู่แข่งไม่ได้ แท็กติกของซิโก้ ที่เคยใช้ได้ผลในรอบแรก พอมาเจอความเขี้ยว ความโหด ของทีมขาประจำฟุตบอลโลก เราเล่นไม่ออก สู้ไม่ได้ และเริ่มแพ้อย่างต่อเนื่อง
1
ไทยแพ้ซาอุดิอาระเบีย 1-0 ที่ริยาด (1 กันยายน 2016) , ตามด้วยแพ้ญี่ปุ่น 2-0 ที่ราชมังคลากีฬาสถาน (6 กันยายน 2016)
พูดตามตรง คือ ณ เวลานั้น ซิโก้เองก็ไม่เคยเจอความยากในเลเวลนี้ การจัดตัวใดๆ ผิดพลาดไปหมด นอกจากนั้นยังมีกระแสดราม่า "ลูกรัก" ใช้แต่ตัวเดิมๆ ไม่ยอมทดลองนักเตะหน้าใหม่ที่เล่นดีในไทยลีก
เกมต่อมา ไทยแพ้ยูเออี 3-1 ที่อาบูดาบี (6 ตุลาคม 2016) ตามด้วยแพ้อิรัก 4-0 ที่เตหะราน (11 ตุลาคม 2016) โดยเกมที่แพ้อิรัก เห็นชัดเจนว่าเราสู้ไม่ได้เลย กลยุทธ์ทุกอย่างของซิโก้พังพินาศเรียบ กลายเป็นบอลคนละคลาส
1
ทีมชาติไทย ยันเสมอออสเตรเลีย 2-2 ในเกมนัดที่ 5 ที่ราชมังฯ (15 พฤศจิกายน 2016) เก็บได้ 1 แต้มจากการลงเล่น 5 นัด ว่าง่ายๆ คือร่วงตกรอบไปแล้ว อีก 5 นัดที่เหลือมีแต่ต้องเล่นเพื่อศักดิ์ศรีเท่านั้น
การได้ 1 แต้ม จาก 5 นัด ทำให้ซิโก้ ได้รับแรงกดดันอย่างมหาศาลมาก แฟนบอลคาดหวังไว้เยอะ เช่นเดียวกับ นายกสมาคมคนใหม่ พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ที่ต้องการให้ไทยเล่นดีกว่านี้ แม้จะเจอคู่แข่งที่โหดหินระดับนั้นก็ตาม
1
เข้าสู่เกมที่ 6 ไทยแพ้ซาอุดิอาระเบีย 3-0 คาบ้าน (23 มีนาคม 2017) และจากนั้นวันที่ 28 มีนาคม 2017 ไทยเตรียมลงเล่นเกมที่ 7 ด้วยการบินไปเยือนญี่ปุ่นที่ไซตามะ
สถานการณ์ ณ เวลานั้น ไทยตกรอบไปแล้ว แต่ญี่ปุ่นยังไม่เข้ารอบ จำเป็นต้องชนะสถานเดียว ดังนั้นวาฮิด ฮาลิฮอดซิช เฮดโค้ชทีมซามูไร จึงจัดทัพที่ดีที่สุดเท่าที่จะมี ลงเล่นเจอไทยแบบเต็มสูบจริงๆ
3
รายชื่อ 11 ตัวจริงของญี่ปุ่นมีดังนี้
GK : เออิจิ คาวาชิมะ (เม็ตซ์-ฝรั่งเศส)
DF : ฮิโรกิ ซาไก (มาร์กเซย-ฝรั่งเศส), มายะ โยชิดะ (เซาธ์แฮมป์ตัน-อังกฤษ), มาซาโตะ โมริชิเกะ (เอฟซี โตเกียว), ยูโตะ นากาโตโมะ (อินเตอร์ มิลาน-อิตาลี)
MF - เก็งกิ ฮารากูชิ (แฮร์ธ่า เบอร์ลิน-เยอรมัน), โฮตารุ ยามากูชิ (เซเรโซ่ โอซาก้า), โกโตคุ ซาไก (ฮัมบูร์ก-เยอรมัน), ชินจิ คากาวะ (ดอร์ทมุนด์-เยอรมัน)
FW - ยูยะ คุโบะ (เกนท์-เบลเยี่ยม), ชินจิ โอคาซากิ (เลสเตอร์-อังกฤษ)
สำรองที่ใช้ 3 คน มี ฮิโรชิ คิโยตาเกะ (เซเรโซ่ โอซาก้า), เคสึเกะ ฮอนดะ (เอซี มิลาน-อิตาลี), ทาคาชิ อุซามิ (ฟอร์ทูน่า ดุสเซลดอร์ฟ-เยอรมัน)
1
ส่วนสำรองที่ไม่ได้ใช้ มีวาตารุ เอ็นโด, ทาคุมะ อาซาโนะ, โทโมอากิ มากิโนะ ฯลฯ คือนักเตะแต่ละคนที่กล่าวมา ไปอยู่ทีมชาติอื่นก็ตัวจริงทั้งนั้น
1
ทีมญี่ปุ่นในเวอร์ชั่นเอาจริงที่สุด จัดเต็มที่สุด ขนนักเตะยุโรปลงสนามเต็มอัตราศึก มาเจอไทยที่ไร้ประสบการณ์ในเกมเลเวลนี้ มันก็พอเดาผลลัพธ์ได้ตั้งแต่เริ่มอยู่แล้ว
อย่างไรก็ตาม ซิโก้นัดนี้จัดทัพอย่างระมัดระวังมาก โดยใช้แผน 4-2-1-3 นายทวารเป็นกวินทร์ ธรรมสัจจานันท์ แผงแบ็กโฟร์มี ทริสตอง โด, อดิศร พรหมรักษ์, กรวิทย์ นามวิเศษ และ พีรพัฒน์ โน้ตชัยยา
นัดนี้ซิโก้ ใช้กองกลางตัวรับสองคน คือธนบูรณ์ เกษารัตน์ และ วัฒนา พลายนุ่ม คือปกติธนบูรณ์จะเล่นเซ็นเตอร์แบ็กในยุคซิโก้ แต่คราวนี้เขาก็ยอมปรับตัว เอาธนบูรณ์มาเล่นในตำแหน่งที่นักเตะถนัดจริงๆ
กองกลางตัวรุกใช้ชนาธิป สรงกระสินธิ์ ส่วนกองหน้าสามคนมีสิโรจน์ ฉัตรทอง, อดิศักดิ์ ไกรษร และ ธีรศิลป์ แดงดา
กลยุทธ์ของซิโก้ คือใช้ตัวรุก 4 คนช่วยกันเล่น (ชนาธิป, สิโรจน์, ธีรศิลป์, อดิศักดิ์) แล้วตัวรับ 7 คนช่วยกันป้องกัน ก็ถือเป็นไอเดียที่น่าสนใจดี
แต่ไอเดียดีแค่ไหน คุณภาพมันก็สู้ไม่ได้
11 ตัวจริงของญี่ปุ่น มีนักเตะจากลีกต่างชาติ ทั้งหมด 9 คน อีก 2 คนเล่นในเจลีก ส่วนนักเตะไทย 11 คนเล่นในไทยลีกทั้งหมด
1
ถ้าหากไทยจะพลิกชนะได้ ทุกอย่างต้องเป็นใจจริงๆ คือเราท็อปฟอร์ม และอีกฝ่ายก็พร้อมใจเล่นพลาดด้วย แต่สิ่งนั้นมันก็ไม่เกิดขึ้น
เมื่อการแข่งขันเริ่ม ไทยไม่ได้เล่นแย่ ตรงข้าม เป็นเกมที่เล่นได้ไม่เลวทีเดียว อย่างไรก็ตาม ญี่ปุ่นนั้น "เก่งเกินไป"
นาทีที่ 8 ชินจิ คากาวะ ได้บอลในเขตโทษ เจอกองหลังไทยสามคนรุมบังทางบอลไว้ ปรากฏว่า คากาวะ ใช้การสเต็ปหลอกดึงจนกองหลังไทยหน้าทิ่ม ก่อนตะบันเสียบมุมชนิดที่กวินทร์ได้แต่ขาตาย มันคือพรสวรรค์ของนักเตะระดับแชมป์บุนเดสลีกาชัดๆ ญี่ปุ่นนำ 1-0
2
นาทีที่ 17 ชินจิ โอกาซากิ กองหน้าแชมป์พรีเมียร์ลีกกับเลสเตอร์ ตอนแรกถูกอดิศร พรหมรักษ์ ประกบอยู่ ทันทีที่ฟูลแบ็กตั้งท่าจะครอสบอล เขาสปรินท์มาจุดนัดพบทันที แล้วโหม่งเข้าเสาแรก ให้ญี่ปุ่นนำ 2-0 นี่คือสกิลที่สุดยอดมาก เป็นกองหน้าที่จมูกไวเหลือเกิน
เข้าครึ่งหลัง นาทีที่ 57 ยูยะ คุโบะ กองหน้าจากสโมสรเกนท์ ตะบันที่หัวกะโหลกบอลพุ่งเสียบสามเหลี่ยม ชนิดที่ใครก็ไม่มีสิทธิ์รับ ให้ญี่ปุ่นนำ 3-0
จากนั้นนาทีที่ 83 ญี่ปุ่นได้เตะมุม มายะ โยชิดะ กองหลังที่สูง 189 ดันขึ้นมาแล้วเทกสูงกว่าใครโหม่งเข้าประตูไป คือทั้งทีมชาติไทย ในชุดนั้น ไม่มีใครสูงกว่าโยชิดะเลย กรวิทย์ นามวิเศษ และ ธนบูรณ์ เกษารัตน์ สูง 183 ซม. ส่วนอดิศร พรหมรักษ์ สูง 175 ซม. แม้แต่ธีรศิลป์ แดงดาที่ลงไปช่วย ก็สูงเพียง 182 ซม. เท่านั้น ญีปุ่นนำ 4-0
1
จะเห็นว่า ญี่ปุ่นเหนือกว่าไทยอย่างสมบูรณ์แบบ ทั้งสกิล ประสบการณ์ และ รูปร่าง สุดท้ายเกมนั้นไทยแพ้ไป 4-0
1
แต่แม้จะแพ้ 4-0 ไม่มีใครบอกว่านักเตะไทยเล่นแย่ แต่เพราะญี่ปุ่นเก่งเกินไปคนละเลเวลต่างหาก
พอล เมอร์ฟี่ นักข่าวของ ESPN รายงานหลังเกมเอาไว้ว่า "ทีมชาติไทย ไม่ได้พ่ายแพ้เพราะข้อผิดพลาดของตัวเอง หรือการขาดสมาธิ แต่พวกเขาถูกเอาชนะได้โดยนักเตะที่เหนือกว่าจริงๆ นักเตะไทยนัดนี้มีสมาธิสูงมาก มีความตั้งใจที่ดี ผู้เล่นทุกคนสู้จนวินาทีสุดท้าย แต่ญี่ปุ่นมีคุณภาพเหนือกว่า นั่นคือจุดชี้ขาดในเกมนี้"
2
คือการแพ้ขาดลอย ด้วยรูปสกอร์น่ะใช่ แต่ถ้าดูในรายละเอียดแล้ว ญี่ปุ่นส่งทีมชุดนี้ ใครมันจะไปสู้ได้ มีนักเตะจากพรีเมียร์ลีก, บุนเดสลีกา, ลีกเอิง, เซเรีย อา ลงเล่นพร้อมกัน มันเป็นเกมที่หนักหนาสาหัสเกินไปจริงๆ
การแพ้ญี่ปุ่นทีมนี้ ไม่มีอะไรต้องเสียใจ มันเป็นการเรียนรู้ ว่าระดับของฟุตบอลไทยอยู่ตรงไหน คือเราเพิ่งเข้ารอบ 12 ทีมสุดท้ายโซนเอเชีย เป็นครั้งแรกในรอบ 16 ปี การจะโค่นเบอร์หนึ่งของเอเชียอย่างญี่ปุ่น มันเร็วเกินไปมาก เรายังต้องเก็บเลเวลต่อไปก่อน
1
หลังจบเกม มีเหตุการณ์ดราม่า ระหว่างซิโก้ กับ พล.ต.อ. สมยศ คือก่อนหน้านี้ สองฝ่ายก็มีความขัดแย้งกันเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว
พอแพ้ญี่ปุ่น 4-0 ก็มีแรงกดดันหนักในโลกออนไลน์ ว่าสมาคมควรไล่ซิโก้ออกจากตำแหน่งหรือไม่ เพราะคุมทีมในบอลโลกมา 7 นัด แต่เก็บได้ 1 แต้ม มันก็ดูน้อยจริงๆ
เมื่อเจอแรงกดดัน ซิโก้ ให้สัมภาษณ์ว่า "ทีมที่เราเจอมันระดับเอเชีย เราต้องมองอีกกลุ่มด้วย วันนี้กาตาร์ลงทุนไม่รู้กี่พันล้าน ยังอยู่บ๊วยเหมือนกันนะ ทุกทีมรอบนี้หินหมด ต้องบอกตัวเอง ว่าพวกเขาแข็งแกร่งทั้งหมด"
1
"ฉะนั้นวันนี้เราต้องถามกลับไปกับทุกคนว่า พอใจกับเด็กชุดนี้ไหม ถ้าจะโละโค้ช โละทั้งทีมก็แล้วแต่ท่านนายก"
หลังจากซิโก้ ให้สัมภาษณ์ประโยคนี้ไป 1 วัน พล.ต.อ.สมยศ จึงสวนคืนกลับมาว่า "ผมต้องการเห็นทีมฟุตบอล ทีมชาติไทยอยู่อันดับต้นๆ ของเอเชีย ในอีก 10 หรือ 20 ปีข้างหน้าจะต้องไปฟุตบอลโลกรอบสุดท้าย ผมจะวางรากฐานให้คนที่จะมาสานงานต่อจากผมทำงานได้สะดวก อย่างมีระบบ มีแบบแผน"
3
"คำถามที่บอกว่าจะเปลี่ยนหรือไม่เปลี่ยน ผมก็อยากรู้เหมือนกันว่าหัวใจคนไทยคิดอย่างไร คิดเหมือนผมไหม ถ้าบอกว่า อยู่กันไปแบบนี้ ไม่เป็นไร เป็นแชมป์ซูซูกิ แชมป์ซีเกมส์ ไประดับเอเชียแพ้ที 4-0, 3-0, 2-0 ไม่เป็นไร"
1
"แต่สำหรับผม ผมอายครับ ผมทนไม่ได้ ผมรับไม่ได้กับสิ่งเหล่านี้ ผมนะครับ ถ้าให้ผมงอมืองอตีน อยู่กับสถานการณ์เช่นนี้ แล้วก็ปล่อยให้ทีมฟุตบอลทีมชาติไทย เป็นอย่างนี้ต่อไปอีก 3 ปีในช่วงที่ผมทำหน้าที่อยู่ ผมลาออกดีกว่า ถ้าเป็นแล้วทำดีไม่ได้ อย่าเป็น ให้คนอื่นเขาเป็น"
5
เมื่อมีคำพูดนี้เกิดขึ้น ซิโก้ จึงประกาศลาออกจากเฮดโค้ชทีมชาติไทย ในวันที่ 31 มีนาคม 2017 ทั้งๆ ที่เหลือสัญญาอีก 1 ปี โดยการลาออก เกิดขึ้นหลังจากแพ้ญี่ปุ่น 3 วันเท่านั้น
การอำลาของซิโก้ เป็นการลาออกเอง แต่ผู้คนก็วิจารณ์กันว่า ถ้าหากคุณโดนนายกสมาคมซึ่งเป็นคนจ้างงานคุณ ใส่ยับขนาดนั้นผ่านสาธารณชน มันไม่ต่างอะไรกับการบีบให้ออกทางอ้อมเลย
1
การแพ้ญี่ปุ่น 4-0 ฟุตบอลโลกรอบคัดเลือก ที่ไซตามะวันนั้น เป็นเกมสุดท้ายของซิโก้กับทีมชาติชุดใหญ่ และเป็นครั้งสุดท้าย ที่ทีมชาติไทยลงปะทะกับญี่ปุ่น
นอกจากนั้นเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของวงการฟุตบอลไทยอีกด้วย เราเปลี่ยนโฉมหน้าเฮดโค้ชจากเกียรติศักดิ์ เสนาเมือง เป็น มิโลวาน ราเยวัช, อากิระ นิชิโนะ และ มาถึงมาโน่ โพลกิ้ง ในปัจจุบัน
จากวันนั้น ผ่านมา 7 ปี การที่ทีมชาติไทย มีโปรแกรมอุ่นเครื่องกับญี่ปุ่น ในวันที่ 1 มกราคม 2024 ถือเป็นเรื่องดี
ข้อแรก มันเป็นการทดลองทีม ก่อนเอเชียนคัพรอบสุดท้าย ที่กาตาร์จะเริ่มขึ้น วันที่ 16 มกราคม
2
ฝั่งญี่ปุ่นเองได้อุ่นเครื่องกับไทย ก็เป็นเรื่องดีกับพวกเขา เพราะในเอเชียนคัพ ญี่ปุ่นอยู่กลุ่มเดียวกับอินโดนีเซีย และเวียดนาม จะได้เทสต์จังหวะกับสไตล์ของบอลอาเซียนไปในตัว
ข้อสอง เราจะเจอกับเกาหลีใต้ในฟุตบอลโลกรอบคัดเลือก เดือนมีนาคม การอุ่นเครื่องกับญี่ปุ่น ที่มีคุณภาพทัดเทียมกัน เป็นโอกาสที่เราจะได้รู้ว่า เราจะสู้เกาหลีไหวไหม และถ้าไม่ไหว จะใช้แผนรับมืออย่างไร
1
ข้อสาม นี่จะเป็นการเจอกับทีม ที่มีฟีฟ่า เวิลด์ แรงค์กิ้ง สูงที่สุดของทีมชาติไทย ในรอบ 20 ปี ครั้งสุดท้ายที่เราเจอกับทีมระดับท็อป 20 ของโลก คือเยอรมัน ในเกมอุ่นเครื่องที่ราชมังฯ โดยไทยแพ้ไป 5-1 คนยิงประตูเดียวให้ไทยในนัดนั้น คือโจ้ ห้าหลา - ศรายุทธ ชัยคำดี
2
ตอนนั้นเยอรมันอยู่อันดับ 19 ของโลก ต้องมาอุ่นเครื่องกับไทย ไฟต์บังคับ เพราะวรวีร์ มะกูดี ที่เป็นฟีฟ่าเมมเบอร์ โหวตให้เยอรมันเป็นเจ้าภาพบอลโลกปี 2006 เป็นผลประโยชน์ตอบแทนกัน
ดังนั้นการที่ไทยมาเจอญี่ปุ่น อันดับ 19 ของโลก ณ ปัจจุบัน เป็นการดีลที่ยอดเยี่ยมมาก เมื่อเขาเชิญเรา ต้องรีบคว้าไว้ทันทีเลย อย่าให้หลุดลอยไป เพราะเป็นโอกาสที่ดีที่สุดแล้ว ถ้าแพ้ก็ได้ประสบการณ์ ถ้าชนะก็ได้ฟีฟ่าเวิลด์แรงค์กิ้งเพิ่ม ไม่มีอะไรต้องเสียเลย
1
สำหรับสิ่งที่คาดหวัง เมื่อเห็นการประกาศว่าไทยคอนเฟิร์มจะเตะกับญี่ปุ่น ของผมมีดังนี้ครับ
- อย่าให้เรื่องที่เกิดขึ้นในจอร์เจีย และ เอสโตเนีย เกิดขึ้นอีก ทุกทีมต้องปล่อยนักเตะออกมาให้ทีมชาติได้ใช้งานในฟีฟ่าเดย์ ป่านนี้สโมสรที่เกี่ยวข้องคงรู้แล้วว่า ถ้าคุณไม่ให้ความสำคัญกับทีมชาติ คุณจะโดนอะไรบ้างจากสังคม
- เช่นเดียวกับทางไทยลีก รู้ล่วงหน้า 2 เดือนแบบนี้ คงมีวิธีจัดสรรให้ทุกฝ่ายแฮปปี้ได้ทั้งหมด
- ในมุมของนักเตะที่ถูกเรียก จะไม่ได้อยู่กับครอบครัวในวันเคาน์ดาวน์ แต่ทุกคนคงรู้ว่าเกมกับญี่ปุ่นมันมีความหมายจริงๆ ควรจะไปกันให้ครบ ยังไงต้องขอบคุณทุกคนล่วงหน้า สำหรับความเสียสละเพื่อประเทศนะครับ
5
- ส่วนมาโน่ โพลกิ้ง ต้องจัดทัพแบบ The Best ในระดับเดียวกับฟุตบอลโลกรอบคัดเลือกไปเลย เพื่อดูว่าช่องว่างของเรากับญี่ปุ่นห่างกันแค่ไหน จะมาจัดตัวกั๊กๆ ลองเชิงไม่ได้แล้ว ต้อง 100% เท่านั้น
และข้อสุดท้าย สำคัญมาก นั่นคือ ถ้าเราแพ้ขาดลอยในวันนั้น ผู้บริหารสมาคมไม่ต้องไปโมโหโค้ชหรือนักเตะหรอกนะครับ เพราะญี่ปุ่นชุดปัจจุบัน ที่มีคาโอรุ มิโตมะ นำทัพ พวกเขามีคุณภาพแข็งแกร่งยิ่งกว่าปี 2017 ที่เราเจอเสียอีก
1
บทสรุปในวันที่ 1 มกราคม 2024 ในเกมที่โตเกียว ขอให้ทีมชาติไทยเล่นเต็มที่ เก็บประสบการณ์ทุกอย่าง เอามามากที่สุดก็พอครับ
คือแพ้ทีมระดับญี่ปุ่น เบอร์หนึ่งของเอเชีย และ อันดับ 19 ของโลก จะแพ้ 3-0 หรือ 4-0 ถ้าเล่นเต็มที่แล้ว ไม่มีอะไรต้องต่อว่ากัน
1
ถึงแม้ใครจะอายที่แพ้ญี่ปุ่นขาดลอย แต่ผมไม่อายหรอกครับ
6
โฆษณา