25 ต.ค. 2023 เวลา 11:00 • หนังสือ

ถึงตัวตายใจยังชิดมวลมิตรเอย

ในช่วงท้ายของชีวิต ม.ร.ว. คึกฤทธิ์ ปราโมช เขียนกลอนบทหนึ่ง ผมอ่านแล้วชอบมาก ช่วง 30 ปีนี้ นึกถึงมันอยู่ตลอด
ครั้นอายุมากขึ้น ก็ยิ่งรู้สึกเข้าถึงกลอนบทนี้มากขึ้น
กลอนบทนั้นมีดังนี้ :
ถ้าโลกนี้ไม่มีคนชื่อคึกฤทธิ์
มันจะผิดแปลกไปที่ไหนนั่น
ทิวาวารยังจะแจ้งแสงตะวัน
ยามราตรีมีพระจันทร์กระจ่างตา
ไก่จะยังขานขับรับอุทัย
ฝนจะพรำร่ำไปในพรรษา
คลื่นจะยังกระทบฝั่งไม่สร่างซา
สกุณายังร้องระงมไพร
1
ลมจะพัดชายเขาเหมือนเก่าก่อน
ถึงหน้าร้อนไม้จะออกดอกไสว
เข้าหน้าหนาวหนุ่มสาวจะเร้าใจ
ให้ฝันใฝ่ในสวาสดิ์ไม่คลาดคลา
ประเวณีจะยังอยู่คู่ฟ้าดิน
ไม่สุดสิ้นในความเสน่หา
คนที่รักคึกฤทธิ์อย่าคิดระอา
เพียงนึกถึงก็จะมาอยู่ข้างกาย
1
คอยเข้าปลอบประโลมใจในยามทุกข์
เมื่อมีสุขก็จะร่วมอารมณ์หมาย
เมื่อรักแล้วไหนจะขาดสวาสดิ์วาย
ถึงตัวตายใจยังชิดมวลมิตรเอย
1
อ่านแล้วรู้ว่าท่านเข้าใจชีวิต เข้าใจโลกอย่างลึกซึ้ง
1
บางทีว่างๆ เราก็ควรเปลี่ยนวรรคแรกของกลอนเป็น “ถ้าโลกนี้ไม่มีคนชื่อ (ใส่ชื่อเรา)...” แล้วไล่กลอนนี้ไปตามเดิม อาจทำให้เรารู้สึกตัวเล็กลงบ้าง
1
ถึงไม่มีเรา ทิวาวารยังจะแจ้งแสงตะวัน ยามราตรีมีพระจันทร์กระจ่างตา
ในห้วงยามที่อยู่กับตัวเอง ผมชอบจินตนาการฉาก ‘หลังจากข้าพเจ้าจากไป’ ไกลกว่านี้ คือไปจนถึงสายพันธุ์มนุษย์วิวัฒนาการไปจนสรีระต่างจากเราในตอนนี้ ไปจนถึงยามโลกแตกดับ เมื่อดวงอาทิตย์ของเราตาย กลายเป็นดาวยักษ์แดง ขยายตัวมาแทบติดโลก และไปไกลกว่านั้นเมื่อจักรวาลถึงจุดดับ และหรือเกิดใหม่
ถึงเวลานั้นก็ไม่มีทั้งทิวาวารและจันทร์กระจ่าง
1
แต่ผมก็คงไม่มีวันรู้ว่าฉากนั้นจะเป็นอย่างไรจริงๆ เพราะเราทุกคนเหมือนดาวตก มาวูบเดียวก็หายลับ
1
ไร้สาระ ไร้ความหมาย มีแต่มายา
โฆษณา