27 ต.ค. 2023 เวลา 08:00 • บันเทิง

เพื่อนร่วมทาง

เรื่องนี้เป็นเรื่องฝากเล่าจากลุงชลค่ะ ลุงชลเล่าว่าแกมีอาชีพขับรถสิบล้อของบริษัทเอกชนแห่งหนึ่งค่ะ โดยส่วนมากของที่แกจะขนก็เป็นพวกสินค้าทางการเกษตร หรือไม่ก็แล้วแต่ว่าลูกค้าจะให้ไปส่งอะไร
ลุงชลบอกว่าแกจะอยู่บนรถมากกว่าอยู่บ้าน เรียกว่า ไม่ว่าจะกินหรือนอน ชีวิตอยู่ที่หลังพวงมาลัยทั้งนั้น และหากคืนไหนง่วงมากๆก็จะจอดนอนเอา ถ้าไม่ข้างทางบ้างก็นอนปั้มบ้าง
ลุงชลบอกว่าแกเดินทางแบบนี้ทุกวัน เหนื่อย แต่เงินเดือนก็คุ้มค่าอยู่ ลุงชลเลยทำอาชีพนี้มาตลอด
ส่วนครอบครัวก็ไม่ได้มีปัญหา เพราะลุงชลแกเอาเมียติดรถไปด้วยทุกครั้ง ไม่ว่าจะขึ้นเหนือล่องใต้ ก็ได้ป้าแนนเมียแกนี้ละที่นั่งคุยเป็นเพื่อนอยู่ตลอด
ตัวป้าแนนเอง นอกจากจะมานั่งเป็นเพื่อนลุงชลแล้ว แกก็มีขายของออนไลน์ด้วย แต่เป็นการขายแบบไม่สต็อคของ เพราะฉะนั้นเลยไม่มีปัญหาเรื่องการส่งของแต่อย่างใด
ในคืนที่เกิดเหตุ ในวันนั้น ลุงชลบอกแกออกจากโรงงานแถวสมุทรสาครของลูกค้าก็เกือบๆ3-4โมงเย็นแล้ว และกว่าจะวิ่งไปถึงน่านก็น่าจะสายๆของอีกวันพอดี
ในขณะที่เดินทางสองคนลุงป้าก็นั่งคุยกันมาเรื่อยๆ ป้าแนนก็หาน้ำของขนมของกินป้าลุงชล และคุยกันมาตลอดทางเพื่อไม่ให้ง่วง
แต่พอสักประมาณตี1กว่าๆในตอนนั้นน่าจะอยู่แถวนครสวรรค์ได้ จู่ๆในขณะที่ขับรถ ก็เกินความง่วง เลยต้องแวะจอดรถริมถนน
เดชะบุญที่ตรงจุดจอดรถก็มีศาลาพักรถสภาพที และไฟสว่างอยู่หลังนึง เลยลงไปนั่งๆนอนๆกันนนอกรถแทนเพราะอยากจะยืนแข้งยืดขาบ้าง
แต่ในขณะที่ลุงชลกำลังหลับตา ก็ได้ยินเสียงป้าแนนตะโกนเรียกยายคนหนึ่ง
“ยาย ยาย...มาทำอะไรดึกๆดื่นๆแถวนี้”
ลุงชลก็เลยลืมตาขึ้นมาดู ก็เห็นว่า มียายแกคนหนึ่ง แกใส่ผ้านุงพื้นเมืองและมีไม้เท้าอันนั้นที่คอยพยุงช่วยเดิน กำลังเดินอยู่ริมถนนมืดๆ และป้าแนนก็วิ่งไปคุยกับแกแล้วสักพักก็พามานั่งที่ศาลา
ลุงชลยกมือไหว้แล้วขอพักสายตาต่อ แต่ก็ไม่ได้หลับสนิท เพราะยังคงได้ยินเสียงป้าแนนกับคุณยายคนนี้คุยกันอย่างออกรสออกชาติ
เลยได้ทราบว่ายายแกชื่อแย้ม บ้านอยู่ห่างจากนี้อีก2-3โล แกชอบเดินไปกลับระหว่างบ้านกับวัดแบบนี้ประจำ
คุณชลกับป้าแนนยิ่งฟังก็ยิ่งไม่เข้าใจ ยายจะมาเดินกลับจากวัดอะไรตอนตี1 แต่ก็มั่นใจว่ายายนะเป็นคนแน่ๆ เพราะจับเนื้อตัวได้ แถมยังนั่งคุยกันได้เป็นคุ้งเป็นแควอีกต่างหาก
ป้าแนนก็เลยเสนอว่า เดี๋ยวให้ติดรถไปด้วยกันก็ได้ ดีกว่าให้ยายเดินไปคนเดียวซึ่งลุงชลก็ไม่ได้ติดใจอะไรยังไงก็ทางผ่าน
หลังจากที่ลุงชลพักสายตาเสร็จแล้วก็พากันขึ้นรถเดินทางต่อโดยให้คุณยายมานั่งด้านหน้าไปด้วยกัน และเนื่องจากป้าแนนกับแย้มเป็นคนตัวเล็ก เลยไม่ใช่ปัญหาถ้าจะนั่งข้างคนขับด้วยกัน2คน
ในขณะที่ขับรถไปนั้น ลุงชลก็บอกว่า หลังจากที่ขึ้นมานั่งบนรถแล้ว ยายแย้มก็มีท่าทีที่เงียบขรึม แกไม่ค่อยพูดแบบที่แรกที่นั่งคุยกับป้าแนนที่ศาลา แถมป้าบรรยากาศในรถเองก็เย็นยะเยือกผิดปกติ
ไม่รู้ว่าเพราะอุณหภูมิที่เปลี่ยนแปลงกะทันหันหรืออะไร แต่ลุงชลมั่นใจว่าการที่นั่งอัดกันมาตั้ง3คน บรรยากาศมันไม่ควรเป็นแบบนี้แน่ๆ
“ไอ้หนุ่มเดี๋ยวให้ยายลงตรงโค้งนั้นแหละ”
ยายแย้มแกบอกพร้อมกับชี้มือไปตรงบริเวณโค้งด้านหน้าที่อยู่อีกไม่ไกล และก็เห็นแสงไฟฟูลออเรสเซ็นส์เลยมั่นใจว่าน่าจะเป็นบ้านคนแน่ๆ
"ได้จ๊ะยาย"
ลุงชลแกก็ขานรับคำและค่อยๆขับไปจอดตรงทางก่อนถึงทางโค้งเล็กน้อยเพราะถ้าจอดแถวโค้งมันคงจะอันตรายน่าดู
ใจลุงชลตอนนั้นก็รู้สึกแปลก เพราะแกไม่ค่อยเห็นบ้านที่มาสร้างแถวหัวโค้งเท่าไหร่ แต่ด้วยความที่คิดแง่ดี แบบบวกๆ เลยเดาว่าถนนคงตัดผ่านตรงนี้พอดีมากกว่า
พอยายแย้มลงไปปุ้บก็หันมาหาลุงชลและป้าแนน ก่อนที่จะเตือนทั้งคู่ว่า
“จากนี้ไปจนถึงเช้า เอ็ง2คนขับรถอย่างมีสตินะ”
ลุงชลกับป้าแนนก็ยกมือไหว้รับคำและค่อยๆขับออกไป ในขณะที่ตอนนี้กลับมาเหลือ2คนบนรถแล้ว
ป้าแนนก็เปิดหัวเรื่องขึ้นมาทันทีว่า พอยายแย้มขึ้นรถมาก็แปลกๆที่แรกคิดว่าเป็นสายโจรซะอีก ซึ่งลุงชลก็เห็นด้วยเพราะบรรยากาศมันแปลกไปจริงๆ แถมที่น่าสงสัยเลยก็คือหลังจากที่ยายแย้มลงจากรถไป อุณหภูมิในรถก็ค่อยๆกลับมาเป็นปกติอีกครั้ง
หลังจากขับรถมาได้อีกสักระยะ เวลานั้นก็น่าจะเกือบตี3ได้แล้ว ป้าแนนก็เปิดเพลงวิทยุฟังแก้เบื่อ แต่แล้วจู่ๆลุงชลก็กดปิดวิทยุไป
“เอ้าพี่!! ปิดเพลงทำไม” ป้าแนนถามอย่างสงสัย
“มีเสียงแปลกๆ ขอลองฟังเสียงแป๊บนึง” ลุงชลตอบ
พอปิดเพลงและเงียบเสียงฟังก็เลยได้ยินเสียงเหมือนมีใครมาเคาะที่ด้านหลังตู้ เคาะไล่มาเรื่อยๆจนถึงหลังคารถ
สายตาของลุงชลกับป้าแนนก็พากันเหล่มองผ่านทางกระจกมองข้าง แต่ก็ไม่เห็นความผิดปกติอะไร
แล้วก็ต้องสะดุ้งสุดตัวเพราะจู่ๆเสียงทุบดังปัง ก็ดังขึ้นมาจากบริเวณด้านบนหลังคา
ลุงชลเหยียบเบรกจนสุดเท้า แล้วเงยหน้าขึ้นไปมองบนหลังคาพร้อมกับป้าแน่น ก็เห็นว่าหลังคามีรอยยุบเหมือนมีอะไรหนักๆหล่นใส่
ลุงชลเลยบอกป้าแนนว่าเดี๋ยวค่อยหาปั้มจอดแล้วค่อยดูรถกันดีกว่า แต่ในขณะที่กำลังคุยกันอยู่ จู่ๆป้าแนนก็เหลือบตาไปมองกระจกข้าง แล้วสะดุ้งสุดตัว พร้อมกับบอกให้ลุงชลออกรถให้ไว
“พี่!! รีบออกรถเร็วเข้า ไปเดี๋ยวนี้เลย”
ลุงชลก็ตกใจอยู่ๆป้าแนนก็มีอาการเหมือนคนกลัวอะไรบางอย่างสุดขีด ก็เลยหันมองรอบๆตัวบ้าง แต่ในจังหวะที่เหลือบไปมองผ่านกระจกมองหลังก็เห็นว่า ด้านหลัง มันมีตัวอะไรบ้างอย่างที่คล้ายกับคนกำลังวิ่ง4ขาเข้ามาอย่างไว
ลุงชลเห็นแบบนั้นก็เหยียบคันเร่งออกรถทันที
ตอนนั้นลุงชลบอกว่ากดดันมาก เพราะแกกลัวมากจริงๆ
ตัวอะไรก็ไม่รู้ รูปร่างคล้ายคน แต่วิ่งสี่ขาเหมือนสัตว์ แถมยังเห่าหอนไล่หลังตามมาติดๆคล้ายกับว่าจะพยามวิ่งตีคู่กับรถให้ได้
ลุงชลเร่งความเร็วรถมากขึ้น แต่ก็ไม่สามารถสลัดไอ้ตัวประหลาดนั้นได้สักที
แต่แล้วจู่ๆก็มีเสียงหนึ่งดังเข้ามาในโสตประสาทของลุงชล
“กูบอกแล้วว่าให้ขับรถอย่างมีสติ”
เสียงที่คุ้นเคยนี้เป็นเสียงของยายแย้ม ตอนนั้นลุงชลคิดว่าตัวเองน่าจะกลัวจนประสาทหลอน เพราะยายแย้มจะมาพูดข้างหูได้ยังก็ในเมื่อส่งแกมาตั้งนานแล้ว
จู่ๆเสียงทุบหลังคารถ และเสียงเห่าหอนก็หยุดชะงักลง พร้อมกับป้าแนนที่พูดด้วยเสียงสั่นเครือเหมือนคนกำลังจะร้องไห้ว่า
“พี่...มันหายไปแล้ว ค่อยๆขับรถนะ แต่ถ้าเจอปั้มแล้วเลี้ยวเข้าไปเลยนะ ฉันต้องพักแล้วจริงๆ”
ถึงแม้นว่าป้าแนนจะบอกว่าทุกอย่างกลับเข้ามาสู่สถานการณ์สงบแล้ว แต่อาการตื่นตระหนกของป้าแนนก็ยังคงอยู่ ลงชลเองก็ค่อยๆขับรถไปและเมื่อเจอปั้มก็เลี้ยวเข้าไปทันที
ลุงชลแวะเข้าไปซื้อน้ำดื่มและของกินหลายอย่างเอามาให้ป้านิ่ม และเมื่อป้านิ่มรวบรวมสติที่แตกจนครบแล้วก็เลยเล่าเรื่องบางอย่างให้ลุงชลฟัง
“พี่จำตอนที่เสียงหอนมันหายไปได้ไหม ตอนนั้นฉันเห็นยายแย้ม”
“บ้า เราไปส่งยายตั้งนานแล้วนะ” ลุงชลไม่เชื่อ
“จริงๆนะพี่ ยายแย้มจริงๆ ยายแกยืนเอามือบีบคอไอ้ตัวนั้นที่วิ่ง4ขาได้...แต่ตอนที่ฉันเห็นคือ มือของยายมันยืดยาวมาจับที่คอของมันแล้วกระชากกลับไป ถึงตอนนั้นฉันจะเห็นเพียงแค่แว๊บเดียวเพราะพี่ขับรถไว แต่ฉันมั่นใจว่านั้นน่ะยายชัวร์....ไอ้ตัวนั้น ตัวอะไรฉันไม่รู้ แต่ยายน่ะ....ไม่น่าใช่คนแน่ๆ”
ซึ่งมันก็จริง เพราะคนที่ไหนจะยืดมือได้ยาวแบบนั้นและกระชากกลับแบบนั้นได้
ลุงชลแกมานั่งคิดดีๆ ถ้ายายไม่ใช่คนจริง งั้นตอนที่ได้ยินเสียงแกเตือนเรื่องขับรถก็ไม่ได้ประสาทหลอนนะสิ
นั่งพักกันอยู่ครู่พอต่างคนต่างใจเย็นลงแล้ว ลุงชลก็ขับรถต่อ แต่ครั้งนี้ลุงให้ป้าแนนนอนพักไปเลยเพราะสงสารเนื่องจากแกมีอาการแพนิคอย่างมาก
สายๆวันรุ่งขึ้นพอลงของเสร็จ ลุงชลก็ตัดสินใจตีรถกลับทันทีเลย เพราะไม่อยากไปวิ่งรถแถวนั้นในช่วงดึกๆอีกแล้ว
แต่ก็ต้องมาเหยียบเบรกอีกครั้งจนป้าแนนหัวเกือบทิ่ม ป้าแนนก็โวยวายตามระเบียบ แต่ลุงชลชี้ให้ป้าแนนดู และพอมองดีๆก็เลยเห็นว่าบริเวณนี้เป็นจุดที่เอายายแย้มมาส่ง
ทว่ามันไม่มีบ้านคนสักหลัง และเมื่อลงไปดูก็พบแค่ศาลไม้เก่าๆ1หลัง และตุ๊กตาปูนปั้นเป็นตัวยาย1องค์ตั้งอยู่ด้านในศาล
พอเห็นแบบนี้ลุงชลกับป้าแนนยกมือขึ้นท่วมหัวเลย บอกขอบคุณยายแย้มที่ดูแลเมื่อคืน
ถึงแม้นว่าแกจะมาน่ากลัวไปหน่อยก็ตาม...
แต่ถ้าไม่ได้ยายแย้ม..ลุงชลมั่นใจว่าเมื่อคืนคงมีอุบัติเหตุหรือเรื่องที่ไม่คาดฝันเกิดขึ้นอย่างแน่นอน
โฆษณา