26 ต.ค. 2023 เวลา 17:20 • หุ้น & เศรษฐกิจ

Chapter 1 : ผมเข้ามาในตลาดหุ้นทำไม

ทุกอย่างมันเริ่มต้นจากการที่ผมรู้จัก “เงินเฟ้อ” ผมเข้าใจมาตลอดว่าการที่เงินเราอยู่ครบ เราจะสบายใจ แต่พอเอาเข้าจริงแล้ว เงินเราอาจจะอยู่ครบจำนวนก็จริง แต่อำนาจการซื้อของเงินนั้น มันไม่เท่าเดิม มันก็เลยทำให้ผมเข้ามาสนใจเรื่องการลงทุน ไม่ว่าจะเป็น หุ้นกู้ พันธบัตร และ หุ้นสามัญ
เอาจริงๆแล้ว ผมไม่คิดว่าทุกคนเหมาะกับตลาดหุ้นนะ เพราะทุกอย่างมันควรเริ่มจากการตั้งเป้าหมายการลงทุนก่อน มันจะทำให้เราเลือกสินทรัพย์ลงทุนได้ง่ายขึ้นมาก เช่น ต้องการผลตอบแทนทบต้นปีละ4% การลงทุนโดยใช้ตราสารหนี้เป็นหลัก ก็เพียงพอจะได้ผลตอบแทนในระดับนั้นแล้ว หรือ ถ้าต้องการผลตอบแทนทบต้นปีละ10%+ จะลงทุนในตราสารหนี้อย่างเดียวก็คงไม่ได้ คงจะต้องลงทุนในหุ้นซะมากกว่า นั่นเป็นจุดเริ่มต้นที่ผมเข้ามาในตลาดหุ้น
สิ่งสำคัญที่ผมตกผลึกได้ตอนที่ผมเป็นนักลงทุนมือใหม่ คือผมเอาแต่หวังว่า “เป้าหมายคือการทำให้พอร์ตโต ยิ่งโตมากเท่าไหร่ยิ่งดี” แต่จริงๆแล้วผมคิดว่า มันเป็นmindsetการลงทุนที่ไม่ค่อยดีสักเท่าไหร่ เพราะการที่เราไม่กำหนดเป้าหมาย ก็หมายความว่า เราจะfocusที่returnอย่างเดียว ซึ่งลืมนึกถึง”ความเสี่ยง”ไป
คำว่าความเสี่ยงความหมายของมันคือ “ความไม่แน่นอน” (Risk ในทางสถิติแล้ว ก็คือ ส่วนเบี่ยงเบนจากค่าเฉลี่ย) หรือง่ายๆมันก็คือ โอกาสที่ผลตอบแทนเราจะไม่ได้เป็นไปอย่างที่เราคาดไว้ ดังนั้นการลงทุนที่ดีในมุมมองของผมคือ “การที่เราสามารถทำผลตอบแทนได้ตามเป้าหรือเกินเป้าต่อเนื่องในระยะยาว”
ความเสี่ยงหลักๆของแต่ละประเภทสินทรัพย์
- พันธบัตร เป็นสินทรัพย์ที่ไม่มีความเสี่ยง(Risk free) เพราะผลตอบแทนเป็นไปตามดอกเบี้ยหน้าตั๋ว และรัฐบาล ในทางทฤษฎีก็ไม่มีทางผิดนัดชำระหนี้
- หุ้นกู้ ความเสี่ยงเพิ่มขึ้นมาหน่อย คือ ผลตอบแทนเป็นไปตามดอกเบี้ยหน้าตั๋ว แต่ว่าถ้าบริษัทที่กู้เงินเราไปดันเจ๊ง ทำให้ไม่สามารถชำระเงินต้นคืนได้ ก็อาจจะเสียเงินต้นไปได้
- หุ้นสามัญ หลักๆคือมีความเสี่ยงจากความไม่แน่นอนของผลตอบแทน ซึ่งผลตอบแทนก็แบ่งเป็น2อย่างคือ
1. ส่วนต่างราคาหุ้น (Capital gain)
เป็นผลตอบแทนแบบ Market-based คือคาดหวังว่าซื้อมาแล้วต้องมีคนมาซื้อต่อเราในราคาตลาดที่สูงกว่าเดิม แปลว่า ผลตอบแทนขึ้นอยู่กับตลาด เราจะอาจจะมีราคาเป้าหมายของหุ้นในใจ แต่ไม่ได้แปลว่าราคาจะต้องไปถึงเป้าหมาย ผลตอบแทนเราอาจจะเป็น-50%หรือ+200%ก็เป็นไปได้หมด ผมคิดว่าผลตอบแทนแบบนี้มีความเสี่ยงสูงมาก เพราะก็ต้องใช้ดวงพอสมควร หรือบางคนอาจจะใช้กราฟเทคนิค ข่าว/story Fund flow เพื่อคาดการณ์demand supply แต่มันเหมือนไสยศาสตร์ที่เป็นความเชื่อมากกว่าวิทยาศาสตร์ที่พิสูจน์ได้
ดังนั้นเราจะมีความเสี่ยง จากความไม่แน่นอนของราคาหุ้น แต่ถ้าเราเป็นนักลงทุนระยะยาว ไม่ได้จะขายหุ้นในระยะสั้น ความเสี่ยงตรงนี้จะลดลงไปมาก เพราะระยะยาวราคาหุ้นมักวิ่งตามผลประกอบการ
2. ปันผล (Dividend yield)
เป็นผลตอบแทนแบบ Profit-based คือ ปันผลจะถูกจ่ายจากกำไรสุทธิ ถ้ากำไรสุทธิเพิ่มขึ้น ก็มีแนวโน้มที่ปันผลจะเพิ่มขึ้น และถ้าเราสามารถคาดการณ์กำไรได้เราก็สามารถคาดการณ์ผลตอบแทนที่เป็นกรอบแคบๆได้ เช่น 1-1.5% หรือ 3-5%
ความเสี่ยงตรงนี้น้อยกว่า เพราะกำไรมันพอจะประมาณได้ อาจจะคลาดเคลื่อนได้ แต่ส่วนใหญ่ก็ไม่ได้ผิดคาดไปมาก อยู่ในกรอบที่คาดเดาได้
- คริปโต และ ทองคำ ความเสี่ยงมาจากส่วนต่างราคา ที่คาดเดาได้ยาก ส่วนตัวผมไม่ลงทุนในทองหรือคริปโต ด้วยสาเหตุที่ว่า ผมไม่รู้ว่ามันจะให้ผลตอบแทนเท่าไหร่ และมันไม่ผลิตกระแสเงินสดให้ และผมก็ไม่รู้ว่ามันจะพาผมไปถึงเป้าหมายได้มั้ย มันเหมือนการเล่นพนันหรือเล่นหวยมากเกินไปสำหรับผม ถ้าดวงดีก็อาจจะรวยไปเลย
โฆษณา