27 ต.ค. 2023 เวลา 02:10 • กีฬา

ทำไมโอเว่น กับ เชียเรอร์ ไม่คุยกัน 4 ปี เราจะไปอธิบายอย่างเข้าใจง่ายนะครับ

ไมเคิล โอเว่น กับ อลัน เชียเรอร์ เป็นสองกองหน้าทีมชาติอังกฤษ ที่มีระดับศักดิ์ศรีใกล้เคียงกัน
เชียเรอร์ เป็นดาวซัลโวสูงสุดตลอดกาลของพรีเมียร์ลีก ด้วยจำนวน 260 ลูก, ดาวซัลโวพรีเมียร์ลีก 3 สมัย และคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีก 1 ครั้งกับแบล็คเบิร์น โรเวอร์ส
1
โอเว่นเองก็ไม่ธรรมดา เขาเป็นนักเตะอังกฤษ คนสุดท้ายที่ได้รับรางวัลบัลลงดอร์, คว้าดาวซัลโวพรีเมียร์ลีก 2 สมัย และคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีก 1 ครั้งกับแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด
เชียเรอร์ มีสถิติยิงประตูมากกว่า (379 ลูก ต่อ 222 ลูก) แต่โอเว่นมีโทรฟี่มากกว่า (6 ใบ ต่อ 1 ใบ) ก็เรียกได้ว่าเหนือกว่าคนละด้าน
ดูเผินๆ ทั้งคู่ก็ควรจะสนิทกัน เพราะโอเว่นเป็นผู้เล่นที่สานต่อตำแหน่งหัวหอกทีมชาติอังกฤษ ต่อจากอลัน เชียเรอร์ จากนั้นก็เคยเล่นร่วมกันสั้นๆ ที่นิวคาสเซิล ก่อนที่เชียเรอร์จะแขวนสตั๊ดด้วย
หลังจากเลิกเล่น ทั้งคู่ทำงานในธุรกิจเดียวกัน เชียเรอร์ เป็นคอมเมนเตเตอร์ให้บีบีซี และ บีอิน สปอร์ต ส่วนไมเคิล โอเว่น เป็นคอมเมนเตเตอร์ให้กับ พรีเมียร์ลีก และช่องบีทีสปอร์ต
อย่างไรก็ตาม ในข้อเท็จจริงคือสองคนนี้ไม่ถูกกัน และไม่ได้คุยกันแม้แต่คำเดียวมา 4 ปีเต็มแล้ว
จริงๆ แล้วโอเว่น กับ เชียเรอร์ ถือว่า "เคยสนิทกัน" ตอนโอเว่นย้ายจากเรอัล มาดริด มาอยู่นิวคาสเซิลในปีแรก เขาไปนอนที่บ้านของเชียเรอร์ ระหว่างหาซื้อบ้านให้ตัวเอง
ทั้งคู่ไปเล่นกอล์ฟด้วยกันเป็นประจำ มีเอเยนต์คนเดียวกัน และมีสปอนเซอร์รองเท้ายี่ห้อเดียวกัน ดูแล้วก็น่าจะเป็นเพื่อนซี้ต่างวัยกันได้ คำถามคือความสนิทที่ว่า มันจางหายไปตอนไหน
จุดเริ่มต้นของความขัดแย้ง เกิดขึ้นในฤดูกาล 2008-09 ปีนั้นนิวคาสเซิลปั่นป่วนมาก มีการเปลี่ยนผู้จัดการทีมถึง 3 คน ได้แก่เควิน คีแกน, โจ คินเนียร์ และ คริส ฮิวจ์ตัน
แม้จะเปลี่ยนโค้ช แต่นิวคาสเซิลก็ยังเล่นได้น่าผิดหวังต่อไป พวกเขาแพ้คู่แข่งรัวๆ ทำให้เมื่อจบนัดที่ 30 ไมค์ แอชลีย์ ไล่คริส ฮิวจ์ตันออกอีกคน แล้วจ้างเชียเรอร์ มาเป็นผู้จัดการทีมขัดตาทัพ ใน 8 เกมที่เหลือของซีซั่น เพื่อหวังว่าบารมีของนักเตะตำนาน อาจกระตุ้นให้ทีมคัมแบ็กกลับมาอยู่รอดในพรีเมียร์ลีกได้สำเร็จ
1
เชียเรอร์ไม่เคยมีประสบการณ์ในการเป็นผู้จัดการทีมมาก่อน เขาทำทีม ทรงๆ ทรุดๆ อย่างไรก็ตาม สามารถประคองทีมมาถึงนัดสุดท้ายของฤดูกาลได้สำเร็จ โดยนิวคาสเซิล จะไปเยือนแอสตัน วิลล่า ขอเพียงแค่ "ไม่แพ้" ทีมก็จะอยู่รอดต่อไปในซีซั่นหน้า แต่ถ้าแพ้ ก็ตกชั้น
เกมดังกล่าว ไมเคิล โอเว่น มีอาการบาดเจ็บกล้ามเนื้อ แต่สามารถลงเล่นได้ อย่างไรก็ตาม เชียเรอร์ เลือกจะส่ง โอบาเฟมี่ มาร์ตินส์ ยืนคู่กับมาร์ก วิดูก้า ยืนเป็นตัวจริงแทน
เกมที่วิลล่าพาร์ก นัดสุดท้ายของซีซั่น นิวคาสเซิลเล่นไม่ดีเลย แล้วก็มาโดนยิงนำ 1-0 ในนาทีที่ 38 จากการทำเข้าประตูตัวเองของแดเมียน ดัฟฟ์
เข้าสู่ครึ่งหลังเชียเรอร์ ส่งโอเว่นลงไปแก้เกมในนาทีที่ 66 แต่ก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้ จบเกมวิลล่า ชนะนิวคาสเซิล 1-0 สกอร์แบบนี้ ทำให้ทีมสาลิกาดงต้องตกชั้น
หลังจบเกมดังกล่าว พอนิวคาสเซิลแพ้ 1-0 นักเตะก็เข้าห้องแต่งตัวไปเก็บของ เพื่อเดินทางออกจากวิลล่า พาร์ก ตัวโอเว่นสีหน้าเรียบเฉย ดูไม่ได้ทุกข์ร้อนอะไรมากนัก ทำให้เชียเรอร์ ไปพูดกับโอเว่นว่า "นายจะไม่อยู่ที่สโมสรแห่งนี้ต่อแล้วนี่ ดังนั้นก็ไม่ต้องรับผิดชอบใดๆ ในสิ่งที่เกิดขึ้นต่อไปจากนี้"
1
หลังเกมการแข่งขัน ก็มีหลายคนตั้งคำถามว่า ทำไมเชียเรอร์ ไม่ส่งโอเว่นลงตัวจริงในเกมสำคัญ และวิจารณ์ถึงความสามารถในการคุมทีม ซึ่งจากวันนั้นมา เชียเรอร์ก็ไม่เคยรับงานคุมสโมสรฟุตบอลอีกเลย
1
สำหรับโอเว่นพอแพ้วิลล่าเกมนั้น เขาก็กลายเป็นนักเตะไร้สังกัด ก่อนจะย้ายไปแมนฯ ยูไนเต็ด เพื่อคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีก 1 สมัย
ในช่วงที่เซ็นสัญญากับแมนฯ ยูไนเต็ดใหม่ๆ เคยมีนักข่าวถามว่า ทำไมตลอด 4 ปีกับนิวคาสเซิล เขาเล่นไม่ออกเลย โอเว่นตอบว่า "ผมมักจะเล่นได้ดีกับทีมที่แข็งแกร่งและมีลุ้นแชมป์ แต่กับทีมที่ดิ้นรนท้ายตาราง มันจะเล่นยาก และผมจะเล่นไม่ค่อยออก" ซึ่งนี่เป็นประโยคที่สร้างความเจ็บแค้นให้แฟนๆ นิวคาสเซิลอย่างมาก
1
เหตุการณ์เรื่องนี้ก็ผ่านไป 9 ปี จนโอเว่นแขวนสตั๊ดเรียบร้อยแล้ว ก็มีการหยิบเรื่องราว ในเกมแอสตัน วิลล่า ปะทะ นิวคาสเซิล ในปี 2009 ขึ้นมาพูดอีกครั้ง โดยคนเปิดประเด็นมีชื่อว่า พอล เฟอร์ริส อดีตนักกายภาพบำบัดของนิวคาสเซิล
เขาเขียนหนังสือวางขายในปี 2018 และเล่าข้อมูลอินไซเดอร์ โดยบอกว่า สังคมจะไปโทษเชียเรอร์ไม่ได้ เพราะไมเคิล โอเว่น เป็นคนบอกเองว่าไม่อยากลงเล่น เพราะกลัวได้รับบาดเจ็บกล้ามเนื้อ และส่งผลกระทบต่อการเซ็นสัญญากับทีมอื่น
หลังจากพอล เฟอร์ริส เขียนหนังสือได้หนึ่งปี ในปี 2019 โอเว่นเขียนหนังสืออัตชีวประวัติ ออกมาชี้แจงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมด โดยเล่าว่า ปัญหาไม่ได้อยู่ที่ตัวเขา แต่อยู่ที่ผู้จัดการทีมอลัน เชียเรอร์ต่างหาก
โอเว่นบอกว่า "ผมมีสภาพร่างกายไม่สมบูรณ์ มีอาการเจ็บตรงกล้ามเนื้อ และซ้อมได้แค่ 75-80% เท่านั้น ที่สำคัญผมเคยมีประสบการณ์เล่นแบบฝืนๆ ในฟุตบอลโลก 2006 จนบาดเจ็บหนัก กล้ามเนื้อขาดเป็นชิ้นๆ ดังนั้นผมจึงระมัดระวังอย่างมาก ผมอธิบายอลันไปแบบนี้ว่าร่างกายเป็นอย่างไร แต่ก็บอกเขาว่า 'คุณส่งผมเป็นตัวจริงได้นะ หรือจะให้ผมนั่งที่ม้านั่งสำรองก็ได้ ผมจะทำทุกอย่างที่คุณต้องการ แต่แค่ต้องบอกให้คุณรู้ตามตรงว่า ผมกลัวเรื่องการสปรินท์' "
โอเว่นไม่พอใจที่เขาโดนกล่าวหา ว่าเป็นสาเหตุที่ทำให้นิวคาสเซิลตกชั้น และไม่พอใจการแฉของพอล เฟอร์ริส ที่เหมือนจะโยนให้เขารับบทตัวร้าย โอเว่นบอกว่า การแพ้ในเกมการแข่ง เป็นการตัดสินใจของเชียเรอร์ทุกอย่าง ไม่ใช่เรื่องที่จะมาโทษเขาเสียหน่อย
1
โอเว่นเล่าต่อว่า "หลังจากตกชั้น เขาไปเที่ยวโทษใครๆ ว่าเป็นความผิดของผม ทำให้ผมเป็นแพะรับบาป แต่ถ้าคุณไปดูสถิติในการคุมทีม 8 นัดของเขากับสโมสร เราแพ้ 5 เสมอ 2 ชนะ 1 ผมว่าคุณก็ปัดความรับผิดชอบไม่ได้นะ คือทีมมันจะพังมาตั้งนานแล้ว แต่แค่มาพังทลายจริงๆ ในเกมที่แพ้วิลล่า"
"น่าเสียใจที่หลายคนยังเชื่อว่าผมเป็นตัวบ่อนทำลายนิวคาสเซิล และไม่มีสปิริตที่จะลงสนาม ผู้คนเชื่อเรื่องพวกนี้ มาจนถึงวันนี้ แต่ยิ่งผมคิดเท่าไหร่ ก็เข้าใจมากขึ้นนะ ว่าทำไมอลัน เชียเรอร์ ชอบปล่อยข่าวเสียๆ หายๆ ของผม นั่นเพราะเขาคือตำนานของนิวคาสเซิล เป็นเด็กท้องถิ่นที่กลายมาเป็นหัวใจหลักของสโมสร ดังนั้น เรื่องที่สวยงามนี้จะแปดเปื้อน ทันที ถ้าทุกคนสนใจว่าเขาคือผู้จัดการทีมที่พาสโมสรตกชั้นจากลีกสูงสุด และมันก็ง่ายกว่า ที่จะโยนความผิดไปให้ไมเคิล โอเว่น"
สิ่งที่เราพอจะเห็นได้ก็คือ ร่องรอยความบาดหมางของทั้งสองคน
1
เชียเรอร์ มองว่าโอเว่นไม่มีใจ ร่างกาย 80% คุณก็ควรเข็นตัวเองลงเล่น โดยเฉพาะในเกมสำคัญที่ชี้เป็นชี้ตายอย่างนัดสุดท้ายของฤดูกาล จะมามัวห่วงเจ็บยาวอะไรอีก
แต่ในมุมของโอเว่น ก็บอกว่า เชียเรอร์ไม่หนักแน่นเอง ถ้าจะส่งเขาลงก็ส่งเลยสิ ไม่ใช่ว่าไม่ส่งลงเล่นเอง แล้วพอทีมแพ้ก็มาโทษกันแบบนี้ มันใช้ได้ที่ไหน
หนังสืออัตชีวประวัติของโอเว่น ที่ชื่อว่า Reboot ขายดีมาก จนเป็นทอล์ก ออฟ เดอะ ทาวน์ คนที่อ่านหนังสือจะรู้เลยว่า โอเว่นเกลียดช่วงเวลาที่เล่นอยู่กับนิวคาสเซิลมากๆ
ในสัปดาห์ที่หนังสือของโอเว่น ปล่อยขายวีกแรก เชียเรอร์ ได้ลงคลิปในทวิตเตอร์ เป็นคลิปของโอเว่น ที่พูดสั้นๆ 7 วินาทีระหว่างสัมภาษณ์ว่า "ในช่วง 6-7 ปีสุดท้ายของผมในอาชีพ ผมเกลียดมันสุดๆ เลย ผมรอไม่ไหวแล้วที่จะแขวนสตั๊ด"
2
แม้ไม่ได้กล่าวชื่อนิวคาสเซิล แต่แน่นอนว่าโอเว่น จงใจพาดพิงถึงนิวคาสเซิลนั่นแหละ ว่าเป็นช่วงเวลาที่เหมือนตกนรก
เชียเรอร์ไปขุดเอาคลิปนี้มาทวีต แล้วบอกว่า "ใช่แล้วไมเคิล พวกเราก็คิดแบบนั้นเหมือนกัน แต่นิวคาสเซิลก็ยังต้องจ่ายเงินสัปดาห์ละ 120,000 ปอนด์ ทุกวีกให้นายอยู่ดี"
เชียเรอร์จะสื่อสารว่า คิดว่าตัวนายเกลียดช่วงเวลาที่อยู่นิวคาสเซิลอย่างเดียวหรือ แฟนนิวคาสเซิลเขาก็เกลียด 4 ปี ที่นายอยู่กับทีมเหมือนกันนั่นแหละ สโมสรจ่ายทั้งค่าตัว และค่าเหนื่อย แพงที่สุดเป็นสถิติสโมสร แต่นอกจากจะเล่นไม่ดี แล้วยังเล่นแบบไม่มีใจอีกต่างหาก
พอเชียเรอร์แซะแบบนั้น โอเว่นก็ทวีตคืนว่า "ไม่แน่ใจเหมือนกันนะ ว่าคุณจงรักภักดีกับสโมสรนิวคาสเซิลจริงๆ อย่างที่คุณสร้างภาพไว้หรือเปล่า ผมยังจำได้ดีนะ ที่คุณเกือบจะย้ายไปอยู่ลิเวอร์พูล ทันทีที่เซอร์บ็อบบี้ ร็อบสัน จับคุณนั่งเป็นตัวสำรอง คุณพยายามทุกทางเพื่อจะออกจากสโมสรให้ได้ ไม่ใช่หรือ?"
1
จากวันนั้นมา สองคนนี้ ถ้ามีช่องก็จะพาดพิงถึงกันอยู่เรื่อยๆ ในเดือนพฤษภาคม 2020 เชียเรอร์ จัดรายการพอดแคสต์ แมตช์ ออฟ เดอะ เดย์ แล้วกล่าวถึงโอเว่นว่า "ผมได้คุมนิวคาสเซิลแค่ 8 เกม และรู้สึกว่าช่วง 8 เกมนั้น เขาควรทำอะไรมากกว่านี้ ตอนนั้นนิวคาสเซิลกำลังจะตกชั้นอยู่แล้ว มันไม่สำคัญเลยว่าคุณลงสนามไปแล้วจะเสี่ยงเจ็บเพิ่มหรืออะไร แต่คุณต้องพร้อมตลอดเวลา"
โอเว่นตอบโต้คืนในภายหลังว่า "ผมเกิดมาเพื่อเล่นเกมใหญ่ คุณคิดว่าผมอยากจะพลาดลงเล่นในเกมชี้ชะตากับแอสตัน วิลล่าหรือ ผมว่าเชียเรอร์ควรจะดูกระจกแล้วถามตัวเองว่า 'นี่เป็นความผิดของฉันหรือเปล่า ที่เป็นผู้จัดการทีมที่ไม่ดีพอ จนพาทีมตกชั้น' "
1
ในช่วงที่ทะเลาะกันแรงๆ โอเว่นเคยขอทีมงานถ่ายทอดสดไว้ ว่าถ้าเมื่อไหร่ก็ตามต้องไปวิเคราะห์บอลที่เซนส์ เจมส์ พาร์ก เขาไม่ขอไปด้วย ส่วนหนึ่งคือกลัวเรื่องความปลอดภัยเพราะแฟนนิวคาสเซิลเกลียดเขา อีกเหตุผลหนึ่งคือหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้ากับเชียเรอร์น่นเอง
ถ้าเราสังเกตดู รายการวิเคราะห์เกมไหนมีโอเว่นจะไม่มีเชียเรอร์ มีเชียเรอร์จะไม่มีโอเว่น คือต่างคนต่างอยู่ ต่างคนต่างทำมาหากินว่างั้นเถอะ
อย่างไรก็ตาม ในช่วง 2 ปีหลัง ทั้งสองคนตัดสินใจเลิกแซะกันแล้ว ตอนโอเว่นจัดทีมยอดเยี่ยมตลอดกาลของพรีเมียร์ลีกในระบบ 4-3-3 เขาวางเชียเรอร์เป็นหน้าเป้า ขนาบข้างด้วยเธียร์รี่ อองรี กับ คริสเตียโน่ โรนัลโด้ ส่วนเชียเรอร์ ก็ไม่กล่าวถึงอะไรโอเว่นอีกเลย
ล่าสุด เมื่อวานนี้โอเว่นให้สัมภาษณ์กับช่อง DAZN มีนักข่าวถามว่า จากที่ทะเลาะกันในปี 2019 มาจนวันนี้ ได้คุยกับเชียเรอร์แล้วหรือยัง
คำตอบของโอเว่นคือ "ยัง"
เขาอธิบายว่า "อลันทำงานให้บีบีซี ส่วนผมทำช่องอื่น เราก็แทบไม่ได้ข้องเกี่ยวกันอยู่แล้ว แต่ก็มีบ้างนะ บางครั้งที่เจอกัน เราก็จับมือและพูดสวัสดีกัน แต่เราไม่เคยคุยกันอีกเลย นับจากปี 2019 เป็นต้นมา"
1
เหตุการณ์ความขัดแย้งของ 2 กองหน้าที่ยอดเยี่ยมของทีมชาติอังกฤษ ก็จบลงไปแบบนี้ครับ
ช่วงหนึ่งแซะกันด่ากันจริง แต่หลังๆ มาก็ไม่ทำแบบนั้นแล้ว คือคงรู้ว่าไม่มีประโยชน์อะไรที่จะมีเรื่องกันเองครับ รังแต่จะทำให้เกิดดราม่าเปล่าๆ
บทสรุปจากเรื่องนี้ก็ทำให้เราเห็นว่า คนในวงการเดียวกัน ก็ไม่ได้สนิทสนมกันทุกคนหรอกครับ ใช่ว่าจะเป็นเพื่อนกันได้หมด และเรื่องความขัดแย้งมีกันได้เป็นปกติ
ทางออกที่น่าจะดีที่สุดคือ ต่างคนต่างทำงานไป หาเงินเลี้ยงครอบครัว ไม่ชอบกัน ก็ไม่ต้องเจอกันแค่นั้นพอแล้ว ไม่ต้องตาม Stalker คอยจับผิดว่าอีกฝ่ายจะทำอะไร
และแทนที่จะมาเสียสุขภาพจิตในการทะเลาะกับใครสักคน สู้เอาเวลาไปทำงาน พัฒนาตัวเองให้เก่งขึ้น และไปอยู่ในแวดล้อม ของคนที่รักเราดีกว่าเนอะ
โฆษณา