24 พ.ย. 2023 เวลา 00:00 • ประวัติศาสตร์

พระสุริยเทพ วัดศาลาทึง ไชยา สุราษฎร์ธานี

โบราณวัตถุศิลปะโจฬะแห่งอินเดียใต้บนคาบสมุทรสยามประเทศ
วัดศาลาทึง (วัดชยาราม) ตั้งอยู่ที่ ต.ตลาด อ.ไชยา จ.สุราษฏร์ธานี เล่ากันว่าทางทิศตะวันออกของพระอุโบสถมีวิหารพราหมณ์ ชาวบ้านเรียกว่า “ในรายณ์” มาจากนามพระนารายณ์หรือพระวิษณุที่พบที่นี่ วัดศาลาทึง พบประติมากรรมในศาสนาพราหมณ์-ฮินดู (พระวิษณุ) ลัทธิเสาระ (พระสุริยเทพ) และศาสนาพุทธ (พระโพธิสัตว์อวโลติเตศวร)
การพบซากศาสนสถาน ประติมากรรม เทวรูปพระวิษณุสี่กร สุริยเทพหิน พระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวรหิน แท่นโยนี และสระน้ำโบราณนั้น นับได้ว่าบริเวณวัดศาลาทึงแห่งนี้ เป็นสถานที่สำคัญของคาบสมุทรแห่งสยามประเทศฝั่งตะวันออก คือด้านอ่าวไทยที่จะเดินทางต่อในมหาสมุทรแปซิฟิค
พระสุริยเทพ วัดศาลาทึง ปัจจุบันจัดแสดงอยู่ที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติพระนคร กรุงเทพฯ โดยข้อมูลจากพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ นครศรีธรรมราช และสำนักศิลปากรที่ ๑๒ นครศรีธรรมราช กล่าวถึงโบราณวัตถุพระสุริยเทพที่พบในคาบสมุทรแห่งสยามประเทศทางภาคใต้ว่า
ประติมากรรมพระสุริยเทพวัดศาลาทึง สูง ๕๒ เซนติเมตร เป็นประติมากรรมหิน ประทับยืนตรง ส่วนพระบาทหักหาย พระพักตร์ค่อนข้างเหลี่ยม พระวรกายค่อข้างสั้น มีสายอุทรพันธะ สวมสายยัชโยปวีต มีประภามณฑลหรือรัศมีวงกลมอยู่ด้านหลังพระเศียร พระหัตถ์ทั้งสองข้างยกขึ้นในระดับพระอังศาแต่หักหาย สันนิษฐานว่าเป็นศิลปะอินเดียแบบโจฬะ มีอายุประมาณพุทธศตวรรษที่ ๑๕-๑๖
เพราะพระสุริยะเทพในอินเดีย มักนิยมทำประติมากรรมประทับยืนพระบาทเปล่า (ไม่สวมรองเท้า) พระหัตถ์ทั้งสองข้างยกขึ้นในระดับพระอังสาและทรงถือดอกบัวครึ่งตูมครึ่งบาน ซึ่งลักษณะส่วนใหญ่โดยทั่วไปเหมือนกับพระสุริยะเทพ ซึ่งพบที่วัดศาลาทึงแห่งนี้ และมีความร่วมสมัยกับการพบประติมากรรมศิลปะอินเดียแบบโจฬะ ในแหล่งโบราณคดีอื่นๆ คือ พระวฏกะไภรวะ ที่แหล่งโบราณคดีเวียงสระ จังหวัดสุราษฎร์ธานี และพระคเณศ ที่แหล่งโบราณคดีทุ่งตึก (เหมืองทอง-เกาะคอเขา) จังหวัดพังงา
บทความ 'หลักฐานทางศาสนาฮินดูที่พบในชุมชนโบราณเวียงสระจังหวัดสุราษฏร์ธานี' (Hindu religious evidence found within Wiang Sa ancient settlement, Surat Thani province) โดย สุขกมล วงศ์สวรรค์ นักศึกษาระดับดุษฎีบัณฑิต สาขาโบราณคดีสมัยประวัติศาสตร์ บัณฑิตวิยาลัย มหาวิทยาลัยศิลปากร กรุงเทพมหานคร พิมพ์เผยแพร่ในวารสารวิชาการ Veridian E-Journal ปีที่ ๖ ฉบับที่ ๒ เดือนพฤษภาคม – สิงหาคม ๒๕๕๖ กลุ่มมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์
ซึ่งเรียบเรียงขึ้นจากวิทยานิพนธ์ปริญญาดุษฎีบัณฑิต สาขาวิชาโบราณคดีมัยประวัติศาสตร์ บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยศิลปากร ปีการศึกษา 2555 เรื่อง 'พัฒนาการทางวัฒนธรรมของชุมชนโบราณเวียงสระจังหวัดสุราษฎร์ธานี จากหลักฐานทางโบราณคดี' โดยมีศาสตราจารย์ ดร.ผาสุข อินทราวุธ เป็นที่ปรึกษาหลัก และ ดร.อมรา ศรีสุชาติ เป็นที่ปรึกษาร่วม ให้ข้อมูลว่า
' ...เมืองโบราณเวียงสระยังมีอายุใกล้เคียงหรือร่วมสมัยกับประติมากรรมที่พบในแหล่งโบราณคดีใกล้เคียงทั้งทางฝั่งตะวันออก (อ่าวไทย) และฝั่งตะวันตก (อันดามัน) ที่เจริญขึ้นในช่วงเวลาเดียวกัน คือ พระสุริยเทพศิลปะโจฬะ จากแหล่งโบราณคดี วัดศาลาทึง อำเภอไชยา จังหวัดสุราษฎร์ธานี และพระคเณศ ศิลปะโจฬะ จากแหล่งโบราณคดีทุ่งตึก อำเภอตะกั่วป่า จังหวัดพังงา'
..ข้อมุลจากจากเอกสาร ‘ท่องเที่ยวเพื่อเข้าใจเมืองไทยในมัณฑละแห่งศรีจนาศะ ละโว้ ศรีเทพ เสมา’ ในบทความ ‘เทวรูปรุ่นเก่าและเทวรูปเด่นจากเมืองศรีเทพ สุริยเทพ’ ได้อรรถาธิบายถึง ‘สุริยเทพ’ หรือพระอาทิตย์ ในศาสนาฮินดูถือว่าเป็นเหตุแห่งการมีชีวิต ได้รับการบูชาในยามเช้าและมีวัดฮินดูในอินเดียหลายแห่งที่บูชาพระสุริยะเป็นการเฉพาะ
เทวรูปพระอาทิตย์ในอินเดียบ้างเป็นเทพสองมือถือดอกบัว บ้างมีสี่มือถือดอกบัว จักร สังข์ และคทา เมื่อราตรีกาลผ่านไป พระสุริยเทพก็จะประทับราชรถข้ามฟากฟ้ามาประทานความอบอุ่นและชีวิตให้กับสัตว์โลกอีกครั้งเอาชนะความมืด ผลัดเปลี่ยนกันไปตลอดกาล
พระสุริยะเป็นเทพเก่าแก่ในและสำคัญองค์หนึ่งมีลัทธิเป็นเอกเทศของตนเองเรียกว่าลัทธิเสาระ ซึ่งรุ่งเรืองมากในสมัยหลังคุปตะราวพุทธศตวรรษที่ ๑๓-๑๔ พระองค์อยู่ในกลุ่มอาทิตยเทพที่มีทั้งหมด ๑๒ องค์ ซึ่งมักบูชาควบคู่กับการบูชาเทพนพเคราะห์หรือดาวเคราะห์อีก ๙ ดวง
การบูชากลุ่มอาทิตยเทพมีมานานแล้วในอินเดีย แต่พระสุริยะยังไม่ได้รับการยกย่องมากนัก จนกระทั่งได้รับอิทธิพลจากอิหร่านในราชวงศ์กุษาณะราวพุทธศตวรรษที่ ๕-๘ โดยนักบวชอิหร่านที่เคยอาศัยทางตะวันออกของอิหร่านปัจจุบันซึ่งมีสายรัดเอวที่เรียกว่า อวยังคะ หมายถึงเข็มขัดศักดิ์สิทธิ์ของผู้นับถือพระอาทิตย์เทียบได้กับสายธุรำหรือสายยัชโญปวีตของพราหมณ์
สุริยเทพถือเป็นเทพแบบฮินดูองค์แรกๆ ที่พบการสร้างประติมากรรมเพื่อเคารพบูชาในท้องถิ่น ในระยะแรกจะเป็นประติมากรรมเฉพาะองค์แบบลอยตัว เช่น ที่พบจากไชยา สกุลช่างโจฬะจากอินเดีย อายุราวพุทธศตวรรษที่ ๑๕-๑๖ อันเป็นยุคศรีวิชัย และสุริยะเทพทำจากสำริด พบที่เมืองโบราณยะรัง ในจังหวัดปัตตานี
พระสุริยะแต่งตัวหุ้มหน้าอกจนถึงเท้า ซึ่งไม่สวมรองเท้า ถ้าเป็นทางอินเดียใต้บริวารต่างๆ รวมทั้งรถม้าแบบทางเหนือหายไป ถือดอกบัวในพระหัตถ์ในระดับบ่าทั้ง ๒ ข้าง สวมต่างหูสวมสร้อยไข่มุกยาวคาดเข็มขัด (อวยังคะ) ไว้รอบเอว มีรัศมีวงกลอมด้านหลังพระเศียร
..วิทยานิพนธ์ 'คติเรื่องพระสุริยเทพในงานศิลปกรรมที่พบในประเทศไทยช่วงก่อนพุทธศตวรรษที่ 19' (Surya Found In Thailand Before 14th Century A.D. : Concept And Styles) โดย วรลักษณ์ ผ่องสุขสวัสดิ์ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของหลักสูตรปริญญาศิลปศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาประวัติศาสตร์ศิลปะ ภาควิชาประวัติศาสตร์ศิลปะ บัณฑิตมหาวิทยาลัย มหาวิทยาลัยศิลปากร ปี ๒๕๔๙ ได้ให้ข้อมูลถึงการวิเคราะห์รูปแบบเทวรูปพระสุริยเทพที่วัดศาลาทึง ว่า
เทียบเคียงได้กับรูปแบบพระสุริยะในศิลปะอินเดียใต้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการแสดงพระบาทเปลือยเปล่าโดยไม่สวมรองพระบาทและการปรากฏเฉพาะองค์เทวะโดยปราศจากบริวารหรือราชรถ
อนึ่ง หากเทวรูปนี้ พระกรทั้งสองไม่หักหาย คงทรงถือดอกบัวตูม หรือครึ่งตูมครึ่งบานยกขึ้นในระดับพระอุระเช่นความนิยมในอินเดียใต้
การกำหนดอายุจากรูปแบบประติมานวิทยา ขนาดและสัดส่วนของประติมากรรม ตลอดจนการใช้หินทรายเป็นวัสดุ นักวิชาการบางส่วนจึงจัดเทวรูปพระสุริยะอยู่ร่วมในกลุ่มเดียวกับเทวรูปพระวิษณุ และพระวฑุกะไภรวะ หรือพระสิวะในปางดุร้าย จากเมืองเวียงสระ จังหวัดสุราษฎร์ธานี ซึ่งมีรูปแบบแสดงถึงอิทธิพลศิลปะอินเดียสมัยราชวงศ์โจฬะ และกำหนดอายุอยู่ในช่วงพุทธศตวรรษที่ ๑๕-๑๖
ความสัมพันธ์ทางรูปแบบซึ่งเทียบเคียงได้กับศิลปะอินเดียใต้ในสมัยราชวงศ์โจฬะนั้น ดูจะสอดคล้องกับหลักฐานทางประวัติศาสตร์และโบราณคดี ซึ่งแสดงถึงความสัมพันธ์ระหว่างสองดินแดน เช่น ความบางส่วนจากจารึกซึ่งพบบนเขาพระนารายณ์ กล่าวถึงกลุ่มพ่อค้าชาวอินเดียใต้ซึ่งเข้ามาตั้งหลักแหล่งที่เมืองตะกั่วป่า ราวพุทธศตวรรษที่ ๑๔ ไม่เพียงการเดินทาเข้ามายังอาณาจักรศรีวิชัยของชาวอินเดียเท่านั้น
ต่อมาในราวพุทธศตวรรษที่ ๑๖ กษัตริย์ของอาณาจักรศรีวิชัยได้สร้างศาสนาสถานขึ้นที่เมืองเนคปัฏฏัม (Negapatam) อินเดียใต้ แสดงให้เห็นถึงการไปมาหาสู่และแลกเปลี่ยนซึ่งกันและกัน ทั้งทางศาสนา วัฒนธรรม รวมทั้งการเอื้อผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจการค้า อันเป็นรายได้หลักของอาณาจักรศรีวิชัย
หากแต่นโยบายการขยายอำนาจทางการค้าของอาณาจักรศรีวิชัย และเหล่าอาณาจักรในแหลมมลายู เกาะสุมาตรา ซุนดา รวมทั้งตามพรลิงค์ กลับขัดแย้งกับแนวคิดของพระเจ้าราเชนทร์ที่ ๑ แห่งราชวงศ์โจฬะ
พระองค์จึงส่งกองทัพเข้าโจมตีบรรดาเมืองดังกล่าวในราวปี พ.ศ.๑๕๖๘ เพื่อยับยั้งการแผ่อำนาจ รวมถึงความก้าวหน้าทางการค้าของอาณาจักรศรีวิชัยและประเทศราชต่างๆ
ดังปรากฏหลักฐานในจารึกที่เมืองตันชอร์ ซึ่งจารึกขึ้นราวปี พ.ศ.๑๕๗๓ - ๑๕๗๖ ผลจากการโจมตีครั้งนั้นไม่ได้หมายถึงการยึดครองอำนาจเหนืออาราจักรศรีวิชัย โดยความสัมพันธ์ของสองอาราจักรยังคงดำเนินอยู่ต่อมา ดังในรัชสมัยพระเจ้ากุโลตตุงคะ ปี พ.ศ.๑๖๑๓ ซึ่งทางศรีวิชัยได้ส่ทุตไปยังอาราจักรโจฬะเพื่อเจริญสัมพันธไมตรี
ผลจากความสัมพันธ์ที่มีเรื่อยมา ยังผลให้ศิลปกรรมแบบอินเดียใต้ได้เข้ามามีบทบาทต่อสิลปะในคาบสมุทรภาคใต้ทั้งในศาสนาพุทธและศาสนาพราหมณ์ ตั้งแต่ราวพุทธศตวรรษที่ ๑๕ เป็นต้นมา วึ่งหมายรวมถึงรูปแบบและประติมานวิทยาของเทวรูปพระสุริยะองค์นี้’
..จากหลักฐานทางประวัติศาสตร์และโบราณคดีที่บ่งชี้ว่า การเข้ามาของพ่อค้าและนักบวชชาวอินเดียในดินแดนสุวรรณภูมิและภาคใต้ของไทยส่งผลให้ลัทธิความเชื่อของชาวอินเดียได้เข้ามาเผยแผ่และปรากฏหลักฐานในหลายพื้นที่ โดยหลักฐานศาสนาพราหมณ์-ฮินดูไวษณพนิกายน่าจะเข้าสู่ภาคใต้ตั้งแต่ต้นพุทธศตวรรษที่ ๑๐ และรุ่งเรืองอยู่บนคาบสมุทรภาคใต้ในช่วงพุทธศตวรรษที่ ๑๒-๑๓ โดยหลังพุทธศตวรรษที่ ๑๓ ไปแล้ว ไวษณพนิกายเริ่มเสื่อมลงและหมดความนิยมไปหลังพุทธศตวรรษที่ ๑๖
ที่มาภาพ : finearts.go.th
#สยามเทศะโดยมูลนิธิเล็กประไพวิริยะพันธุ์
ติดตามบทความ วิดีโอ และรายการต่างๆ เพิ่มเติมได้ที่
Official Web : https://siamdesa.org
โฆษณา