31 ต.ค. 2023 เวลา 15:54 • ข่าว

เรื่องน่ากลัวที่มากกว่า “ผีหลอกคน”

อย่างที่ท่านทั้งหลายทราบโดยทั่วกันว่า ก่อนที่วิทยาศาสตร์จะเข้ามามีบทบาทในชีวิตประจำวันของคนนั้น เราต่างมีความยึดมั่นถือมั่นในเรื่องของ “สิ่งเหนือธรรมชาติ” เป็นอย่างมาก ก่อนจะพัฒนากลายมาเป็นศาสนา ศีลธรรม และจริยธรรมที่ในแต่ละสังคมมีแบบแผน ความประพฤติแตกต่างกันไป
แล้วถึงแม้ว่า วิทยาศาสตร์จะก้าวหน้าไปมากเพียงใด แต่ความเชื่อในเรื่องสิ่งเหนือธรรมชาติก็ไม่อาจถูกละเลย เพิกเฉยไปได้ ตราบใดที่จิตใจหาได้มีความมั่นคงไปตลอดไม่ ดังนั้น คราใดที่เรารู้สึกท้อแท้ สิ้นหวัง หรือพลาดพลั้งอะไรไป สิ่งเหนือธรรมชาติที่อาจจะออกมาในรูปแบบของภูตผีปีศาจ หรือวิญญาณ ย่อมเป็นสิ่งที่นึกถึงเป็นอย่างต้น จนกลายเป็นความหวาดกลัว และพร้อมที่จะหาวิธีการต่าง ๆ เพื่อปัดเป่า บรรเทาให้เบาบาง
แต่หารู้ไม่ว่า สิ่งที่น่ากลัวพอ ๆ กันหรือมากกว่า “สิ่งเร้นลับ” เหล่านั้น แท้จริงก็คือ “คน” เรานี่เอง ดังจะเห็นได้จากสถานการณ์ปัจจุบัน อันเกิดจากความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีที่ส่งผลให้เกิดการเชื่อมต่อโครงข่ายจากที่ต่าง ๆ เข้าหากันอย่างเป็นเนื้อเดียวกัน ไม่ว่าเราจะอยู่ส่วนใดของโลก เราสามารถรับรู้สิ่งต่าง ๆ ได้อย่างเท่าทัน ดุจว่าได้ไปอยู่ ณ ที่ตรงนั้นโดยตรง จึงถือเป็นคุณประโยชน์อย่างมากในการที่เราทั้งหลายได้มีพื้นที่การทำกิจกรรมร่วมกัน
แต่ในขณะเดียวกัน ก็จะมีกลุ่มคนบางกลุ่มใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีในการสนองความต้องการของตนเองโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายและศีลธรรม
ทุกวันนี้...ลำพังแค่การถูกหลอกให้รัก มันก็ทำให้เราเหี่ยวเฉาดุจตายทั้งเป็นอยู่แล้ว แต่การถูกหลอกโดยพวกมิจฉาชีพ เพื่อดูดเอาข้อมูล จนถึงกับสูญเงินไปเพียงไม่กี่นาที มันน่าช้ำใจพาให้ “อยากตาย” ยิ่งกว่า แล้วนับวันก็เกิดขึ้นอย่างมากมาย ไม่จำเป็นว่าผู้ใหญ่ไปจนถึงระดับผู้สูงอายุเท่านั้น ถึงจะเป็นผู้ถูกกระทำได้เพียงฝ่ายเดียวเสมอไป แม้แต่เด็กเองก็ยังไม่วายที่จะถูกกระทำ
ดังจะเห็นได้จากช่วง 2 – 3 ปีที่ผ่านมา มีข่าวสารเกี่ยวกับเด็กวัยรุ่น เด็กนักเรียนถูกหลอกโดยมิจฉาชีพ จนนำไปสู่การสูญทรัพย์และสิ้นชีวิตเกิดขึ้นตามมาอย่างน่าสลดหดหู่
ดังกรณีของเด็กชายวัย 14 ปี ในพื้นที่ตำบลเมืองนะ อำเภอเชียงดาว จังหวัดเชียงใหม่ ถูกแม่ค้าออนไลน์หลอกขายโทรศัพท์มือสองภายหลังโอนเงินไปให้ 5,000 บาท กลับโดนบล็อกช่องทางการติดต่อ สุดท้ายเด็กชายรายนี้เกิดความเครียดจนเส้นเลือดในสมองแตกเสียชีวิต เมื่อวันที่ 17 กันยายน พ.ศ. 2564
บรรยากาศงานศพของเด็กวัย 14 ปีที่เสียชีวิตจากภาวะเส้นเลือดในสมองแตก ภายหลังจากถูกมิจฉาชีพหลอกลวง (ภาพ: sanook)
หรือจะเป็นกรณีของเด็กชายวัย 15 ปี ในพื้นที่ตำบางพูด อำเภอปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี ถูกแก๊งมิจฉาชีพในโซเชียลหลอกชวนลงทุน โดยจะได้รับผลกำไรที่สูงตอบแทน จึงได้แอบถอนเงินในบัญชีแม่โอนไปให้วันเดียว สูญเงินไปประมาณ 14,000 บาท พอทราบว่าตนถูกหลอก จนเกิดความเครียดหนัก แอบไปผูกคอเสียชีวิตในป่ากระถิน เมื่อวันที่ 6 มกราคม พ.ศ. 2566
กลุ่มนักเรียนเข้าไปเคาะโลงร่ำไห้เรียกเพื่อนนักเรียนชายวัย 15 ปีที่เสียชีวิตจากการผูกคอ ภายหลังจากถูกมิจฉาชีพหลอกลวง (ภาพ: เดลินิวส์)
หรือกรณีของนักเรียนสาววัย 19 ปี ในพื้นที่ตำบลเกาะทวด อำเภอปากพนัง จังหวัดนครศรีธรรมราช ถูกแก๊งมิจฉาชีพปลอมเป็นร้านขายโทรศัพท์มือถือแห่งหนึ่งในอำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย แล้วหลอกให้โอนเงินดาวน์ผ่อนซื้อโทรศัพท์ไอโฟน 13 ทางออนไลน์ เกือบ 20,000 บาท แต่กลับไม่ได้รับสินค้า พยายามส่งข้อความขอเงินคืน แต่กลับถูกขูดรีดค่าประกันเพิ่มอีก 2,000 บาท สุดท้ายร้านปิดเฟซบุ๊กหนี จนทำให้นักเรียนสาวรายนี้เกิดความเครียด ผูกคอเสียชีวิตภายในห้องนอน เมื่อวันที่ 17 ตุลาคม 2566
การตั้งศพบำเพ็ญกุศล เพื่ออุทิศแด่นักเรียนสาววัย 19 ปีที่เสียชีวิตจากการผูกคอ ภายหลังจากถูกมิจฉาชีพหลอกลวง (ภาพ: kapook)
จากตัวอย่างที่ได้หยิบยกมา เป็นเพียงแค่บางส่วนของความเสียหายที่เกิดขึ้น ซึ่งเชื่อเหลือเกินว่ายังมี “ผู้เสียหาย” อีกหลายรายยังไม่ได้รับความยุติธรรม แต่เพียงเท่านี้ก็สามารถใช้เป็นประจักษ์พยานได้เป็นอย่างดีแล้วว่า เพราะความโลภจึงได้ก่อกรรม จากจุดนี้จึงทำให้แอดมินอยากจะค้นหาเหลือเกินถึงความเป็นมาของ “การหลอกลวง” ในโลกว่า เกิดขึ้นครั้งแรกเมื่อไหร่ ใครเป็นผู้ริเริ่ม ทำด้วยวิธีไหน และทำไมถึงต้องหลอกลวง
แต่ก็เป็นการเหลือวิสัยที่จะทำได้ เนื่องจากการหลอกลวง ไม่ว่าจะด้วยวิธีการหรือรูปแบบใดก็ตาม มันเป็นเพียงแค่ส่วนหนึ่งในประวัติศาสตร์ ที่ผุดเกิดขึ้นมาจาก “มโนสำนึก” ของคนบางคนที่ต้องการหาทางเอาตัวรอด โดยไม่คำนึงถึงผลที่จะขึ้นตามมาเท่านั้น
ยิ่งต้องการอยากรู้ว่าใคร วิธีการใด รวมถึงสาเหตุอะไรแล้วยิ่งเป็นการยาก เพราะสิ่งเหล่านี้ได้เกิดขึ้นมาพร้อมกับโลกใบนี้มานมนานกาเลแล้ว พอ ๆ กับความเชื่อในเรื่องสิ่งเหนือธรรมชาติ ขณะเดียวกันเมื่อมากคนก็ย่อมต่างจิตต่างใจกันไป เราไม่อาจรู้ได้ว่า คน ๆ หนึ่งเขาต้องการอะไร คิดอะไรบ้างในจิตหนึ่ง
เมื่อกล่าวถึงการหลอกลวงแล้ว มันก็ทำให้แอดมินนึกถึงเรื่องราวของตัวเองที่เคยถูกมิจฉาชีพหลอก จบเกือบสูญเงินไปหลายพันบาท โดยเรื่องก็มีอยู่ว่า ขณะนั้นกำลังอยู่ในช่วงของการเตรียมตัวเพื่อเข้ารับพระราชทานปริญญาบัตร ซึ่งเผอิญชนกับกำหนดการที่จะต้องไปร่วมงานวิ่งมาราธอนที่จังหวัด ๆ หนึ่ง ซึ่งจำไม่ได้แล้วว่าเป็นจังหวัดอะไร ทำให้แอดมินต้องอยู่บ้านคนเดียว
แล้วในระหว่างนั้น วิถีแห่งลูกผู้ชายได้เรียกร้องขึ้นในจิตใจ ประกอบกับความอยากรู้อยากลอง เลยเข้าไปดูพวกกลุ่มล็อกต่าง ๆ บนแอปพลิเคชันหนึ่ง (ซึ่งท่านทั้งหลายก็พอสามารถคาดเดาได้ว่า เป็นแอปพลิเคชันอะไร) แล้วแอดมินก็เลื่อนไป ๆ จนไปพบว่ามีบัญชีหนึ่งรับทำ Something Like That ผ่านการโทรเห็นหน้าในราคาที่ถูก แอดมินจึงเข้าไปสอบถาม ถามไปถามมาก็มีการโอนเงินเกิดขึ้น
พอโอนไปโอนมาจนรู้สึกว่า แอดมินไม่ไหวแล้ว เพราะเงินใกล้จะหมดบัญชี ทำให้แอดมินต้องส่งข้อความวิงวอน เพื่อขอเงินคืนอยู่หลายครั้งหลายหน แต่สิ่งที่ได้กลับมาคือ การถูกข่มขู่ว่าถ้าไม่โอนเงินมาเพิ่ม จะไปขอยืมเงินคนรอบข้างตัวเราเอง ซึ่งแอดมินก็ไม่ยอมแน่ ๆ ที่จะให้ใครรู้ เพราะถ้ามีใครรู้ แอดมินย่อมต้องโดนว่าโดนด่า แต่พอคิดอย่างนี้ไปได้สักพักหนึ่ง
แอดมินจึงรวบรวมความกล้าโทรศัพท์หาพ่อ ทั้ง ๆ ที่ภายในใจก็กลัว พอโทรหาติด เราก็พยายามเล่าเรื่องต่าง ๆ ทั้ง ๆ ที่กลัวให้พ่อฟัง แต่พ่อไม่ได้ฟังอยู่คนเดียว ทั้งแม่ พี่สาว น้องสาวรู้หมด
ขณะเดียวกัน มิจฉาชีพซึ่งไม่รู้ว่าเป็นหญิงแท้ หรือคนอื่นปลอมแปลงมายังข่มขู่อยู่เรื่อย ๆ ขนาดพ่อแอดมินบอกให้ลองบอกมิจฉาชีพรายนั้นว่า พ่อเป็นตำรวจนะ (ทั้ง ๆ ที่เป็นจริง ๆ) แต่มิจฉาชีพรายนั้นก็ไม่มีทีท่าว่าจะกลัวแต่อย่างใด พ่อแอดมินก็เลยตัดสินใจให้ด่าส่งท้าย ก่อนให้เลิกคุยไปเสีย
ส่วนเรื่องเงิน ยังดีที่ว่าทางบ้านได้มีการช่วยกันทำอาชีพเสริมไว้ คือการเก็บขวด ลังกระดาษตามบ้าน จึงพอมีเงินอยู่บ้างในการจ่ายค่าใช้จ่ายต่าง ๆ เนื่องในงานรับปริญญาบัตร พร้อมกับพยายามปลอบประโลมแอดมินให้แอดมินไม่คิดมาก ก่อนวางสายไป ตอนนั้นมิจฉาชีพได้บล็อกการติดต่อทุกช่องทางไปอย่างเรียบร้อยด้วย
หลังจากที่พ่อแอดมินวางสายแล้ว น้ำตาเอย ความสะอึกสะอื้นเอยไหลบ่ามาอย่างเอ้อล้นเหมือนคนไร้สติขึ้นมา ทันทีที่แอดมินเห็นรูปย่าบนหิ้ง แอดมินจึงได้นำรูปนั้นมาแนบไว้ที่อก แล้วเดินไปที่ห้องครัว พร้อมกับร่ำพรรณนาสารพัดไปพลาง ร้องไห้ไปพลางนานพอสมควร ก่อนจะไปทำอะไรต่อมิอะไรหลายอย่างก่อนเข้านอน เพื่อเดินทางในวันรุ่งขึ้น
จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แอดมินได้มาคิดทบทวนภายหลังว่า หากเป็นคนอื่น เขาจะรู้สึกอย่างไร มันคงเป็นอะไรที่น่ากดดันอย่างมาก ประกอบกับใครที่มีพ่อ แม่ หรือผู้ปกครองด้วยแล้ว ความกลัวที่จะถูกว่ากล่าวตักเตือนก็พลอยเป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้ไม่กล้าบอกกับใคร จึงไม่ต่างอะไรกับการถูกบีบคั้นให้จนตรอก ในที่สุดบางคนจึงเลือกที่จะเดินทางเข้าหา “ความตาย”
แต่ ณ ตอนนั้น แอดมินพลันคิดขึ้นมาได้อย่างหนึ่งว่า ไม่ว่าเราจะทำอะไร ต่อให้จะปิดมิดแค่ไหนก็ไม่พ้นสายตาของคนในบ้านอยู่ดี และที่สำคัญ เราไม่ได้อยู่ในบ้านเพียงลำพัง แต่เรายังมีครอบครัวที่คอยอยู่เคียงข้างเราเสมอ เป็นเช่นนั้น แอดมินจึงรวบรวมความกล้าที่มีบอกพวกเขาไป และยอมรับความเป็นจริงที่เกิดขึ้นให้ได้ เพราะมันเกิดขึ้นมาแล้ว ไม่อาจย้อนเวลากลับไปให้แก้ไขได้
กลายเป็นว่า งานรับปริญญาบัตรในช่วงนั้น เป็นห้วงเวลาสุขซึ่งทุกข์มากที่สุดในชีวิตก็ว่าได้ เพราะส่วนหนึ่งแอดมินก็ยังไม่สามารถหางานประจำทำได้สักที…
จนถึงทุกวันนี้ แอดมินไม่ทราบเลยว่า มิจฉาชีพรายนั้นมีความเป็นอยู่อย่างไรบ้าง แต่ก็ต้องขอบคุณเหตุการณ์ในวันนั้นที่ทำให้แอดมินได้เรียนรู้หลายสิ่งหลายอย่างด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่เราจะทำการสิ่งใดแล้ว จำเป็นต้องมีสติอยู่ตลอดเวลา ประกอบกับในการทำสิ่งต่าง ๆ ต้องตั้งอยู่บนพื้นฐานของความพอดี ไม่มากไป ไม่น้อยไป แต่ก็ไม่ใช่ครึ่ง ๆ กลาง ๆ
รวมถึงความรัก ความปรารถนาดีของคนในครอบครัว เป็นสิ่งที่มีคุณค่าอย่างมากมายมหาศาล แม้จะต้องเสียเงินไปมากเท่าไหร่ก็ตาม แต่ทำให้รู้ว่าเราไม่ได้อยู่ตัวเดียว นอกจากตัวเราแล้ว ครอบครัวคือผู้ที่พร้อมให้ความรัก ความอบอุ่นอย่างจริงใจในทุก ๆ ครั้งที่เราต้องการเสมอ
และที่สำคัญ ผีหลอกคนรึจะสู้คนหลอกคนด้วยกันเอง...
แอดมินจึงขอฝากเรื่องราวนี้ไว้เป็นอุทาหรณ์แก่ทุกท่าน หวังว่าจะเป็นประโยชน์ต่อการดำเนินชีวิตทางสังคมที่เต็มไปด้วยความเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ อย่างปฏิเสธมิได้ไม่มากก็น้อย รวมถึงเป็นอนุสสติแก่ทางภาคส่วนต่าง ๆ ที่มีหน้าที่ในการดูแลเทคโนโลยี นวัตกรรม ให้สามารถคิดค้น หาแนวทาง รวมถึงแผนการในการพัฒนา แก้ไขและปรับปรุงสิ่งที่มีอยู่แล้ว ให้มีความเรียบร้อยและปลอดภัยยิ่งขึ้น เพื่อลดการสูญเสียทั้งชีวิตและทรัพย์สิน อันเกิดจากการใช้เทคโนโลยี เพื่อแสวงหาผลประโยชน์ในทางที่ผิดสืบต่อไป
รวมถึงขอฝากไปยังมิจฉาชีพทั้งหลาย ที่ยังคงเลือกเส้นทางแห่ง “มิจฉาทิฐิ” อยู่ โปรดจงล้มเลิกความคิดในการพยายามเอาของ ๆ ผู้อื่นมาเป็นของ ๆ ตนเองได้แล้ว เพราะถึงอย่างไรสิ่งที่ได้มาคือ “ของร้อน” ถ้ารับเอาไว้ก็จะมีแต่เดือดร้อนและฉิบหายลงเรื่อย ๆ
และยังจะถูกสังคมตราหน้าอีกว่าเป็นพวก “ทำนาบนหลังคน” ชอบสร้างความสุขบนความทุกข์ของคนอื่นไปวัน ๆ อยู่ไปก็จะมีแต่ “หนักแผ่นดิน” เพราะกลุ่มคนเหล่านี้มีแต่จะล้างผลาญ และถ่วงความเจริญอย่างไม่สิ้นสุด ไม่ต่างอะไรกับพวก “สัมภเวสี” ที่คอยจะเอาส่วนบุญ แต่กลับหลอกคนต่าง ๆ ให้กลัวจนหัวหดเสียอย่างนั้น
น ชจฺจา วสโล โหติ น ชจฺจา โหติ พฺราหฺมโณ
กมฺมุนา วสโล โหติ กมฺมุนา โหติ พฺราหฺมโณ
ใคร ๆ จะเป็นคนเลวเพราะชาติกำเนิดก็หาไม่
ใคร ๆ จะเป็นคนประเสริฐเพราะชาติกำเนิดก็หาไม่
คนจะเลว ก็เพราะการกระทำ ความประพฤติ
คนจะประเสริฐ ก็เพราะการกระทำ ความประพฤติ
ขอมอบบทความเรื่องนี้เป็นวิทยาทาน และอุทิศเป็นทักษิณานุปทานแด่ผู้เสียชีวิตจากการถูกหลอกโดยพวกมิจฉาชีพทั้งหลาย ขอจงได้รับบุญกุศลส่วนนี้โดยพร้อมเพรียงกัน
 
อิมินา กตปุญฺเญนะ ด้วยอานิสงส์แห่งบุญที่ได้ประกอบแล้วนี้ สะทา โสตถี ภะวันตุ เต ขอความสุขสวัสดี จงเกิดมีแก่ท่านทั้งหลาย
ด้วยประการฉะนี้ฯ
อ้างอิง:
#AdminField #ชอบเล่าชอบแชร์แต่ไม่ชอบเป็นคนดีย์
#มิจฉาชีพ #คนหลอกคน
โฆษณา