4 พ.ย. 2023 เวลา 13:13 • ดนตรี เพลง

[รีวิวอัลบั้ม] 3.45 x 4.9 x 2.55 - AUTTA >>> ศักยภาพเกินขนาด

-ผมเคยรีวิวสั้นๆ First Reaction เมื่อได้ฟังอัลบั้มแรกของอัตตา ตอนนั้นผมแอบรู้สึกเสียดายและอดสงสัยไม่ได้ว่า “ไหนๆก็ปูทางความเป็น Jazz-Rap มาตั้งแต่ต้น น่าจะทำให้สุดทางไปเลย ไม่น่าตบด้วย Pop Rap ในช่วงสุดท้าย อันทำให้ Jazz-Rap กลับเจือจางอย่างน่าเสียดาย บลา บลา บลา”
-แต่พอผมได้ฟังบทสัมภาษณ์เกี่ยวกับอัลบั้มนี้ที่หนุ่มกร (ชื่อเล่นแท้จริงของ AUTTA) ได้เล่าให้ฟังถึงการค้นพบรสนิยมการฟังเพลงที่เริ่มเปลี่ยนไปตั้งแต่ได้ขับรถ เขาพึงพอใจกับการฟังเพลงป็อปในยามขับรถมากกว่าฮิปฮอปที่สำหรับเขาแล้วเป็นแนวทางที่จำเป็นต้อง pay attention ในการฟัง
-เขาเริ่มคิดได้ในแง่ที่ว่าควรทำเพลงที่สามารถเอาไปฟังบนรถได้อย่างลื่นไหล ไม่ใช่แค่ฮิปฮอปอย่างเดียว อีกทั้ง 11 แทร็คดังกล่าวมีจุดวนเวียนกลับไปที่จุดเริ่มต้น ห้อง 704 อันมีขนาดกว้าง x ยาว x สูง ตามชื่ออัลบั้มอีกด้วย นั่นทำให้ผมเริ่มฉุกคิดอะไรบางอย่างขึ้นมา
-ถ้าผมไม่ได้ฟัง interview ของ Salmon Podcast ผมก็คงตัดสินในมุมที่คาดหวังแค่มุมเดียว โดยที่ไม่คำนึงถึงว่า การที่เราคาดหวังให้เป็นแบบนั้นแบบนี้ ก็ไม่ต่างจากการตีกรอบดีๆเนี่ยแหละ ไม่ผิดที่จะแทรก Pop Rap ต่อให้จะไม่แตกต่างแร็ปเปอร์ไทยเมนสตรีมคนอื่นๆก็ตาม
-ตราบใดที่ศิลปินเจ้าของผลงานสบายใจที่จะถ่ายทอดแนวทางนี้ มันก็ยังดีกว่าฝืนที่จะทะเยอทะยานเล่นใหญ่จนปล่อยให้คนฟังไต่บันไดเสียเอง ซึ่งหนุ่มกรนั้นมีส่วนผสมแห่งความผ่อนและความทะเยอทะยานกำลังพอดี อย่างน้อยเป็นการ introduce ที่ทำให้คนฟังได้รับรู้ความสามารถของการเป็นศิลปินที่ไม่ได้จำกัดแค่หมวกแร็ปเปอร์ แต่ยังมีหมวกของ singer/songwriter ที่มีมุมแห่งการหยอกเย้า mental health และถ่ายทอดสตอรี่เพื่อชีวิต(วัยรุ่น)ได้น่าสนใจ
-ถ้าใครคาดหวังว่าจะเจออะไรที่ฮาร์ดคอยิ่งกว่า ANTLV ก็อาจจะผิดหวัง เพราะนี่คือเพลงที่พุ่งทะยาน ปลดล็อค beast mode สุดล่ะ แต่ถ้าใครคาดเดาได้จากการเดาทาง vibe ที่ลดกราฟพลุ่งพล่าน 3-4 ซิงเกิ้ลที่ปล่อยออกมาก่อนหน้านั้นตามลำดับ คุณน่าจะเอ็นจอยและเข้าใจได้ไม่ยาก สำหรับผม รู้สึกเอ็นจอยในความเนิร์ดเพลงของกรอยู่เหมือนกัน เป็นความเนิร์ดเพลงที่ยังคำนึงถึงท่วงท่าและภาคดนตรีอยู่บ้าง element เหล่านี้ช่วยทำให้เก็ตกับไรห์มอันสลับซับซ้อนให้ได้จึ้งทางความรู้สึกทางใดทางนึง
-เปิดอัลบั้มเริ่มต้นความเนิร์ดเพลงด้วย #704 ตอนเห็นชื่อเพลงนี้ตอนแรก นึกถึงเพลงผีในตำนานของดาจิมขึ้นมาทันที อันที่จริงแล้วในเวอร์ชั่นของ AUTTA ไม่ได้เจอผี ไม่มีกลิ่นอาย horror ใดๆทั้งสิ้น แต่เป็นหมายเลขห้องในหอพักอันเป็นจุดเริ่มต้นทุกสิ่งอย่างที่ทำให้กรสร้างตัวเป็นศิลปิน
ช่างเป็นสตอรี่แห่งความบังเอิญที่ตัวเลขห้องดังกล่าวดันลงล็อคความเป็นศิลปินฮิปฮอปไทยตั้งสองเจนเนอเรชั่น อีกทั้งยังแอบซ่อนทฤษฎีที่ลิ้งค์ 704 ไว้ในหลายมุม อาทิเช่น ความยาวเพลง 4:07 (ถ้ายาว 7 นาที 4 วิก็คงจะยืดยาวเกินเหตุ) การใช้จังหวะ Jazz Rap แบบ 7/4 เป็นต้น
การเล่น GAT เชื่อมโยงที่เจ้าตัวเริ่มแกะเพลงของ Stan Getz ศิลปินแจ๊สในตำนาน ในขณะที่ยังอีก Stan ที่เป็นโลกของฮิปฮอปซึ่งก็เพลงในตำนานของ Eminem และยังไมีประโยคทองที่เข้าใจคิดมากๆในการหยอกเย้าความเป็น Democracy แผลงเป็น Demo Crazy ซึ่งเป็นความบ้าในเวอร์ชั่นที่เราต่างรู้ๆกันในชีวิตประจำวันด้วย ถือเป็นการสร้าง first impression อย่างมีคลาสและสำแดงความรู้ทฤษฏีอย่างลึกซึ้งกันตั้งแต่เนิ่นๆเลยครับ
-เพลงที่สองก็ใช่ย่อย #ทางรถไฟกับวัยเซ่อ (ชื่อเพลงให้ฟีลหนังไทยยุค 80’s-90’s) เป็นการโชว์สกิล storytelling ที่ตั้งคำถามถึงเส้นทางชีวิตรถไฟที่ผ่านความเมามายผสมความขมที่ไม่ต่างจาก Budweiser จะไปในทิศทางไหนกันแน่ การตั้งคำถามถึงความสุขที่เรียบง่ายจากการได้เจอคุณลุงที่กำลังถอนหญ้าอยู่บริเวณนั้น สำบัดสำนวนแห่งการพรรณนาได้อย่างละเอียดจนเห็นภาพ
ท่วงทำนอง “ฉีกฉัก” จังหวะกลองที่ไม่เหมือนใคร เลยทำให้เพลงที่จริงจังกับการเล่าเรื่องไม่เนิบนาบจนเกินไป ถ้าท่วงทำนองยืด ไรห์มจะเยิ่นเย้อไปเลย แต่เพลงนี้มีความน่าฟังด้วยโทนเพลงที่เร่งความ tense ขึ้นเรื่อยๆ แบบที่รู้เลยว่ามันจะนำพาไปสู่จุดไคล์แม็กซ์ ซึ่งก็เจอจริงๆ เหมือนเราออกไปเดินเล่นแล้วเจอไม่คาดคิดข้างทางเนี่ยแหละ สองเพลงเปิดอัลบั้มจัดว่าสายลึกเลยล่ะ
-พอมาถึงเพลง #ไม่ว่างมองฟ้า เข้าสู่โหมดเพื่อชีวิต(วัยรุ่น)คนช่างฝันที่ก้มหน้าก้มตาทำงานเพลง ทั้ง ปรัชญาไมค์ และ K.AGLET มีส่วนผสมแห่งความโอลสคูลอยู่แล้ว การถ่ายทอดการสู้งานส่วนตัวจึงเข้มข้นเป็นทุนเดิมแล้ว
พาร์ทของกรมาเพิ่มความซับซ้อนด้วยการตอกย้ำชีวิตสุดแสนยุ่งเหยิงของคนในเมืองกรุงที่ต้องสะสางงานตัวเองและคนอื่นจนไม่ได้หลับนอนเลยทีเดียว ท่วงทำนองกลองบีทก็ดูแปลกและซับซ้อนอีกแล้ว แต่ก็แอบชมในท่วงทำนองที่หลากหลายและไดนามิค แซมด้วยเสียงแซ็กโซโฟนที่เพิ่มความถวิลหาการออกไปยืนบนดาดฟ้าสูดอากาศข้างนอกอย่างเห็นได้ชัด เป็นเพื่อชีวิต(วัยรุ่น)ที่มีรสชาติไฮเปอร์พอสมควร
#เธอบอกว่าฉันคือ เพลงที่บรรยากาศหม่นและดาวน์ที่สุด ตอนปล่อยออกมาแรกๆ ผมรู้สึกเฉยๆกับเพลงนี้ แต่พอเอามารวมกับอัลบั้มนี้ ผมดันชอบที่ดันมารวมจุดนี้เฉยเลย อาจเป็นเพราะผมเริ่มคุ้นชินกับคาแรคเตอร์หนุ่มตี๋ introvert มากขึ้นด้วยมั้ง มันเลยทำให้เพลงนี้เข้ากับบริบทแห่งการเก็บตัวและการเก็บเอาไปคิดโดยอัตโนมัติ
เสียงคุณพัด Zweed N’Roll เข้ากันกับบรรยากาศดำมืด lullaby ได้ดียิ่งยวด และน่าจะเป็นเพลงที่ทำหน้าที่เป็นเพื่อนคุณได้ไม่ยาก ในฐานะคนที่เจอความคาดหวังจากคนรอบข้างไม่ต่างกัน ถูกมองเป็นหมอที่ช่วยใครได้ กลับกลายเป็นคนไข้ที่กลับอ่อนแอเสียเอง
-หลังจากที่เผชิญกับความคาดหวัง ปรับโหมดวังวนแห่การเกลียดตัวเองที่ down ให้ turnt และเย้ยหยันขึ้นในเพลง #เกลียดกูก่อนมึง เป็นการเหน็บตัวเองเจ็บน้อยสุดที่ไม่กดตัวเองให้ต่ำต้อยลงเสียทีเดียว แต่เป็นการตอกกลับเหล่า haters ทั้งหลายที่ทำตัวไม่ต่างกัน ก่อนเอาความเกลียดไปข่มใส่คนอื่นเพื่อให้ตัวเองเหนือกว่า พวกแม่งก็มีปมด้อยเกลียดตัวเองกันทั้งนั้นแหละ
Introvert เสมือนเพลงคู่ที่บู๊ขึ้นด้วยโซโล่กีตาร์ที่เกรี้ยวกราดเอาเรื่อง ท่าทีไม่ประนีประนอมต่อการง้อใดๆทั้งสิ้น กูขออยู่เฉยๆแล้วให้โซโล่กีตาร์มันบอกเล่าความคุกกรุ่นที่กักเก็บไว้มานานดีกว่า
-ANTLV เพลงที่ทำให้ทุกคนต่างสรรเสริญในความสามารถของกรที่โคตรสุดในทุกทางประหนึ่งเพชรยอดมงกุฎ ทั้งไรห์มที่ดุดันไม่เกรงใจใคร และภาคดนตรีที่ขับเคลื่อนด้วย full band ทวีความเดือดดาลขึ้นเรื่อย เป็นการ unlock ตัวเองเพื่อให้ดีกว่าคนเมื่อวานที่ยกระดับให้กรพร้อมที่จะแอดวานซ์เกินกว่าคนอื่นได้ทุกเมื่อ
-ตัดสลับความเดือดแบบแตะเบรคเอี๊ยดด้วยเพลงป็อปอคลูสติคฟังสบายๆในเพลง #ทบทวน ที่ผิดคาดมากๆ ทั้งตำแหน่งการวางแทร็คลิสท์ที่ลดความเดือดจาก ANTLV ให้ลดฮวบราวกับหลุดอยู่คนละ section และการจับแรปเปอร์สายบู๊ NAMEMT ลดดีกรีความซ่าส์ลงมานั่งชิวล์ reminisce ความหลังเพื่อให้ชีวิตได้พักและหยุดนิ่งเสียบ้าง หลังจากที่ใช้เวลาส่วนใหญ่ในการคิดงาน ออกไปทำเพื่อคนอื่น และพิสูจน์ตนเองไปพร้อมๆกัน อย่างไรก็ดีเพลงนี้ได้มอบพื้นที่ส่วนตัวได้พักหายใจอย่างที่อัลบั้มนึงพึงมี
#หลอกมาเลย เป็นเพลงรักที่โคตรโรคจิตเลยครับ เป็นความพยายามที่มูฟออนเป็นวงกลมและผูกใจเจ็บเอามากๆ ให้ตายเหอะ เราต้องหลอกตัวเองไปนานแค่ไหนกันเชียว แต่ก็ปฏิเสธได้ว่าคนแบบนี้มันอยู่จริง ใครที่เพิ่งผ่านการเลิกราหรือโดนปฏิเสธจากคนที่ไม่ได้รักเรา น่าจะผ่านโมเมนต์นี้ไม่มากก็น้อย ไม่แปลกใจที่ยอด engagement ของเพลงนี้พุ่งแรงกว่าใคร เนื่องด้วยความเข้าถึงรสนิยมคนไทยมากที่สุด เป็นความเว้าวอนที่ไม่มีรสของบัลลาดโดดมากจนเกินไป แถมยังจริงในแง่เนื้อหาที่ไม่ไกลเกินตัวด้วย
#สุดท้ายแล้วเราจะ หนึ่งเพลงน้ำดีในนามของสัจธรรมที่เพิ่มความขมเข้มจากพี่เล็ก Greasy Café ที่ทำให้เราค้นพบความคิดความอ่านที่โตขึ้นของกรโดยที่ไม่โดนรัศมีความเก๋าของพี่เล็กกลบได้เลย
ขอแซวนิดนึงว่า ท่อนแรปแบบ spoken ของกรโคตรให้ฟีลโฆษณาประกันชีวิต (ฮ่าๆ) เป็นความทุ้มที่ปล่อยให้คนฟังค่อยๆคิดตามถึงสัจธรรมแห่งชีวิตที่ผ่านความขมขื่นมากมายจนบางทีอยากจะลืมมันแทบตาย แต่ถ้าหากไร้ซึ่งความทรงจำ ชีวิตคงไร้ความหมายที่ไม่ได้ลิ้มรสชาติชีวิตใดๆเลย มีแต่ความตายเท่านั้นที่จะทำให้ทุกอย่างถูกลืมโดยอัตโนมัติ เป็นการสานต่อ “อยากรู้เสมอมา“ เวอร์ชั่นที่กรไปแข่งขันในรายการ The Rapper จนสมบูรณ์แบบในแง่ของการตกผลึกทางความคิดได้อย่างลึกซึ้งยิ่งกว่าเดิม จนสามารถทำหน้าที่เป็นเพลงปิดอัลบั้มได้เลยด้วยซ้ำ
-ปิดท้ายอัลบั้มด้วยฟีลปลอบประโลมที่ดีมากๆอย่าง #ประกายฟ้า โดยชื่อเพลงเป็นชื่อเดียวกับนักร้องหญิง YouTuber ที่ตัดสินใจกระทำอัตวินิบาตกรรมลาโลกในช่วงโควิด เนื่องด้วยความเครียดจากการไม่มีรายได้ใดๆมาหล่อเลี้ยงชีพ
นี่จึงไม่ใช่เพลงแฟนเซอร์วิสส่งท้ายคอนเสิร์ตแบบซึ้งๆ แต่เป็นการส่งสาสน์จากคนที่อยู่และกำลังดิ้นรนในสิ่งเดียวกัน ส่งถึงคนบนฟ้าให้รับรู้ อวยพรให้แสงอุ่นไอคอยโอบกอดไว้ในที่แห่งนั้น พอได้ทราบที่มาแล้วเอามา relate กับเรื่องราวชีวิตส่วนตัวของกรด้วย มันเลยทำให้การถ่ายทอดของกรเต็มไปด้วยความซาบซึ้งเป็นพิเศษ นับว่าตัดสินใจได้ถูกที่เลือกเพลงนี้มาปิดท้ายอัลบั้มอีกทีนึง จบแบบให้แสงแห่งความหวังปลอบประโลมคนฟังให้ใช้ชีวิตกันต่อไป
-ตอนที่ปล่อยซิงเกิ้ลมาประมาณ 4 เพลง ผมก็คาดหวังส่วนนึงจากซิงเกิ้ล ANTLV เนี่ยแหละ แต่ส่วนนึงก็ปะติดปะต่อไม่ได้ว่าจะไปในทิศทางไหนเหมือนกัน เพราะทุกเพลงที่ปล่อยแทบมีแนวทางที่ต่างกันอย่างเห็นได้ชัด แต่พอเอามารวมในอัลบั้ม ผมก็ยังรู้สึกถึง “การคิดมาอย่างดี” ได้อยู่ไม่น้อย
-ฟังก์ชั่นของอัลบั้มตีได้หลายทาง เป็นทั้ง conceptual album ก็ได้ อัลบั้มแนะนำตัวเต็มรูปแบบก็ได้ อัลบั้มแห่งการทดลองก็ย่อมได้เช่นกัน เป็นฮิปฮอปที่มีแนวทางหลากหลายอยู่ไม่น้อย แถมติดรสความเป็น cinematic ในบางที ซึ่งจุดที่ผมรู้สึกสะดุดหน่อยๆก็มีแค่แทร็ค #ทบทวน และ #หลอกมาเลย ที่ทำให้ความเป็น cinematic สะดุดลง แต่เป็นการล้มที่ไม่แผลถลอกเปาะเปรอะมากนัก อาจจะเป็นเพราะเพลงดังกล่าวแทบจะไม่ต่างจากแนวทางศิลปินสายแรปเปอร์และศิลปิน T-Pop มักทำกัน เราเลยคาดหวังความแตกต่างที่อุตส่าห์ปูทางมาตั้งแต่แรกด้วย
-อย่างไรก็ดี ต้องขอย้ำว่า จุดสะดุดดังกล่าวไม่ได้ส่งผลร้ายแรงต่ออัลบั้มมากนัก นั่นคงเป็นความสบายใจส่วนตัวของกร เป็นใบเบิกทางในการไม่จำกัดแค่การเป็นแรปเปอร์อย่างเดียวเสมอไป และนั่นก็ทำให้คนฟังน่าจะรับรู้ความสามารถอันหลากหลายที่ไม่ใช่แค่แรปไฟลุก แต่ยังมีเซนส์ป็อปที่เข้าท่าพอจะตกคนฟังกลุ่มใหญ่ได้ในอนาคต
เดบิวต์อัลบั้มแรกของกรจัดว่าสัมฤทธิ์ในแง่ของการเป็นศิลปินที่รู้ลึกรู้จริง และมีแววจะไปได้เกินกว่าที่เราต่างจินตนาการก็เป็นได้
ขนาดของห้องไม่สามารถกีดกันเขาได้จริงๆ
Give 7.5/10
Thx 4 Readin’
See Y’all
โฆษณา