8 พ.ย. 2023 เวลา 11:00

ที่อยู่อาศัยในญี่ปุ่น ตอนที่ 1 บ้านเช่า

คนญี่ปุ่นย้ายที่อยู่กันบ่อย ไม่ว่าจะเป็นย้ายจากบ้านเกิดเข้าเมืองเพื่อไปเรียนมัธยมปลาย ย้ายอีกทีตอนเข้ามหาลัย ย้ายอีกครั้งตอนเข้าทำงาน หากงานที่ทำต้องย้ายสาขา ย้ายบริษัทก็ย้ายอีก พอแต่งงานจะสร้างครอบครัวก็ซื้อบ้าน ซื้อแมนชั่น ก็ต้องย้ายเข้าอีก สุดท้ายตอนเกษียณก็อาจจะย้ายกลับเมืองเกิด ผมเองก็ได้ย้ายที่อยู่มาแล้ว 5 ครั้งในเวลาเกือบ 6 ปี ครั้งนี้เลยอยากจะมาเล่าให้ฟัง
การเช่า/ซื้ออสังหาเพื่ออยู่อาศัยจะแบ่งเป็น
1. ห้องเช่า คนญี่ปุ่นเรียกกันว่า อพาร์ทเมนต์
2. แมนชั่น เป็นการซื้อขาดเป็นยูนิตที่รวมห้องนอนหลายห้อง มีห้องครัว ห้องนั่งเล่นภายในตึกใหญ่ๆ หนึ่งตึก
3. บ้านเดี่ยว
เริ่มกันที่ห้องเช่า หากต้องการจะเช่าห้องสักห้องในญี่ปุ่นนั้น ขั้นตอนเริ่มจากเข้าเว็ปค้นหา ซึ่งหลายๆ เจ้ามีบริการค้นหาจากแผนที่ได้ สามารถดูได้เลยว่าเราจะไปโรงเรียน/ออฟฟิศที่นี่ ต้องนั่งรถไฟสายนี้ เงื่อนไขหลักๆ ที่ใช้ในการค้นหาห้องเช่าคือห่าง/เดินจากสถานรถไฟเท่าไร ราคาและขนาดห้อง เมื่อหาห้องเช่าตามเงื่อนไขที่ถูกใจได้แล้ว ก็แค่กดปุ่มติดต่อบนเว็ป กรอกอีเมลหรือเบอร์โทร
ภายในวันรุ่งขึ้น เจ้าหน้าที่จากบริษัทนายหน้า (取り扱う会社 โทริอะสึเกาไคชะ) จะติดต่อมาว่าอยากไปดูห้องไหม หรือต้องการข้อมูลอื่นๆ เพิ่มเติมหรือเปล่า ถ้าเราอยากจะไปดูห้องด้วยตัวเองก็สามารถติดต่อไปได้ เมื่อตัดสินใจว่าจะเช่าแล้ว บริษัทนายหน้าจะส่งต่อให้กับบริษัทที่ดูแลจัดการตึกนั้นๆ (管理会社 คังริไคชะ) ให้ไปทำสัญญากัน ในบางครั้งการทำสัญญาบริษัทดูแลจะเชิญเจ้าของตึก (大家さん โอยะซัง) มาด้วย เมื่อทำสัญญา โอนเงินอะไรเรียบร้อยแล้ว ก็สามารถไปรับกุญแจย้ายของเข้าห้องได้เลย
จะเห็นได้ว่าการเช่าหนึ่งครั้งมีตัวละครอยู่ถึง 4 คนด้วยกัน เว็ปไซต์ให้ทำหน้าที่คอยให้บริการค้นหาเป็นด่านแรกเท่านั้น เว็ปจะคิดเงินจากบริษัทที่ดูแลจัดการตึกในการเอาห้องเช่ามาประกาศให้เช่าบนเว็ปเท่านั้น ส่วนบริษัทนายหน้าและบริษัทดูแลจัดการ โดยส่วนใหญ่จะเป็นบริษัทเดียวกัน ซึ่งบริษัทนายหน้านั้นจะรับหน้าที่เสนอตึก/ห้องเช่าให้กับลูกค้าในขั้นตอนนี้บริษัทพยายามเสนอห้องเช่าที่ตัวเองดูแลให้ลูกค้า แต่หากลูกค้าไม่ชอบ หรือต้องการห้องอื่นก็สามารถเสนอตึกของบริษัทอื่นไปให้ได้ ตรงนี้บริษัทก็จะได้รับแค่ค่านายหน้า
ส่วนที่ลูกค้าต้องจ่ายเงินค่าเช่าให้จริงๆ คือบริษัทที่ดูแลจัดการตึกที่รับดูแลตึกจากเจ้าของมาอีกที บริษัทจะคอยติดต่อลูกค้าที่ต้องการจะเช่า คอยดูในกรณีซ่อมแซม ทำความสะอาดห้อง ฯลฯ เวลาผู้เช่าย้ายออก คอยรับเงิน บริหารเงินจากผู้เช่า ความสัมพันธ์ระหว่างบริษัทนายหน้ากับบริษัทดูแลนั้นเป็นแบบ Many to Many นายหน้าหาลูกค้าให้กับทุกตึกที่บริษัทนั้นดูแล บริษัทดูแลตึกก็ฝากขายให้กับนายหน้าหลายๆ เจ้า
หากจะเช่าห้องที่ญี่ปุ่น สิ่งที่ต้องรู้ 4 อย่างคือ
1. แปลนห้อง
แปลนห้องญี่ปุ่นจะแบ่งตามโค้ด เริ่มจาก 1R -- 1 คือ จำนวนห้อง R คือ Room ห้อง 1R จะเป็นห้องเดียวรวมห้องครัว ห้องนั่งเล่น ห้องนอนไว้ในห้องเดียวกัน ว่าง่ายๆ ว่าไม่มีกำแพงกั้นใดๆ เตียงอาจจะอยู่ด้านขวา ส่วนครัวจะเป็นโซนเล็กๆ กว้างไม่เกิน 2 เมตรตั้งอยู่ฝั่งซ้ายเป็นต้น ส่วนห้องน้ำส่วนมากถ้าห้องเล็ก ห้องน้ำจะรวมอ่างอาบน้ำ อ่างล้างหน้าและชักโครกไว้ในห้องเล็กๆ ห้องเดียว
ต่อมา 1K -- K มาจาก Kitchen ห้องแบบนี้จะแบ่งเป็นห้องครัวเล็กๆ กับห้องนอน อันนี้จะมีกำแพง ประตูกั้น ใหญ่ขึ้นมาหน่อยเป็น 1DK -- D คือ Dining ห้องนี้ห้องครัวจะใหญ่กว่า 1K คือมีพื้นที่ให้วางโต๊ะกินข้าว ส่วนห้องนอนเป็นแบบเดียวกัน
ต่อมาเป็น 1LDK -- L คือ Living ก็จะเพิ่มขนาดในส่วนของห้องนอน ให้มีพื้นที่ใช้สอยมากขึ้น หลังจากนั้นก็จะเป็นห้องแบบ 2LDK 3LDK ซึ่งจะเพิ่มห้องนอนขึ้นมาเป็น 2 ห้อง 3 ห้อง ตามลำดับ ส่วนตัวแล้วถ้าต้องการอยู่แบบไม่อึดอัดมากอย่างน้อยๆ ควรเป็น 1K ขึ้นไป
2. ค่าแรกเข้าและค่ามัดจำ
ในตอนทำสัญญาเราต้องจ่ายเงินก้อนใหญ่ก้อนหนึ่ง ซึ่งเงินก้อนนี้จะรวมค่านายหน้า ค่าเช่าห้องเดือนแรก ค่าเปลี่ยนกุญแจ ค่าแรกเข้า (礼金 เรย์คิน) และค่ามัดจำ (敷金 ชิคิคิน) เอาไว้
ค่าแรกเข้านั้นเป็นเงินให้เปล่า ให้ไปเลยไม่ได้คืน ส่วนเงินมัดจำบางทีจะได้คืนเมื่อตอนย้ายออก บางครั้งสัญญากำหนดว่าจะใช้เป็นเงินซ่อมแซม ทำความสะอาด (ในกรณีนี้คือย้ายออกโดยไม่ต้องทำความสะอาดได้) ซึ่งจะคิดเป็นเงินค่าเช่าคูณจำนวนเดือนเช่น 1 เดือน หรือ 1.5 เดือน (หากคิดว่าจะอยู่ไม่นาน ให้หาที่ที่ไม่มีเงินแรกเข้าจะดีกว่า เพราะเปลืองมากเวลาย้ายเข้า ย้ายออกบ่อยๆ)
3. ค่าเช่าและค่าส่วนกลาง
ค่าเช่ากับค่าส่วนกลางส่วนใหญ่จะแยกกัน ดังนั้นตอนจะเช่าให้คิดรวมไปเลยจะคำนวนง่ายกว่า นอกจากนี้ยังมีค่าประกันห้องที่ต้องจ่ายทุกๆเดือนอีกด้วย ส่วนราคานั้นขึ้นกับ
1. สถานที่/ทำเล เช่นในเมืองใหญ่จะแพงกว่าต่างจังหวัดเป็นเท่าตัว ทำเลติดสถานีรถไฟจะแพงกว่าห้องที่อยู่ห่างพอสมควร
2. แปลนห้อง/ขนาดห้อง ยิ่งกว้างยิ่งแพง
3. อายุของตึก ยิ่งสร้างมานานแล้วยิ่งถูกลง
4. ชั้นของห้อง ยิ่งอยู่สูงยิ่งแพง (เพราะวิวดีมั้ง)
4. เฟอร์นิเจอร์
ห้องเช่าส่วนใหญ่ (แทบจะ 99%) ไม่มีเฟอร์นิเจอร์มาให้ ที่จะมีก็คือแอร์ ห้องน้ำมีชักโครก อ่างอาบน้ำ อ่างล้างหน้าแบบ Built-in มาให้ ส่วนครัวนั้นมีทั้งแบบไม่มีเตาแก๊สมาให้ และแบบมี เตาแก๊สก็จะมีทั้งแบบแก๊สและแบบ IH (ไฟฟ้า) มีที่เก็บของมาให้นิดหน่อย ส่วนตู้เย็น เครื่องซักผ้า ไมโครเวฟ เตียง โต๊ะ เก้าอี้ ทีวี ต้องซื้อเองทั้งหมด ซึ่งก็ลำบากตอนย้ายออกด้วย เพราะตอนเข้า เข้าแบบไหน ตอนออกต้องออกในสภาพนั้น ส่วนใหญ่ทิ้งของไว้ไม่ได้
การย้ายของเข้าออกนี่ก็เป็นปัญหาเหมือนกัน เพราะค่าย้ายของแพงมาก ยิ่งถ้าต้องฝากขนเครื่องใช้ไฟฟ้าใหญ่ๆ เตียง ราคาหากแตะครึ่งแสนได้เลย บางทีขายทิ้งแล้วไปซื้อใหม่อาจจะถูกกว่าด้วยซ้ำ ส่วนค่าทิ้งของขนาดใหญ่ก็แพงเช่นกัน
ส่วนอื่นๆ คือโดยทั่วไปแล้ว 1 ห้องจะอยู่ได้แค่ 1 คนเท่านั้นแม้ห้องจะขนาดใหญ่ เช่น 1LDK ก็ตาม มีแค่ไม่กี่ตึกที่จะอนุญาติให้อยู่ 2+ คน ซึ่งอาจจะคิดเงินเพิ่ม และส่วนใหญ่ตึกจะไม่มีที่จอดรถให้ (ถึงมีก็เสียเงิน) ดังนั้นการซื้อรถโดยที่ไม่มีบ้านนั้นค่าใช้จ่ายจะบานมากๆ
โฆษณา