9 พ.ย. 2023 เวลา 11:43 • นิยาย เรื่องสั้น

ลำน้ำใจแห่งลำไยทอง

ผมไม่รู้จักไอ้หมอนี่มาก่อน
แม้ในห้องเรียน ผมก็มิได้สนิทกับเขาสักเท่าไหร่ เพียงผ่าน... คุ้นหน้า... และก็ชินกับใบหน้า
'น่าเพิ๋ง' ชื่อภาษาจีนที่อาจารย์ใช้เรียกขานเขา แต่นามที่พวกเรารู้จักคือ 'นายลำไยทอง'
ผมคร้านจะรู้จักมักจี่เขามากไปกว่าเพื่อนร่วมชั้น หากแต่วันวานก็ได้รังสรรค์ให้เราได้คุ้นเคยกับเขาบ้างไม่คุ้นเคยกับเขาบ้าง
น่าเพิ๋ง ชอบอาจารย์สอนภาษาจีนเหมือนๆ กับเพื่อนนักเรียนทุกคน อาจารย์ทั้งสวยและใจดี เคยทำเกี๊ยวน้ำจิ้มน้ำมันงาให้พวกเรากินด้วย
พวกผู้หญิงไปช่วย 'ครูหวงหรุย' ทำเกี๊ยว
ผมตามน่าเพิ๋งกับ 'เถิงตู๋' ไปวิ่งเล่นรอบห้อง
ส่วนไอ้ 'ปู้ฉิง' ก็นั่งแต่งหน้าตนให้หล่อเหลาเหมือนพระเอกงิ้วอยู่มุมหนึ่งของห้อง
ผมร้องเพลงของ F4 และล่อลวงให้ไอ้ปู้ฉิงร้องตาม เขาร้องได้ประเดี๋ยวประด๋าว ผมก็เหลือบไปเห็นน่าเพิ๋งนั่งสมาธิอยู่ข้างๆ
เพื่อนๆ แซวเขา เขายิ้ม
ผมก็ไปแซวบ้าง เขาก็ยิ้ม
ผมแซวอีกรอบ น่าเพิ๋งยิ้ม
ผมแซวอีก "อะแหร่นแลนแล้" น่าเพิ๋งธาตุไฟเข้าแทรก เขาโมโห ตวัดตีนเตะด้วยกำลังภายในที่แตกซ่าน
เก้าอี้พลาสติกเบาบางที่ผมนั่งปลิวไปหลังห้อง เหลือแต่ผมทำหน้าเหวอ นั่งค้างลอยก้นกลางอากาศ ค่าท่านั่งเก้าอี้อยู่เยี่ยงนั้น
"มันเป็นอะไรของมันวะ" ปู้ฉิงหน้าขาวกล่าวเสียงผะแผ่ว
" หว่อปู้จือเต้า ไม่รู้ว่ะ" ผมตอบเสียงแปร่ง
ผมไม่ค่อยเข้าใกล้น่าเพิ๋งอยู่นาน
จวบจนเรื่องราวนั้นรางและเลือนไป วันใหม่เข้ามา พัดพาลมฝนมากับการเรียนในเทอมต่อไป
"เราอายสาว" เสียง 'มู่ลี่ฉิน' เอ่ยกลางวงโต๊ะเก้าอี้หินอ่อน
"จะอายทำไมโรงเรียนเดียวกันทั้งนั้น" ผมบอก
"แต่มันอายนี่"
"เหมือนเรานั่งอึกลางที่สาธารณะแหละลี่ฉิน หลับตาเสียก็เพียงพอแล้วต่อความอายของนาย" ผมพูด น่าเพิ๋งหัวเราะแหะๆ
"ไอ้ฮัวผิง นำเทรนด์อีกแล้วนะมึง คราวก่อนก็ทรงผมวัดเส้าหลิน วันนี้ก็กระเป๋าตาข่าย" น่าเพิ๋งกล่าวหน้าอนุสาวรีย์ผู้ก่อตั้งโรงเรียน
ผมไม่ไปต่อล้อต่อเถียงกับเขา คิดในใจ "อะไรของมึง" พร้อมๆ กับหันไปดูกระเป๋าตาข่ายของตัวเองที่ทุกคนสามารถมองเห็นทุกอย่างทะลุได้
มันทะลุได้หมดแม้กระทั่งลม ฝน และสายตาของคนหมู่มาก
"มึงเอาอีกแล้วเหรอ วันนี้ก็มาในลายสีเฉดฉูดฉาด" น่าเพิ๋งกล่าวในอีกวัน
อะไรของเขา ผมแค่เอากระเป๋าที่แถมน้ำมันลายเขียวสะท้อนแสงตัดกับเหลืองอ๋อยมาโรงเรียน น่าเพิ๋งกล่าววิจารณ์อีกแล้ว
น่าเพิ๋งในวันเก่าๆ เขาชอบหัวเราะกวนๆ หน้าเขาแบะเหมือนถูกอะไรสักอย่างฟาด แต่ผมไม่กล้าพูด เพราะเขาอาจต่อยผมจริงขึ้นมาได้
ผมได้แต่มองเขาวิ่งไปมากับเถิงตู๋ ละล้อเล่นเรื่องลามกนิดๆ หน่อยๆ ผ่านหลากคืนวัน
ในครั้งที่เราทั้งกลุ่มชั้นเรียนได้ไปเข้าค่ายทัศนศึกษายังต่างจังหวัด
น่าเพิ๋งก็อยู่ในวันเวลาเหล่านั้นด้วย เขาเป็นชีวิตเล็กๆ ที่ผมไม่เคยคิดถึงวันข้างหน้าของเขา
บางคราเพื่อนๆ ก็เอาเรื่องราวของน่าเพิ๋งมาเล่าให้เราฟัง เราก็ทำได้แค่หัวเราะ
"น่าเพิ๋งหมูปิ้ง" ว่านหลี ประธานนักเรียนในสมัยหนึ่งเอ่ยขึ้น "น่าเพิ๋งแอบไปกินเนื้อหมูย่างโดยไม่ให้ใครเห็น"
เออนะ พวกมึงๆ ก็ยังแอบไปเห็นน่าเพิ๋งอีกจนได้ (จริงๆ น่าเพิ๋งคงหลบสายตาเพื่อนๆ ไม่ทัน)
ตอนที่พวกเราเดินไปลวกไข่ที่แห่งหนึ่ง เตรียมพร้อมในบางขณะที่จะลงแช่น้ำร้อน
ขณะที่ผมเหม่อ น่าเพิ๋งก็ผลักผมลงไปในน้ำร้อน
"อ๊า..." ผมพูดไปงั้น มันไม่ร้อนมาก เหมือนมู่ลี่ฉินเคยบอกว่าให้ไปแช่น้ำเย็นก่อนลงน้ำร้อน ผมก็งงๆ กับพวกเขา
พวกเราไปทัศนศึกษาราวกับไปเที่ยวมากกว่า ภาพของเถิงตู๋ทำท่าเต้นทะมัดทะแมงร่ำร้อง "หงฉงเมา แพนด้าแดง" ยังคงเต้นเร่าในหัวผมยามที่คิดถึง
ภาพที่พวกเราไปทัศนศึกษาที่น้ำพุร้อนในคราวนั้น ถูกติดไว้ที่บอร์ดภายในห้องศูนย์การศึกษา
ผมมักไปยืนดูรูปครูหวงยิ้มสวยอยู่ในรูปใบนั้น
และถัดๆ ขึ้นไป ก็จะเป็นรูปคนที่หน้าเหมือนคิงคองชื่อน่าเพิ๋ง
ผมไม่ได้สนิทกับเขาสักเท่าไหร่ แต่ในเวลาที่เราโดน "อาจารย์อาหลี" ครูหัวหน้าสาขาที่เราเรียนพร่ำบ่น
น่าเพิ๋งก็นั่งทำหน้าเจี๋ยมเจี้ยมในวงเหมือนกันกับพวกเรา
มันรางเลือนมากแล้ว...ยามที่ผมคิดไปถึงวันเวลาเหล่านั้น ใกล้จะครบยี่สิบปีแล้วสิ
เราเรียนจบกันไปโดยไม่รับรู้ถึงการจาก
เพราะตราบที่เราไม่ได้ตายจากกันไป เราก็มาพบกันได้เสมอ
ส่วนผมมันพวกไม่แคร์อะไรอยู่แล้ว ผมจึงคงสถานะตายจากทุกคนไปทั้งๆ ที่ยังอยู่เป็นคน
การติดต่อสื่อสารหลังจากที่เราเรียนจบ เป็นยุคปลายของ MSN แล้ว และเป็นยุคเริ่มต้นที่ Facebook กำลังเข้ามาแต่ยังไม่แพร่หลาย
พวกเราใช้อีเมลของ Hotmail ในการเข้าใช้ MSN เพื่อการติดต่อสื่อสารหากัน
แม้ผมจะไม่สนิทกับน่าเพิ๋ง แต่ผมก็มีอีเมลของเขา
ผมไปเรียนต่อที่กรุงเทพอย่างโดดเดี่ยว
พักอาศัยอยู่กับคนอื่นที่ได้ชื่อว่าญาติอย่างโดดเดี่ยว
ผมรู้ว่าผมไปใช้คอมใช้เน็ตของบ้านญาติ เขาก็คงจะไม่ชอบ แต่ผมก็ใช้
แล้ววันหนึ่ง... MSN ของน่าเพิ๋งก็เปิดกล้องเว็บแคมฝั่งเขา
ผมเห็นหน้าเขายิ้มๆ ยิ้มแบบคิงคองแบบที่เป็นมา
ไอ้คนที่เคยขับมอเตอร์ไซค์สีน้ำเงินล่องลอยไปกับสายลมในวัยมัธยม
เป็นอะไรสักอย่างที่อยู่บนหน้าจอคอมพิวเตอร์ เขาเบี่ยงให้เพื่อนบางคนมาเข้ากล้อง โบกมือ และยิ้มทักทาย
มันทำให้หัวใจของผมพองโต ไม่ได้ซึ้งถึงขั้นร้องไห้ แต่มันก็หล่อเลี้ยงใจตายซากของผมดั่งน้ำทิพย์ชโลมใจ
มันเป็นเรื่องที่ผมขอบคุณน่าเพิ๋งในใจเงียบๆ มาเสมอ
แล้ววันหนึ่ง...ผมก็ได้ข่าวเขา
ซึ่งในวันเวลานั้นผมอยู่ต่อกับคนที่เคยเป็นญาติผมไม่ได้อีกต่อไป กลับมาเชียงใหม่เรียนได้สักสองปี
ผมยังเงียบ ในข่าวที่ได้ยินมา...
ใช่ ผมรู้สึกเสมอว่าผมไม่สนิทกับเขา
"น่าเพิ๋งมันตายแล้วนะ"
ผมยังเฉยๆ กับคำนั้นที่เพื่อนคนหนึ่งโทรมาบอก
ผมไปที่งานศพเขา กะจะเอาซองวางไว้แล้วกลับ
ผมไม่ได้อยากอยู่กับเพื่อนๆ ร่วมชั้น ม.ปลายสักเท่าไหร่นัก แต่ผมก็ยังพออยู่ได้ช่วงหนึ่ง
สักพัก...มีเพื่อนคนหนึ่งมา เพื่อนอีกคนก็มา
น่าเพิ๋งในรูปยิ้มอยู่ใกล้ๆ สิ่งที่เต็มไปด้วยการประดับประดาดอกไม้ของเขา
ผมอยู่จนพิธีของการลาจากของเขาในวันนั้นจบลง
ผมยังปักใจว่าผมยังไม่สนิทกับเขา
แต่เขา...ก็เคยมอบน้ำใจให้ ในวันที่ผมห่อเหี่ยวที่สุดในปีหนึ่ง
ด้วยเว็บแคมที่เขาเปิดให้เห็นหน้าเขาและเพื่อนๆ ในช่วงเวลาที่แสนดีสั้นๆ ช่วงหนึ่ง
หลังจากพิธีศพสามวัน ผมฝันเห็นเขา
ในฝัน...
น่าเพิ๋งมาหาผมที่บ้าน ผมอยู่หน้าบ้าน ยังคิดอยู่ว่าทำไมเขาถึงได้ขับมอเตอร์ไซค์สีน้ำเงินร่วมยี่สิบกี่โลถ่อมาถึงที่นี่
เขาเดินเข้ามากอดผม
ผม...ที่ไม่ได้รู้สึกสนิทสนมกับเขา แต่ผม...สัมผัสถึงกล้ามบนหน้าอกที่เกิดจากการฝึกเต้น Hip Hop ของเขา
ในฝัน...มันหน่วง ผมน้ำตาไหลริน ผมไม่รู้ว่าเพราะอะไรผมต้องมาร้องไห้ให้กับคนที่ยังไม่ตาย
ในนั้น...น่าเพิ๋งยังมีตัวตน เขายังกอดผมได้ ผมก็ยังสัมผัสถึงกล้ามเขาได้
ในฝันนั้น...เขาทิ้งรอยยิ้มไว้ให้ผม แล้วก็จากไปเหมือนกับว่าอีกไม่นานผมก็ยังคงจะพบกับเขาอีก ณ ที่แห่งใดแห่งหนึ่งในโรงเรียน
น่าเพิ๋ง ลับจากต้นมะม่วงหน้าบ้านผมไป ขับมอเตอร์ไซค์คันสีน้ำเงินแกมขาวลอยไปกับสายลม
...
ฮัวผิงแห่งกลีบบุปผาสีม่วง รำลึกจากสายธารเวลายามพบน่าเพิ๋ง
โฆษณา