11 พ.ย. 2023 เวลา 08:04 • นิยาย เรื่องสั้น

ของวันและเวลา

บนโลกใบนี้ "เพื่อนรัก" ไม่ได้มีเพียงหนึ่ง
และในประดาพวกเขาเหล่านั้นแล้ว "เพื่อนรัก" ไม่ได้เป็นคำที่พวกเราใช้เรียกกันเลย
ผมไม่รู้ว่าจะมีสักส่วนบ้างไหม ที่พวกเขาเป็นเพื่อนรัก
แต่สำหรับผมแล้ว เพื่อนรัก เป็นคำที่ไม่เคยอยู่ในพจนานุกรม
หากจะให้พูดคร่าวๆ
มันก็เพื่อนร่วมชั้นนั่นแหละ ห้องบ๊วยห้องนั้นด้วย
สรรพนามที่ใช้เรียกที่ไพเราะที่สุดคือ "มัน"
คำเรียกขานที่ไพเราะที่สุดก็คือ "มึง"
และผม ผู้ที่กำลังเขียนถึงพวกเขา ... ผมไงครับ หรือเรียกสั้นๆ ว่า "กูเอง"
ผมไม่อยากเข้าสังคมกับไอ้พวกบ้านั่นตั้งแต่แรก และในทุกๆ ช่วงชั้น
และในทุกๆ ช่วงชั้น ผม...ก็คงไม่เป็นที่รักของไอ้พวกบ้านั้นสักเท่าไหร่
แต่มันก็มีคืนวัน...ที่ผม ยังได้อยู่ร่วมกันกับบางคน ที่อยู่ในกลุ่มบ้าพวกนั้น
และผม คงไม่ได้เจาะจง และทำได้แต่เขียนเรื่องราวปะปนกันลงไป
มันคือเรื่องของห้องบ๊วยห้องหนึ่ง ในเวลาของพุทธศักราช 2544
1/1 ติดหรา ตีตราว่าพวกเราคือนักเรียนกลุ่มที่บ๊วยที่สุด
ก็แค่คนเขาบอกกันละนะ
ผมมาอยู่ที่นี่ได้ก็เพราะว่าวารุฒพามาสมัครเรียน เพียงแต่ไม่ได้อยู่ห้องเดียวกัน
เท่าที่ทำได้ผมก็เพียงเดินตามพี่ไม ไอ้หัวหน้ามาเฟียเด็กที่เริ่มต้นในเส้นทางนักเลงตั้งแต่ชั้นเตรียมอนุบาล
ตามเขาไปจนขึ้นห้องเรียนสาย ผมจึงเลือกได้โต๊ะเก้าอี้สุดเห่ยเข้าชุดกัน คนที่นั่งข้างๆ ก็เงียบแบบแปลกๆ
"ชื่อไร" หนุ่มน้อยหน้าแบนถาม
"คิ้ม"
"ทอม" หมอนั่นเอ่ย
อีกคนที่นั่งข้างๆ แนะนำตัว "บัง"
"แล้วไอ้นี่ กรกุน" ทอมกับบังแนะนำคนที่นั่งข้างๆ ผม กรกุนนั่งทำเฉย ท่าทางโอหังจนออกนอกหน้า
ไอ้บ้ากรกุนนี่พอเรียนๆ ไป คำแรกที่มันทักผมก็คือ "เรอเหม็นชิบหาย"
"ปากมึงก็เหม็น" ผมตอบตามมารยาท
คนอะไร เราพ่นลมหายใจผะแผ่ว ยังเสือกรู้
ปีนั้น... อาจารย์ฝึกสอนวิชาคณิตศาสตร์ที่เพิ่งเริ่มฝึกสอนน่ารักพอควร
พวกเราเรียนไปด้วยความเฉยๆ ไม่รู้ประสากับความงามของหญิงสาว
วันเวลาของพวกเราคือการได้เรียนไปพร้อมๆ กันในแต่ละคาบ ลงไปรับประทานอาหารด้วยกันอย่างเรียบง่ายในโรงอาหารไม้หลังเล็ก
ยืนดูดน้ำปั่นบ้าง โคล่าใส่น้ำแข็งบ้าง และในบางครั้งก็เห็นบังกับทอมซ่อนผลไม้ดองไว้กินใต้ลิ้นชักโต๊ะ
กิ่งไม้ไหวตามลม พลิ้วพรมผ่านหน้าต่างอย่างละมุน แสงแดดอ่อนโยนลูบไล้ทั่วอาณา ยามแดดแรงก็มีร่มใบบังลับร่มให้
มองไปยังที่ไกลๆ จะเห็นสถานีตรวจสอบภูมิอากาศบนไหล่เขา
เราหลงเคลิ้มมองฝนโปรยเป็นม่านก็ริมหน้าต่างนี่ มองลมฝนพัดพาก็ริมหน้าต่างนี่
แล้วทอมกับพี่ไมที่ขว้างเกลือเล่นลงไปโดนรุ่นพี่ดวงซวยคนนั้น... ก็ริมหน้าต่างนี่
ในบางคาบยามว่าง
ผมมองเห็นต้นไม้ใหญ่ไกลลิบ
ซึ่งแท้ที่จริงแค่เดินลัดสนามหญ้าไปก็ถึง
พวกเรามักเคลิ้มในทัศนียภาพของป่า ที่ราวกับว่าเป็นบ้านหรือที่พิงใจของเรา
เราล้อกันเล่น เสียงสบถ ก่นด่า และหยาดน้ำตามีมาพร้อม
นั่น... ไอ้วัฒนะน้ำตาไหลย้อยแล้ว โดนเพื่อนดึงกางเกงจนเห็นแก้มก้น
ผมกลัวโดนแกล้งเหมือนกัน
คนเราในวัยนั้น โดนดึงกางเกงเมื่อไหร่ ราวกับสูญเสียพรหมจรรย์ไปทุกที
และก็เป็นความรู้สึกอับอายแต่เพียงผู้ชายด้วยกันเสียด้วย
หน้าต่างบานนั้น...
เสียงของทอมละล้อลมเล่นร่ากับแดดยามเที่ยง
"โอ้ว กานดากลับมาหาพี่เถิด" มันร้อง
ผมได้แต่ยิ้มในใจ ทำหน้าเฉย
"อย่าเตลิดรีบวิ่งหนีพี่ไป" มันร้องต่อ
"โอ้ววว พี่รักกก เจ้ามากแค่ไหน มาเถิดรีบไป พี่จะพาไปเที่ยวอ่าง" ร้องจบหัวเราะเสียงแหลม
อ่างที่ว่าก็คืออ่างเก็บน้ำที่อยู่ภายใต้การโอบกอดของขุนเขานั่นแหละ
หลังจากนั้น...ทอมมันก็เดินถุงเท้าย้วยวิ่งลงตึกเรียนไปซื้อคูปองอาหาร
ที่แห่งนั้น... โรงอาหารเก่าก่อน
ที่ๆ ผมเคยไปกินข้าวกับทอมและบังในทุกเมื่อเชื่อวันของวัยเยาว์ ต้นไม้ยังอยู่เช่นเดิม แปรเปลี่ยนไปบ้างแต่เราก็มิอาจได้ทันสังเกตเห็น
มันเป็นความเรียบง่ายของการละเลียดไอติมกรวย รสหอมหวานเย็นๆ เคี้ยวกรวยกรอบๆ แล้วก็พูดเรื่องโน่นนี่
มันเป็นความสุขที่ผ่านมาแล้ว
และยังคงดำรงอยู่ในดวงใจและห้วงเวลาเหล่านั้น
"พัดก่าเพาไข่ผ่าโล่" ทอมมันพูด ผมจำคำมันได้เสมอ ไอ้ผัดกระเพราไข่พะโล้ร้านพี่โชยชายที่เราต่อแถวไปกินกันเป็นประจำ
พักหลังๆ ทอมกับบังไปสั่งก๋วยเตี๋ยวน้ำตกกัน ผมไปสั่งหมี่เหลืองอีกร้าน ไปนั่งกินใกล้ๆ กัน
"ไอ่คิ้มมันกินงุ้นเส้นไม่เป็น" บังกล่าว ผมก็เฉยๆ
หลังอาหารเรามักไปซื้อผลไม้กินล้างปาก ยืนมองสระน้ำขณะที่กระแสของธารเวลาไหลผ่าน
มันเงียบ
แต่ใจผมรู้สึกครื้นเครง
ภาพเหล่านั้นยังคงอยู่ในก้นบึ้งแห่งความทรงจำของผม ฉายมาชัดบ้าง เลือนรางบ้าง ก็ตามแต่อะไรสักอย่างจะฉายชัด
เรามุดพงไม้ที่สวนหย่อม
ไปดูเพื่อนคนอื่นเอามดแดงไปหยอดลงหลุมแมลงช้างและตักขึ้นมา
ดูแม้กระทั่งตอนที่พวกเขาหาภาชนะแบนๆ มีขอบมาเป็นสังเวียน
ดูพวกเขาเอาไม้มาเขี่ยๆ ให้พวกแมลงช้างที่จับมามันฮึดสู้ ทั้งต่อยและหนีบกัน
ทอม บังและผมสะพายกระเป๋าเอ้าท์ดอร์
วิ่งตาลีตาลานไปดูพี่ๆ สาวสวยซ้อมเต้นที่อาคารกีฬา เพื่อนบางคนอ้าปากหวอน้ำลายแทบจะยืด เราก็หัวเราะตลกกัน
มันเอื่อยเฉื่อยเนิบช้า
แต่ทว่าเปี่ยมสุข
เราอยากกลับบ้านกันเร็วๆ
แต่เราก็ยังอยากอยู่ด้วยกัน
เราพูดกันว่า "จะได้กลับบ้านแล้วโว้ย"
แต่เราไม่เคยพูดว่า "พรุ่งนี้เราได้พบกันอีก"
เรารู้แก่ใจ... ว่าเราคงได้พบกันเสมอ
มันอาจเป็นเพียงเรื่องที่ผ่านมาแล้ว
แต่ในความทรงจำ มันยังเริงร่า และโลดแล่นอยู่เช่นนั้นในทุกเมื่อเชื่อวันยามคิดถึง
เรามีเพื่อน และก็มีเพื่อนรัก ตามทำนองนั้น
ทำนอง... ของความรักลึกๆ ที่ไม่พูดมันออกมา
เรื่องน่าอ้วกพรรค์นั้น แม้แต่เด็กผู้ชายยังไม่สาธยายกันเลย คงมีแค่ผมกระมัง ที่ ณ ชั่วขณะนี้ ยังเสือกบ้าสาธยายมันออกมา
มีแต่เวลานั่นแหละที่ผ่านมา
ผ่านไป
แล้วก็กลับมาบรรจบกันอีกครั้ง
ในเวลาอื่น...
...
คิ้ม
โฆษณา