17 พ.ย. 2023 เวลา 07:34 • การศึกษา

เดินตามรอยพระพุทธองค์

เราเกิดมาเป็นมนุษย์ มีเวลาอยู่ในโลกนี้จำกัด จำกัดในการสร้างบารมี ในการสร้างความดี
เราได้ยินได้ฟังว่า อายุเฉลี่ยของมนุษย์ในยุคนี้ ๗๕ ปีก็อย่าเพิ่งไปคิดว่า เราเหลือเวลาอีกตั้งนาน หลายสิบปี กว่าจะไปถึงอายุขนาดนั้น นั่นเราคิดไปเองนะว่า เราจะมีอายุยืนไปถึงตรงนั้น หรือยิ่งกว่านั้น
แต่ความเป็นจริงเรามีวิบากกรรม เหมือนเป็นระเบิดเวลาที่ติดตามตัวเรา เหมือนเงาตามตัวตลอดเวลา ซึ่งคอยจังหวะโอกาส ที่จะได้ช่องระเบิดตูมตามตลอดเวลา บางทีทำให้เราต้องเสียทรัพย์สินบ้าง อวัยวะบ้าง หรือบางทีทำให้เสียชีวิตก่อนวัยอันควร ก่อนถึงอายุขัยเฉลี่ยของมนุษย์ ๗๕ ปี ก็มี
บางคนตายตั้งแต่ปฐมวัยบ้าง วัยรุ่นบ้าง วัยหนุ่ม วัยสาววัยกลางคน วัยชรา ตายได้ทุกวัยเลย เพราะฉะนั้นอย่าคิดเอาเองว่า อายุของเราจะไปถึงตรงนั้น คิดอย่างนั้นเขาเรียกว่าเรากำลังชะล่าใจ กำลังประมาทในชีวิต
เราต้องคิดแบบพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่า ความตายมีอยู่ทุกขณะจิต ทุกขณะลมหายใจเข้าออก ลมเข้าแล้วไม่ออกก็ตาย ลมออกแล้วไม่เข้าก็ตาย หรือไม่เข้าไม่ออกก็ตายอีกเหมือนกัน ตายได้ตลอดเวลา ต้องคิดอย่างนี้
เมื่อเรามีชีวิตอยู่แค่ช่วงลมหายใจเข้าออก เราควรจะใช้เวลาช่วงสั้นๆ นี้อย่างไร จึงจะมีคุณค่ามากที่สุด จะไปแสวงหาทรัพย์ ลาภ ยศ สรรเสริญ ตำแหน่ง อำนาจ วาสนาหรือว่าจะมาแสวงหาพระรัตนตรัย นี่เป็นสิ่งที่เราจะต้องมาคิดพินิจพิจารณา ด้วยสติปัญญาของเรา
ความจริงก็ไม่ต้องคิดอะไรมาก เพราะพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงสรุปเอาไว้ให้แล้ว จากชีวิตที่ผ่านมาในสังสารัวัฏ จนกระทั่งในวันที่ได้บรรลุ อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ พระพุทธองค์ทรงสรุปว่า การฝึกใจให้หยุดนิ่งเข้าถึงพระรัตนตรัย ทำกิเลสอาสวะให้หมดสิ้น กระทั่งหลุดพ้นจากการเป็นบ่าว เป็นทาสของพญามาร ไปนิพพานได้ นั่นแหละชีวิตอย่างนี้จึงจะมีคุณค่า
ชีวิตอย่างพวกเรา ยังไม่มีใครมีชีวิตที่สมบูรณ์ เท่ากับพระสัมมาสัมพุทธเจ้า การที่เราเชื่อฟังคำสั่งสอนของพระองค์ เท่ากับเรากำลังเดินทางลัด ไม่ต้องไปลองผิดลองถูกกันอีก ลงมือปฏิบัติกันเลย โดยยึดเอาบทสรุปที่พระองค์
สั่งสอนให้ดำเนินชีวิตอยู่ ด้วยความไม่ประมาท ให้ใช้ชีวิตด้วยการทำใจให้บริสุทธิ์ ให้หยุดนิ่ง ให้หลุดพ้นจากกิเลสอาสวะให้ได้
อย่างน้อยก็มีพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง ที่เรียกว่า เข้าถึงไตรสรณคมน์ ถึงพระรัตนตรัยในตัว เป็นที่พึ่งที่ระลึกอย่างน้อยต้องอย่างนี้ ชีวิตจึงจะมีคุณค่า เข้าถึงแล้วจะพบกับความสุขที่แท้จริง ที่เราแสวงหากันตลอดชีวิต
เราจะพบความสุขชนิดนั้นทันที ที่เข้าถึงพระรัตนตรัย เป็นความสุขที่แตกต่างจากความสุขสนุกสนาน ที่ไม่แท้จริง มันต่างกันมาก และจะเกิดความอบอุ่นใจในชีวิตว่า ชีวิตของเราต่อจากนี้ไปจะปลอดภัย
ในอบายภูมิน่าสะพรึงกลัวมาก ไปตกมหานรกก็ยิ่งทุกข์ทรมานมาก ไม่มีช่วงเวลาว่างเว้นเลย เป็นเวลายาวนานมาก ถูกฆ่า ถูกฟัน ถูกแทง ถูกทำร้ายให้ตาย ตายแล้วฟื้นฟื้นแล้วตาย ตายเกิดๆ วันละหลายล้านครั้ง นับกันไม่ถ้วน
แม้หมดกรรมจากมหานรก ขึ้นมาในอุสสทนรกก็ทุกข์ทรมานมาก มาในยมโลกก็ดี หรือในภูมิของเปรต อสุรกายสัตว์เดรัจฉานก็ดี ล้วนแต่มีความทุกข์ทรมาน
แม้เกิดมาเป็นมนุษย์ ชีวิตก็ยังลำเค็ญ ไม่ว่าจะเกิดเป็นชนชั้นไหนก็ตาม ชั้นสูง ชั้นกลาง ชั้นล่าง ล้วนแต่หน้าชื่นอกตรม เพราะมีทุกข์กันทั้งสิ้น เพราะทุกข์มันอยู่ในกาย
มนุษย์แต่ละคน ล้วนมีวิบากกรรมติดตามกันมา มีปัญหาด้วยกันทั้งหมด แตกต่างกันที่มากหรือน้อย แต่ก็มีความทุกข์ใจเหมือนกัน ประสบในสิ่งที่ไม่เป็นที่รักบ้าง ปรารถนาสิ่งใดไม่ได้สิ่งนั้นบ้าง พลัดพรากจากของรักบ้าง จากคน จากสัตว์ จากสิ่งของบ้าง เป็นต้น ทำให้เกิดความโศกเศร้า เสียใจกับแค้นใจ ร่ำพิไรรำพัน อะไรต่างๆ เหล่านั้น
ทันทีที่ได้เข้าถึงพระรัตนตรัย เราก็จะมีความสุขที่แท้จริงบังเกิดขึ้น กับความรู้สึกใหม่ๆ ที่ไม่พึงปรารถนาสิ่งใดๆ ในโลก อยากจะเรียนรู้วิชชาธรรมกาย ซึ่งเป็นความรู้ภายใน ซึ่งเกิดจากปัญญาอันบริสุทธิ์ ของพระธรรมกาย
ได้เรียนรู้สึกซึ้งยิ่งขึ้นไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งเราได้เข้าใจแจ่มแจ้ง เรื่องราวความเป็นจริงของชีวิตในสังสารวัฎ และจะทำความเห็นให้ตรง ต่อหนทางพระนิพพาน จะเปลี่ยนพฤติกรรมใหม่ ดำเนินชีวิตให้บริสุทธิ์บริบูรณ์ทั้งกาย วาจา ใจ เพื่อมุ่งไปสู่อายตนนิพพาน นี่ก็เป็นอานิสงส์อย่างหนึ่ง ของการเข้าถึงพระรัตนตรัย
โอวาทคุณครูไม่ใหญ่
๑๑ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๕๖
จากหนังสือ สิ่งที่ต้องแสวงหา ๓ (หน้า (๖๐-๖๓)
ภาพดีๆ ๐๗๒
โฆษณา