14 พ.ย. 2023 เวลา 11:00 • หนังสือ

วันอังคารมาขยายกบาลกันนิด! (ไม่ต้องกลัว ไม่ยากหรอก)

ตอนเด็ก ๆ ผมเคยฝันว่าตนเองบินได้ ผมบินไปมาเหมือนนกอย่างร่าเริงและมีความสุข เมื่อผมตื่นขึ้น ก็พบว่าผมเป็นคนที่บินไม่ได้ ทั้งที่ในความฝัน มันดูจริงอย่างยิ่ง
ครั้งหนึ่งปรมาจารย์เต๋า จวงจื่อฝันว่าเขาเป็นผีเสื้อ เขารู้สึกว่าตนเป็นอิสระ บินจากดอกไม้ดอกหนึ่งไปยังอีกดอกหนึ่งอย่างเริงร่า ในความฝันเขาเชื่อว่าเขาเป็นผีเสื้อแน่นอน
เมื่อตื่นขึ้น เขาพบว่าเขาก็คือจวงจื่อ ไม่ใช่ผีเสื้อ
จวงจื่อขบคิดอยู่นาน แล้วตั้งคำถามว่าเขาเป็นจวงจื่อผู้ฝันว่าเป็นผีเสื้อ หรือจริง ๆ แล้วเขาเป็นผีเสื้อที่ฝันว่าเขาคือจวงจื่อ
ต่อมาจวงจื่อเขียนหนังสือเรื่อง การแปลงลักษณ์แห่งสรรพสิ่ง (物化) ชี้ให้เห็นความแตกต่างระหว่างจวงจื่อกับผีเสื้อคือการเปลี่ยนความจริงกับภาพลวงตา
สองพันกว่าปีหลังจากจวงจื่อตายไป ชาวโลกก็ยังคงตีความเรื่องผีเสื้อของจวงจื่อในแง่มุมต่าง ๆ ถกคำถามว่าความจริงคืออะไร
1
หลายคนอาจงงว่าถามทำไม อาจเห็นว่า “คิดมากไปได้” ใครก็ตามที่ตั้งคำถามว่า “ความจริงคืออะไร” ย่อมเป็นคนบ้าแน่นอน เพราะเรารู้สึกตัวร้อยเปอร์เซ็นต์ว่าเราเป็นเรา ในมุมมองและความรู้สึกของเรา ความจริง (reality) ก็คือสิ่งที่เราเห็นรอบตัวเรา จับต้องได้ สัมผัสได้ด้วยรูปรสกลิ่นเสียง ไม่ใช่หรือ?
แต่ความหมายของ ‘จวงจื่อกับผีเสื้อ’ คือ เรารู้ได้อย่างไรว่าสิ่งที่เรารับรู้ได้ด้วยรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัสเป็นความจริง
เราอยู่ในห้อง นั่งบนเก้าอี้ มองออกไปเห็นตึกรามบ้านช่อง ถนนหนทาง ต้นไม้ ทางเดิน ก้อนเมฆ นี่ย่อมเป็นเรื่องจริง ไม่ใช่มายาหรือภาพลวงตา
เราจะแน่ใจได้อย่างไรว่าเราไม่ใช่ผีเสื้อที่กำลังฝันเป็นเรื่องราวชีวิตมนุษย์คนหนึ่ง
เอาละ สมมุติว่าโลกนี้เป็นความจริงไปก่อน คำถามคือเราสัมผัสความจริงอย่างไร? มีแนวคิดหนึ่งเสนอว่า ความจริงเกิดขึ้นเมื่อมีการรับรู้โดย perception ของเรา
(perception แปลว่าการมองเห็น การมอง การรับ คำกริยาคือ perceive)
แปลว่าอะไร?
ก่อนตอบ ขอถามผู้อ่านว่า “ต้นไม้ล้มในป่ามีเสียงไหม?”
บางคนอาจคิดว่านี่เป็นคำถามโง่ ๆ ก็ต้องมีเสียงซี!
1
คิดดูดี ๆ อีกครั้ง
มันอาจตอบได้ในเชิงวิทยาศาสตร์ แล้วกลายเป็นปรัชญา
คำตอบแบบวิทยาศาสตร์ของวิธีคิดแบบนี้คือ เมื่อต้นไม้ล้ม มันสร้างแรงสั่นสะเทือนในอากาศ หากแรงสั่นสะเทือนเข้าหูเรา มันก็เกิดเสียง หากมันไม่สั่นสะเทือนแก้วหู ก็ไม่มีเสียงในหูของเรา
เช่นกัน แสงอาทิตย์หากไม่กระทบต่อนัยน์ตาของเรา มันก็ไม่มีแสง
นักปรัชญาอังกฤษ อลัน วัตต์ส พูดง่าย ๆ ว่า อาทิตย์เป็นแสงก็เพราะนัยน์ตาของเรา เรารู้สึกว่าก้อนหินแข็งเพราะมืออ่อนนุ่มของเราไปสัมผัสความแข็งนั้น มันคือสัมพัทธ์
เราอาจจะไม่มีทางรู้ว่าโลกจริงเป็นอย่างไร
หากไม่เฝ้าสังเกตมัน เสียงเกิดขึ้นเพราะหูของเราไปรับแรงสั่นสะเทือน แสงปรากฏแก่เราเพราะนัยน์ตาเรารับ ฯลฯ
สมมุติว่าเราเป็นสิ่งมีชีวิตที่ไม่มีประสาทรับรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัสอย่างมนุษย์ แต่สามารถรับ ‘ความจริง’ ผ่านคลื่นเอกซเรย์หรือคลื่นแกมมา ‘ความจริง’ ที่เรารับรู้ก็อาจจะต่างกันกับความจริงที่พวกเราตอนนี้รับรู้
มองในมุมนี้ ‘ความจริง’ ว่าโลกเราเป็นอย่างที่เราเห็นหรือรู้สึก ก็เพราะโครงสร้างชีวิตเรา ‘ทำให้’ มันเป็นอย่างนั้น!
หาก reality เกิดขึ้นแบบนี้ เราก็มีอีกหลายคำถามตามมา
ใช่ไหมว่ามันอาจไม่ได้มี reality เดียว?
โลกอาจเป็นจริง แต่เรามองด้วยสายตาของเรา และอาจต่างจากที่สิ่งมีชีวิตอื่น ๆ เห็น
1
สมมุติว่าสิ่งรอบตัวที่เราเห็นเป็นความจริง เราอาจแปลกใจที่สิ่งมีชีิวิตต่างกันเห็นมันไม่เหมือนกัน ยกตัวอย่าง เช่น ผึ้งมองดอกไม้สีแดงจะเห็นเป็นสีดำ เพราะโครงสร้างนัยน์ตาผึ้งต่างจากมนุษย์เราเรื่องนี้มีหลักฐานพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์
นี่แปลว่าแม้แต่การมองโลกภายนอกเดียวกัน ก็ยังเห็นความจริงต่างกัน
ท่อนหนึ่งจากหนังสือ หิน 15 ก้อนของ สตีฟ จ๊อบส์ หนังสือเกี่ยวปรัชญา วิธีการมองชีวิต เพื่อความสุขของเรา มีจำหน่ายที่เว็บไซต์ winbookclub.com (คลิกตรง "ซื้อหนังสือ") หรือสั่งซื้อทาง Shopee คลิกลิงก์ตามนี้ (ชุด 3 เล่ม S10) ชีวิตที่ดี + หิน 15 ก้อนฯ + เป่ย (ปก 660.- เหลือ 590.- พร้อมลายเซ็นนักเขียน) https://shope.ee/LL9SCqyRl?share_channel_code=6
โฆษณา