14 พ.ย. 2023 เวลา 12:00 • ดนตรี เพลง

Ado “MARS” 2023

Ado จัดทัวร์ญี่ปุ่นในช่วงฤดูร้อนที่ผ่านมาในชื่อคอนเสิร์ต “MARS” แน่นอนว่าผมไม่ได้ไปดูด้วยตัวเอง แต่ล่าสุดมีการให้ซื้อสิทธิรับชมโชว์หนึ่งของเธอที่จัดขึ้นเมื่อวันที่ 30 สิงหาคมที่ผ่านมา ณ นิปปง บุโดกัง แม้ว่าผมจะรู้มาสักพักแล้วว่า วีดีโอคอนเสิร์ตของ Ado เปิดให้ซื้อสิทธิรับชม แต่เนื่องจากผมยุ่งกับอะไรหลาย ๆ อย่างจึงไม่มีจังหวะโอกาสดี ๆ ไปดู ทำให้ผมรู้สึกเสียดายที่ตัวเองไม่ได้ดูคอนเสิร์ตนี้เร็วกว่านี้ ถ้าจะสรุปเอาง่าย ๆ ก็คือ ประทับใจมาก และภูมิใจอย่างบอกไม่ถูก
สำหรับคนที่ติดตาม Ado เรื่องนี้คงไม่ต้องบอก แต่สำหรับคนที่สนใจ หรือรู้จัก Ado แต่ยังไม่รู้ว่าสามารถเข้าไปชมคอนเสิร์ตได้ สามารถทำได้ครับ ที่เว็ปไซต์ beyondlive.com ลงทะเบียน จ่ายเงินเป็นเงินไทยประมาณ 8xx บาท (แล้วแต่ค่าเงิน) จะได้รับสิทธิดูเทปบันทึกคอนเสิร์ตที่นิปปง บุโดกัง เป็นเวลา 7 วัน (ซึ่งผมคงจะดูอีกสักรอบสองรอบให้คุ้ม) และรับชมได้เลยครับ
ส่วนตัวแล้วผมคิดว่า การเปิดให้คนทั่วโลกสามารถรับชมบันทึกคอนเสิร์ตนี้ได้ เป็นแผนการตลาดอย่างหนึ่งของทีมงาน เพราะล่าสุด Ado ประกาศ World Tour แล้วเมื่อวันเกิดของเธอที่ผ่านมา เป็นไปได้ว่าอาจจะนำข้อมูลผู้ชมรอบโลกเพื่อพิจารณาว่าจะไปเล่นคอนเสิร์ตที่ประเทศใดบ้าง ดังนั้น หากท่านต้องการให้ Ado มาจัดคอนเสิร์ตที่ไทย ผมว่าเราควรจะสนับสนุนไปซื้อสิทธิรับชมคอนเสิร์ตนี้อย่างถูกต้องตามระเบียบครับ
ผมว่าจะมาบอกเล่าความรู้สึกหลังรับชมคอนเสิร์ตนี้ของ Ado ครับ หากท่านใดสนใจจะดู ไปดูก่อนเลยนะครับ ตรงนี้เป็นเหมือนบันทึกความรู้สึกของตัวเองเฉย ๆ หากมีคนอ่าน ก็นับว่าเป็นการสนทนาอย่างหนึ่งก็ได้ครับ
ไม่ถือว่าเป็นการ Spoil เพราะในคำบรรยายที่หน้าเว็บก็บอก Set List อยู่แล้ว Ado แสดงทั้งหมด 23 เพลง พูดได้ว่า มีแต่เพลงตึง ๆ ทั้งนั้น ส่วนตัวผมชอบเพลง “Eat” ที่ Ado ร้องให้กับเพลงของ jon-YAKITORI แต่ใน Set List นี้ไม่มีเพลงจาก jon-YAKATORI แต่ว่า แน่นอนครับ มีเพลงที่โคตรตึงอยู่ นั่นคือ “Unravel” เดี๋ยวผมพูดถึงเพลงนี้เพิ่มเติมครับ
เปิดคอนเสิร์ตมาด้วยเพลง “Odo” เป็นเวอรั่น Bon-odo Remix ผมว่าเพลงนี้เป็นเพลงที่สนุกมาก เต้นกันมันส์ แต่หลังจากที่ฟังเพลงนี้ในคอนเสิร์ต “Campanella” หลายรอบ และยังชอบอยู่ ผมรู้สึกว่าเวอร์ชั่น Remix เหมาะกับการเล่นในคอนเสิร์ตมากกว่า อย่างไรก็ตาม เปิดด้วย “Odo” ถือว่าเป็นการตั้งบรรยากาศของคอนเสิร์ตได้ดีเยี่ยมครับ
หลังจากผ่านไปสองสามเพลง ผมเห็นได้อย่างชัดเจนว่า Ado ขยับตัว เต้นตามที่ซ้อมไว้ได้อย่างมั่นใจมากกว่าในคอนเสิร์ตก่อนหน้านี้ อาจจะด้วยประสบการณ์ เพราะไปเล่นคอนเสิร์ตหลายเวทีรอบญี่ปุ่นมาแล้ว ความรู้สึกผมต่างจาก “Campanella” เพราะในคอนเสิร์ตนั้น ต้องยอมรับว่าผมต้องคอยลุ้นจนเกือบเครียด แต่พอเห็นเธอมั่นใจขนาดนั้นแล้ว ผมสามารถไว้ใจ Ado ในการเล่นคอนเสิร์ตที่มีคุณภาพได้อย่างพึงพอใจ ทำให้ผมคิดว่า หากนักแสดงมีความมั่นใจ ผู้ชมก็มีความมั่นใจเช่นกัน
ที่แน่ ๆ ความมั่นใจนั้นของ Ado มาจากประสบการณ์ จนเห็นเธอร้องเพลง แสดง เต้น อย่างเป็นอิสระ ไม่มีความตึงเครียดใด ๆ สามารถร้องเพลงยาก ๆ ได้อย่างง่ายดายประหนึ่งหายใจ ผมคิดในใจว่า “She’s free as a bird” ความเป็นอิสระในการขับร้องและแสดงนั้นเป็นสิ่งที่น่าพิสมัยและน่าอิจฉา เธอสนุกไปกับมัน และมันทำให้ผู้ชมสนุกไปกับเธอด้วย นี่คือความเป็นยอดศิลปินของเธอ และเต็มไปด้วย Showmanship
หลังเล่นไปได้ไม่กี่เพลง สิ่งที่ผมไม่คาดคิดเกิดขึ้น Ado คั่นการแสดงด้วยช่วง MC ผมที่เปิดดูด้วยความที่เตรียมใจไว้แล้วว่า Ado คงจะเล่นยิงยาว 20 เพลงก่อนที่จะ MC แต่กลายเป็นว่า เธอมาพูดเปิดคอนเสิร์ตอย่างเป็นทางการก่อนจะแสดงต่อ นั่นคือสิ่งหนึ่งที่ผมคิดว่า Campanella ขาด นั่นคือ ความเข้าถึงผู้ชม เธอเรียนรู้จากคอนเสิร์ตต่าง ๆ และเติบโตได้อย่างน่าประทับใจ
ผมไม่รู้ว่าผมเป็นอะไรเหมือนกัน ส่วนตัวแล้วผมมักจะไม่ค่อยฟังอะไรตอนทำสิ่งอื่นสิ่งใดอยู่ ทำให้ผมมักจะไม่ฟังเพลงตอนเขียนหนังสือ หรือทำงาน แต่มีเพียงแค่เสียงของ Ado เท่านั้นที่ผมฟังได้ แปลกแบบน่าขนลุกนะครับ อาจจะเพราะผมหา White Noise ที่เหมาะกับตัวเองยาก ฟังเพลงไม่ได้เพราะผมจะเสียสมาธิ Podcast ก็ไม่ได้เพราะจะตั้งใจฟัง อาจจะเพราะเสียง Ado พูดเป็นภาษาที่ฟังไม่ออก เลยไม่ต้องตั้งใจฟังเอาเนื้อหา รายการ All Night Nippon จึงเป็น White Noise ของผม
Ado ในฐานะ ​DJ ในรายการ All Night Nippon
ดังนั้น เมื่อได้ยินเสียง Ado พูดในคอนเสิร์ต มันเลยอาจจะไปกระตุ้นความรู้สึกสบายใจนั้นของผม ยังดีที่ Beyondlive ทำ Subtitle ให้ด้วย เลยฟังออกว่าเธอพูดว่าอะไรบ้าง การทักทายแฟนเพลงอย่างเป็นกันเองนับว่าเป็นเอกลักษณ์อย่างหนึ่งของ Ado ครับ ผมละอิจฉาเหล่าผู้คนที่อยู่ในสนามบุโดกังมาก
ต่อมา เพลง “Fleeting Lullaby” ผมตกใจมาก เพราะยอมรับตรง ๆ ว่าผมไม่คิดว่าจะได้ยินเพลงนี้สด เพลงนี้เร็วมาก ยากมาก แม้ว่าจะเคยฟัง Ado แร็ปสดเพลงนี้ใน Twitter (หรือ X) แล้วก็ตาม แต่ก็ไม่คาดคิดว่าจะทำได้บนเวที และเธอก็ทำได้ครับ แบบไม่ต้องพยายามเลย มันสุดยอดมาก แต่โทนของเพลงนี้ต่างไปจากต้นฉบับเล็กน้อย แทนที่จะเป็นเพลงที่เร็วอย่างเดียว ในเวอร์ชั่นนี้ทำออกมาได้ Haunting แบบขนลุกแปลก ๆ เป็นอารมณ์ใหม่ที่มอบให้เพลงที่ผมชอบมากในลิสต์เพลงของ UTA
เพลงต่อไปให้ความรู้สึกเก่า ๆ ครับ ผมรู้สึกว่าเคยฟังเพลงนี้ แต่รู้ว่าไม่ใช่เพลงของ Ado ฟังไปได้ครึ่งเพลงก็โน๊ตกับตัวเองไว้ว่าต้องไปหาต้นฉบับฟัง เพราะเป็นเพลงที่ไพเราะมาก เพลงมีทำนองที่ลื่นหูอยู่แล้ว และด้วยเสียงของ Ado มันยิ่งทำให้ตื่นเต้นเข้าไปอีก เพลงนั้นคือ “Kazarijianai no yo namida wa” ต้นฉบับของคุณ นาคาโมริ อาคินะ อาจจะเพราะผมโตมากับเพลงแนวนี้ เลยรู้สึกเหมือนกับว่าตัวเองกลับไปเป็นเด็กอีกครั้ง เป็นอีกเพลงหนึ่งที่ผมจะต้องกลับไปฟัง Ado ร้องในคอนเสิร์ตอีกครั้ง
Akina Nakamori
และเมื่อย้อนกลับไปฟัง ก็ฟังต่อไปเพลงต่อไปได้เลย เพราะเพลงนั้นคือ “Unravel” คนที่ติดตามวงการอนิเมะจะรู้จักเพลงนี้อยู่แล้ว นับว่าเป็นเพลงในตำนานในวงการเพลงเปิดอนิเมะ “Unravel” ต้นฉบับโดยคุณ TK เป็นเพลงเปิดอนิเมะเรื่อง Tokyo Ghoul ขึ้นชื่อว่าเป็นเพลงที่เต็มไปด้วยอารมณ์และความรู้สึก และเป็นหนึ่งในเพลงที่ร้องยากที่สุด ทำให้จนถึงทุกวันนี้ ผมยังไม่เห็นใคร cover เพลงนี้ให้ได้อารมณ์ขนาดนั้นเลย
จนกระทั่งคืนที่ผมชมคอนเสิร์ต “MARS” ผมรู้อยู่แล้วว่าเพลงนี้เล่นที่คอนเสิร์ตนี้ เนื่องจากมีอยู่ในตัวอย่างโฆษณาคอนเสิร์ต แต่ผมไม่คิดว่าจะมาเร็วขนาดนี้ เพราะเพลงนี้ใช้พลังเยอะมาก น่าจะเอาไว้ท้ายคอนเสิร์ตมากกว่า แต่คิดไปคิดมาแล้ว อาจจะเพราะประสบการณ์ท้ายคอนเสิร์ต “Campanella” ก็ได้ ที่ Ado เหนื่อยเกินไปกว่าจะร้องเพลงยาก ๆ การเอาไว้ต้น ๆ คอนเสิร์ตอาจจะเป็นการตัดสินใจที่ดีก็ได้
แล้วมันเป็นยังไงครับ Ado cover เพลง “Unravel” ผมคิดไว้อยู่แล้วว่ามันต้องสุดยอดมาก ๆ ผมมั่นใจเพราะผมเห็นเธอมั่นใจนั่นเอง แต่ผมไม่คิดว่ามันเกินความคาดหมายของผมไปมาก ผมลืมไปได้อย่างไรกัน Ado เป็นเด็กสาวที่แปลกคนหนึ่ง ผมคิด เพราะผมไม่รู้ว่าเด็กสาวอายุเท่านั้นจะสามารถดึงอารมณ์ขนาดนั้นมาจากไหน แต่ Ado ทำได้ ผมไม่รู้ว่าเธอไปเจออะไรมาจึงสามารถเข้าใจความรู้สึกเหล่านั้น
TK from Ling tosite siguru
ความเจ็บปวด ความทรมาน ความโกรธแค้น ความสิ้นหวัง เป็นความรู้สึกหลัก ๆ ที่เพลง “Unravel” นำเสนอ Ado สามารถดึงความรู้สึกนั้นออกมาได้ด้วยเสียงร้องของเธอ ตั้งแต่การคุมลมที่ใช้เพื่อแสดงถึงความเหนื่อยในการมีชีวิต จนถึงการกรีดร้องด้วยความทรมานใจ เพลงนี้มีจุดยากสองที่ หนึ่งคือท่อนฮุค ที่จะพิสูจน์กันเลยว่าร้องเพลงนี้ได้ไหม และจุดที่กรีดร้อง เสียงของเธอ ไม่เพียงแต่พิสูจน์ว่าร้องได้ แต่พิสูจน์ว่าสามารถทำออกได้เกินความคาดหมาย
แม้ว่าจะเตรียมใจไว้แล้ว แต่ก็ไม่ได้คิดว่ามันจะโหดจัดขนาดนั้น รู้ตัวอีกที ผมพูดไม่ออก มือกุมหน้าผากอยู่อย่างไม่รู้ตัว ฟังดูอาจจะโอเวอร์ แต่ผมไม่ได้พูดเกินจริงเลยครับ อาจจะเพราะผมชอบ Ado อยู่แล้ว และรู้จักเพลง “Unravel” มันเลยทวีคูณความประทับใจนั้นมากขึ้นไปอีก
Ado ทำได้อย่างไร้ที่ติ มัน Perfect อาจจะไม่ได้สมบูรณ์แบบอย่างบันทึกเสียงในสตูดิโอ แต่มันสมบูรณ์แบบในแบบที่มันควรจะเป็นบนเวที ด้วยเสียง grit หรือ distortion ที่เป็นเอกลักษณ์ของเธอแล้ว เพลงนี้เหมาะกับเธอมาก และด้วยความสามารถในการเปลี่ยนเสียง grit และ Falsetto ไปมาอย่างรวดเร็วแบบเหมือนเป็นเรื่องธรรมดาอย่างง่ายดายเหมือนนั่งกินผัดไทยกุ้งสดตอนเที่ยงอย่างสบายใจก่อนจะกลับไปนั่งทำงานต่อ
หากจะมีใคร Cover เพลง “Unravel” ได้ดีขนาดทำให้ TK ภูมิใจ ผมว่าก็มีแต่เพียง Ado นี่แหละครับ
ผมห้ามตัวเองไม่ให้โดนสปอย Ado cover “Unravel” มาเกือบ ๆ สัปดาห์ครับ เพราะปรากฏว่าใน YouTube มีคนดึงช่วงนี้ของคอนเสิร์ตมาลง หากสืบหาดูก็จะเจอครับ แต่มันไม่ Official พูดง่าย ๆ ก็คือ มันก็ผิดนั่นแหละครับ ผมเลยไม่อยากจะสนับสนุนทางนั้น แต่ก็คงห้ามคนที่จะเข้าไปดูไม่ได้
จริง ๆ แล้ว เวอร์ชั่นสตูดิโอจะออกในอัลบั้ม Utattemita ของเธอที่จะวางจำหน่ายในเดือนธันวาคมนี้ พร้อมกับเพลงในตำนานของ “God-ish” และ “Kazarijanai no yo namida wa” ผมที่กำเงินตั้งแต่ที่ไทยรอไปซื้อที่ชิบูย่าก็ตั้งหน้าตั้งตารออยู่ครับ ล่าสุด Ado ประกาศว่าจะลง Cover “Unravel” ใน YouTube ผมว่าเป็นการแก้ปัญหาที่ดีครับ เพราะไหน ๆ เพลงนี้ก็หลุดออกมาแล้ว เพราะก็คงห้ามความอยากรู้อยากเห็นของคนไม่ได้ ก็ลงเป็นทางการเสียเลย
ปกอัลบั้ม Ado no Utattemita
ผมโชคดีอย่างหนึ่ง เมื่อคืนหลังจากนั่งดูคอนเสิร์ตจบ รายการ All Night Nippon วันจันทร์ที่มี Ado เป็น DJ มาพอดี ก็เลยนั่งฟังผ่านหูไปเรื่อย ปรากฏว่าเธอเปิดเพลง “Unravel” cover ของเธอในรายการ ผมหยุดทุกอย่างที่ทำอยู่ และตั้งใจฟังครับ มันต่างจากเวอร์ชั่นคอนเสิร์ต อาจจะเพราะมันมีการควบคุมมากกว่า แต่ผมก็คิดว่า เวอร์ชั่นคอนเสิร์ตดีกว่า มันได้อารมณ์มากกว่า มีความสดมากกว่า แต่ก็ใช่กว่าเวอร์ชั่นสตูดิโอไม่ดี ผมว่า ใครที่ได้ฟังก็ต้องปากค้างเหมือนกันหมดครับ
อย่างไรก็ตาม เพลง “Unravel” cover โดย Ado เวอร์ชั่นสตูดิโอจะลง YouTube ในวันพรุ่งนี้ (นับจากวันที่ผมลงบล็อกนี้) หรือก็คือวันที่ 15 พฤศจิกายน ผมเตรียมรอรับฟังอยู่ครับ
Unravel cover โดย Ado
จบเพลง “Unravel” เธอร้องเพลงต่อทันทีด้วยเพลง “Villain” ผมคิดในใจว่า เธอยังมีแรงเหลือได้ยังไง มากไปกว่านั้น คอเธอไม่พังเลยเหรอ แน่นอนว่า นักร้องอาชีพเขามีวิธีและเทคนิคการร้องที่ปกป้องกล่องเสียงตัวเองอยู่แล้ว แต่นั่นยิ่งแสดงถึงความเป็นมืออาชีพของเธอที่โตไปพร้อมกัน
ไม่นาน หนึ่งในเพลงที่ผมชื่นชอบก็ขึ้น นั่นคือ “Readymade” มันไม่ใช่เพลงที่ยากอะไรเมื่อเทียบกับความสามารถของ Ado แล้ว แต่สิ่งหนึ่งที่ผมต้องพูดก็คือ เธอเป็นนักร้องที่ร้องเพลงได้สมบูรณ์แบบมากคนหนึ่ง แน่นอนว่าในคอนเสิร์ต ย่อมต้องมีการเปิด Backing track ในบางช่วง ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร แต่ที่ผมมองเป็นข้อตำหนิเพียงเล็กน้อยคือการ Mix เสียง เช่น เครื่องดนตรีในเพลงของวง จะถอยไปอยู่ที่ mid-range เพื่อที่จะให้ความสำคัญกับเสียงร้องมากกว่า
เมื่อเป็นเช่นนั้น เสียง Backing track เลยมักจะเบากว่าเสียงร้องของ Ado เลยบางทีก็ฟังดูแปลก แต่มันเป็นเรื่องทางเทคนิค ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร อีกทั้ง ผมมองว่า อาจจะเพราะเราไม่เห็นหน้าเธอด้วย มันเลยแยกออกง่ายมากว่าเสียงในคือเสียงสด Ado และเสียงไหนคือ Backing track ไม่งั้นมันแยกยากมากครับ เพราะ Ado ร้องออกมาเหมือนอยู่ในห้องอัดเลย
และนั่นคือความรู้สึกผมตอนฟัง “Readymade” ในเพลงทั้งหมดที่แสดงมาถึงจุดนั้น เพลง “Readymade” สมบูรณ์แบบที่สุด ไม่มีตำหนิเลย มัน Perfect แบบน่าขนลุก ขนาดผมที่ไม่สงสัยในตัว Ado เลยยังต้องนั่งจ้องดี ๆ ว่า นั่นเธอร้องสดอยู่จริง ๆ หรือเปล่า มันไม่ใช่ข้อเสียนะครับ แต่มันคือความประทับใจ เพราะผมชอบเพลงนี้มากอยู่แล้ว เวอร์ชั่นร้องสดก็ยิ่งทำให้ผมชอบเพลงนี้มากขึ้นไปกว่าเดิม
เมื่อจบเพลง “Readymade” ซึ่งก็คือประมาณครึ่งคอนเสิร์จแล้ว ผมวางใจอย่างร้อยเปอร์เซ็นต์ ไม่มีอะไรต้องลุ้นอีก ผ่านเพลงอย่าง “Unravel” มาแล้ว และยังมีแรงเหลือ ๆ และยังสามารถคุมเสียงตัวเองจนร้องเพลงต่อจากนั้นอย่างไม่ต้องพยายาม ผมก็ไม่ต้องลุ้นอะไรอีกครับ ผมเคยบอกไปแล้วว่า “Campanella” ไม่ได้สมบูรณ์แบบ มีหลายจุดที่เธอสามารถพัฒนาได้ในการแสดงสด และเธอก็เรียนรู้จากมัน และแก้ไขข้อผิดพลาด จากคอนเสิร์ตนั้นมาจนคอนเสิร์ตนี้ Ado เป็นมืออาชีพในการแสดงสดอย่างเต็มตัวแล้ว
ผ่านไปไม่กี่เพลง Ado แสดงเพลงที่ไม่ได้เล่นที่ Campanella (ผมคิดว่าเพลงนี้ออกหลังคอนเสิร์ตนั้น) นี่คือ “I’m a Controversy” เป็นอีกเพลงหนึ่งที่ผมชื่นชม เพราะมันเหมาะกับความเป็นตัวเธอดี เป็นเพลงที่ต่างจากเพลงอื่นที่ทรงพลังและเต็มไปด้วยอารมณ์ “I’m a Controversy” หรือ “Atashi wa Mondaisaku” เป็นเพลงที่มีความขี้เล่น ไม่เอาจริงเอาจัง และมีอารมณ์ขัน
I'm a Controversy
และแต่ก็เล่นกับอารมณ์ขันของเพลงนี้ได้ดีครับ ผมสนุกมาก เธอร้องเพลงนี้เหมือนเพื่อนที่ไปร้องคาราโอเกะด้วยกัน มีร้องกับสลับพูด มีการให้นักดนตรียิงปืนแจกเสื้อ เป็นอารมณ์ที่เพลงนี้สื่อครับ ว่า “ฉันน่ะก็แค่คนธรรมดาคนหนึ่งเหมือนกันนะ” ความทีเล่นทีจริงเป็นเสน่ห์ของเพลงนี้ และก็เป็นเสน่ห์ของเธอด้วย อารมณ์เหมือนฟังเธอร้องเพลงเล่น ๆ ในรายการวิทยุ All Night Nippon ทุกคืนวันจันทร์
พูดถึง All Night Nippon ช่วงท้าย ๆ คอนเสิร์ต เธอทำหน้าที่ MC อีกครั้ง พูดคุยกับผู้ชม อารมณ์เหมือนนั่งฟังรายการ All Night Nippon ที่จะมีแฟน ๆ รายการส่งข้อความเข้ามาแล้วเธอก็ตอบ ได้อารมณ์เหมือนฟังเพื่อนคุยกัน Ado มีความตลกธรรมชาติ อาจจะด้วยน้ำเสียงที่ออกจะห้าว ๆ แบบเด็กผู้ชายหน่อย ๆ ในคอนเสิร์ตก็ไม่ต่างกัน ผู้ชมมักตะโกนคุยกับเธอ เธอก็ตอบแบบขำ ๆ
ผมชอบที่เธอพูดถึงช่วงฤดูร้อน เธอพูดว่าอะไร ก็ไปตามหาดูกันเองนะครับ แต่ที่แน่ ๆ ส่วนตัวแล้ว ผมอาจจะฟังดูโรคจิตหน่อย ๆ แต่ชอบที่เธอพูดว่า “ซันเน็น!” หรือ “แย่หน่อยนะ!” หรือ “น่าเสียดายจังนะ!” มันดูกวนแบบประชดประชันดีครับ รวมถึงการที่เธอพูดเชิงอิจฉาผู้ชมที่ได้เที่ยวฤดูร้อนอย่างการไปทะเลหรือไปดูดอกไม้ไฟ ผมว่าตลกดี และก็ทำให้ผมคิดได้ว่า ผมฟังเสียง Ado ทั้งเสียงร้องและเสียงพูด เพราะเสียงร้องมันสุดยอด และเสียงพูดเต็มไปด้วยความขี้เล่น มันสบายใจดีครับ
ก่อนจะจบคอนเสิร์ต Ado มา MC อีกรอบ และอธิบายว่าทำให้ถึงตั้งชื่อคอนเสิร์ตว่า “MARS” เป็นเจตนาที่น่าเอาใจช่วยครับ และก็ช่วยตอบคำถามหนึ่งที่ผมได้หลังจากดู “Campanella” มันเป็นความรู้สึกเดียวกันเลย เธอบอกว่า หลังจากคอนเสิร์ตนั้น มันก็อ้างว้าง เพราะได้ทำตามความฝันที่ยิ่งใหญ่ของตัวเองแล้ว แล้วจะทำอะไรต่อ นั่นคือคำถามของผมเหมือนกันครับ และบทสรุปก็ถูกต้องที่สุดแล้ว นั่นคือ ฝันให้สูงกว่าเดิม
ฝันให้ใหญ่ยิ่งขึ้น ฝันให้ไปถึงโลก เพื่อให้โลกนี้รู้จัก Utaite ตรงนี้ใน Subtitle ภาษาอังกฤษแปลว่า “Singer” แต่ผมเข้าใจว่าหมายถึงกลุ่มนักร้องญี่ปุ่นในโลกอินเตอร์เน็ต ที่ร้องเพลง Cover โดยไม่เปิดเผยหน้าตา ซึ่ง Ado เป็นหนึ่งในนั้น นอกจากนี้ เพื่อให้โลกรู้จัก Vocaloid และ Vocaloid producers หลาย ๆ คน เธอไม่ลืมรากของตัวเอง และยังทำเพื่อสิ่งที่เธอสนใจและรักอยู่ นั่นเป็นฝันที่ยิ่งใหญ่มากครับ
นี่คือประกาศ “Adomination” (เป็นคำที่แฟนคลับใช้กัน ส่วนตัวคิดว่าหากทัวร์ใช้ชื่อนี้จะเจ๋งมาก ๆ) หรือพูดกันอย่างง่าย ๆ ก็คือ Ado ประกาศว่า “อะตาชิวางแผนจะครองโลกละน้า”
Ado บอกว่า เพื่อให้ฝันนี้เป็นจริง เธอคิดว่าจะต้องทำ 3 อย่าง หนึ่ง เธออยากจะคว้ารางวัล Grammy ตรงนี้ผมชื่นชมในความคิดของเธอนะครับ แต่ผมไม่ได้เคารพ Grammy ขนาดนั้นเท่าไหร่ ความเคารพของผมก็พอ ๆ กับที่ผมมีให้กับ Oscar แหละครับ แต่ถ้ามันเป็นฝันของเธอ ผมก็จะสนับสนุน และคิดว่าเป็นความคิดที่ดี
สอง เธออยากจะไปร่วมเล่นบนเวที Coachella อันนี้น่าประทับใจมากครับ เวทีดนตรีที่ใหญ่ระดับโลก คอนเสิร์ตที่คนทั้งโลกจับจ้องมองและติดตาม ถ้าจะพิสูจน์ความเจ๋งและความยิ่งใหญ่ ผมว่าเล็งที่ Coachella เป็นทางเลือกที่ดีครับ อย่างไรก็ตาม ตรงนี้ผมคิดว่าเป็นฝันที่เป็นไปได้มาก แต่ผมก็แอบเศร้า เพราะผมคงไม่มีโอกาสไปชมที่ Coachella แทบจะแน่นอน แต่ถ้ามีโอกาสรับชมไม่ว่าทางใดก็ทางหนึ่ง ผมจะไม่พลาดแน่นอนครับ (แม้ว่าส่วนตัวไม่ได้สนใจ Coachella ขนาดนั้น)
สาม World Tour ผมที่รู้มาก่อนแล้วก็ไม่แปลกใจมากนักครับ แต่ก็ลุ้นอย่างยิ่งว่าเธอจะไปที่ไหน แต่เมื่อรู้ว่าเธอตั้งใจจะทำ World Tour เพื่อสานฝันนั้น ผมก็คิดว่าคงเป็น World Tour จริง ๆ ไม่ใช่แค่ในเอเชีย ตรงนี้ผมกังวลมากครับ ผมแน่ใจว่าเธอคงมาที่ไทยแน่ ๆ ดูจากเสียงตอบรับ และความ “ผัดไทย” นั้น แต่ก็ประมาทไม่ได้ครับ อย่างที่ผมบอก ผมว่าการเปิดให้คนทั่วโลกชม “MARS” ได้คือการหยั่งเสียงว่ามีแฟนคลับที่ประเทศไหนบ้าง ดังนั้น หากอยากให้เธอมาไทย ก็ไปสนับสนุนกันครับ
ใบปิดประกาศ Word Tour แรกของ Ado "Wish"
ที่ผมกังวลเป็นการส่วนตัว แม้ว่าผมออกจะมั่นใจว่าเธอจะมาไทย เพราะว่าช่วงทัวร์นั้นผมไม่ได้อยู่ไทยแล้วนั่นเองครับ ผมต้องย้ายไปอยู่ต่างประเทศหลายปี และช่วงทัวร์ก็เป็นชัวร์แรก ๆ ที่ผมเพิ่งย้ายด้วย หากจะให้บินกลับไทยช่วงนั้นคงไม่สะดวกอย่างยิ่งด้วยค่าใช้จ่ายและธุระที่น่าจะยุ่งมาก ๆ ดังนั้น ผมนั่งภาวนาทุกวัน ว่าเมื่อประกาศประเทศในทัวร์นี้ออกแล้ว จะมีสักที่ใน U.K. ที่ไหนก็ได้ในสหราชอาณาจักร จะอังกฤษ เวลส์ ไอร์แลนด์ หรือถ้าเป็นสก็อตแลนด์ได้ยิ่งดี ผมจะนั่งรถไฟไปอย่างไม่รีรอครับ
ท้ายคอนเสิร์ต Ado เล่นเพลง “SHOW” ซึ่งหาชมได้อย่าเป็นทางการบน YouTube ครับ เป็นหนึ่งในการแสดงที่ยอดเยี่ยมที่สุดของเธอ และปิดท้ายด้วย “New Genesis” ตอนแรกผมคิดว่าจะเป็น “Gira Gira” เพราะฟังจากที่เธอพูดเรื่องความเป็นประกาย แต่ก็แปลกใจนิดหน่อยว่าไม่ได้เล่น “Gira Gira” เพราะส่วนตัวเป็นเพลงที่ผมชอบที่สุดเพลงหนึ่ง
https://www.youtube.com/watch?v=Igr6jQJEoNs
โดยสรุปแล้ว คอนเสิร์ต “MARS” เมื่อเทียบกับ “Campanella” แล้ว จะได้เห็นการเติบโตและพัฒนาการของนักร้องผู้สามารถอย่าง Ado อย่างเห็นได้ชัดครับ เธอมีความมั่นใจ ความสบายใจ และสนุกสนานไปกับคอนเสิร์ตของเธอ มันทำให้ผู้ชมสนุกสนานไปด้วย เราได้เห็นความเป็นมืออาชีพของเธอที่ทำให้คอนเสิร์ตนี้เป็นที่น่าจดจำของแฟน ๆ แม้ว่าจะไม่เห็นหน้าเธอ แต่ด้วยความ Showmanship นั้น เธอสามารถดึงความสนใจไว้ได้
ผมสนใจที่จะเห็นเธอ React กับท่าเต้นของเธอเหมือนที่เธอทำกับเพลง “Odo” ในคอนเสิร์ต “Campanella” ผมว่าคงจะตลกน่าดู เพราะใน “MARS” เธอออกท่าทางและเต้นเยอะกว่าอีก และยังเป็นการเต้นที่ซ้อมมาอย่างดีด้วย แม้จะเห็นเพียงเงา แต่ก็ได้เห็นความเป็นศิลปินและนักร้องสดมืออาชีพที่ไม่มีใครเหมือนคนหนึ่งครับ
Ado พิสูจน์อีกครั้งว่า เธอเป็นนักร้องที่เก่งที่สุดแห่งยุคสมัย ไม่มีใครเหมือนและไม่เหมือนใคร เป็นนักร้องที่ควรได้รับความสนใจจากทั่วทุกมุมโลก ผมไม่คิดว่าในช่วงชีวิตของผมจะเจอนักร้องคนไหนแบบ Ado อีกครับ เป็นนักร้องที่ในช่วงชีวิตนี้จะมีเพียงคนเดียว
นี่คือความรู้สึกและความคิดเห็นของผมหลังชม Ado Japan Tour 2023 “MARS” ที่มีขึ้นเมื่อวันที่ 30 สิงหาคม 2023 ณ นิปปง บุโดกัง ใครที่ยังไม่ได้ดู และเป็นแฟนคลับ Ado พลาดไม่ได้โดยเด็ดขาดครับ สามารถซื้อสิทธิรับชมได้ผ่านเว็บ beyondlive ได้ตั้งแต่วันนี้ ถึงวันที่ 31 มกราคมปีหน้าครับ
Ado "Mars" 2023
ป.ล. นอกจากนี้ ล่าสุดมีประกาศว่า Ado จะเข้าร่วมมหากรรมคอนเสิรต์ขาว-แดง หรือ Kouhaku Uta Gassen ของปีนี้ด้วย ผมตื่นเต้นมาว่าจะเป็นแบบไหน ปีที่แล้ว Ado เข้าร่วมในนาม UTA จาก One Piece ครั้งนี้จะมาในนาม Ado น่าติดตามมากครับ
โฆษณา