15 พ.ย. 2023 เวลา 15:37 • ไลฟ์สไตล์
ผมเคยอ่านนิยายแปลทางละตินอเมริกาเรื่องหนึ่ง แล้วชอบ "ความ" ของประโยคนึงในนั้นมาก (แต่เนื้อเรื่องไม่เกี่ยวอะไรกะเรื่องนี้เลย) รู้สึกจะเป็นเรื่องของชายชราที่ชอบอ่านนิยายรักหรือยังไงนี่แหละ ฉากเริ่มต้นด้วยหมอฟัน เป็นหมอฟันที่เข้าไปรับทำฟันให้ชาวบ้านในที่ห่างไกลน่ะ ไม่ใช่ทำเพื่อการกุศลนะ ทำเพราะว่าเมื่อมันอยู่ห่างไกล หมอคนอื่นก้ต้องขี้เกียจไป หมายความว่าคู่แข่งน้อย ดังนั้นก็แสดงว่าต้องมีลูกค้ามาก และก็เป็นอย่างนั้น และก็เพราะห่างไกลนั่นเองหากจะเรียกค่ารักษาแพงแบบในเมืองใครเขาจะมารักษา
ดังนั้น หมอคนนั้นจึงคิดค่ารักษาตามใจตัวเองก็เท่านั้น คือถ้าดูทรงเป็นชาวนามีอันจะกินหน่อยก็คิดแพง แต่ถ้าเป็นลูกของชาวนาที่จนๆ หน่อยก็คิดถูก ก็ถ้าคิดแพงคนจนจะมีเงินจ่ายที่ไหนเล่า ดังนั้นก็ต้องคิดถูกๆ ล่ะถึงจะได้เงินคนจน ถึงจะได้เงินจำนวนน้อยจากคนจนก็ดีกว่าไม่ได้เลยใช่มั้ยล่ะ และก้อย่างที่บอกหมอฟันในนิยาย(หรือผมจะสร้างตัวละครนี้เองก็ไม่รู้แล้วสิ)คนนั้นไม่ได้รักษาคนเพื่อการกุศลอย่างเด็ดขาด
แต่ก็ไม่ใช่เรื่องนี้ที่ทำให้ผมนึกถึงหมอคนนี้ขึ้นมา แต่เพราะความเห็นของเขาในนิยายต่างหาก เพราะขณะที่เขารักษาฟันผุให้กับจนๆ ในหมู่บ้านจนๆ ที่ห่างไกลนั้นอยู่ เขาก็จะสบถด่ารัฐบาลไปด้วย เพราะอะไรน่ะหรือ? เพราะเขาเห็นว่าต้นเหตุของโรคฟันผุก็คือรัฐบาลนั่นแหละ! แล้วเขาก้พูดมีเหตุผลเสียด้วยน่ะสิ
ดังนั้นเรื่องนี้ก็เหมือนกัน ผมจะสบถด่ารัฐบาลที่เป็นต้นเหตุ ไม่ใช่แค่ความโง่เขลาของประชาชน แต่คือการที่ประชาชนต้องเจ็บป่วยแล้วไม่สามารถเข้าถึงการรักษาของ "แพทย์สมัยใหม่" อย่างทั่วถึงได้ต่างหาก
ผมเคยปวดตรงก้นกบจากการยกหินที่ผิดท่านะครับ มันปวดทรมานมาก ถึงตอนนี้กระดูกหลังของผมก้ยังรู้สึกถึงอาการปวดนั้นอยู่ ไม่ต้องสงสัยเลยผมคิดว่าตัวเองเป็นอะไรที่เกี่ยวข้องกับกระดูกและเส้นเอ็นเส้นประสาท การรักษาให้หายขาด(อย่างที่เขาว่ากัน)ก็คงจะต้องเป็นการผ่าตัด แต่ผมไม่มีตังค์รักษาตัวเองขนาดนั้นนี่นา ก้ทำไงได้เล่า ยิ่งเป็นการรักษาที่ซับซ้อน ค่ารักษาก็ยิ่งแพง เรื่องนี้เป็นธรรมดานั่นแหละ ดังนั้น การที่การแพทย์ของเราเจริญไปมาก ก็ยังไม่ได้หมายความว่าทุกคนจะได้เข้าถึงมัน
การกินยาแก้ปวดไม่ได้ช่วยอะไรผมเลย (ยกเว้นเวลานอน) ยาหม่องนั้นดูมีประโยชน์นิดๆ หน่อยๆ แล้วผมก็ต้องทนทรมานกับอาการปวดอยู่อย่างนั้น ไม่น่าจะน้อยกว่าสองเดือน เมื่อพี่ชายผมขึ้นมาจากกรุงเทพผมจึงให้เขาพาไปหาหมอจับเส้นคนหนึ่งที่ต่างอำเภอ ซึ่งผมได้เบอร์โทรและที่อยู่ของหมอคนนี้มาจากพี่ชายอีกคนหนึ่งซึ่งเขารู้จักคนที่ไปบีบแล้วอาการหาย หรือจะเรียกว่าทุเลาก็ได้
ครับผมไปให้หมอคนนั้นบีบให้ แกใช้ไม้กด และเขี่ย(ในความรู้สึกผมนะ)เส้นเอ็นในส่วนทีผมปวด แล้วมันก้หายปวดจริงๆ ผมไปให้เขาบีบให้สองครั้ง ตอนนี้กลับมาทำงานได้ตามปรกติ ถึงแม้ว่าจะยังรู้สึกว่ามีอาการปวดอยู่บ้างก็ตาม โดยที่เสีย "ค่าครู" ไปน่าจะ 200 บาทเท่านั้นเอง และแกก็ไม่ได้เรียกแต่ผมเอาไปหย่อนลงในตู้ที่แกบอกว่าแกจะเอาไปทำบุญ
สิ่งที่ผมพูดมานี้มีประเด็นหลัก 2 ประเด็น คือ 1) เป็นความจริงที่ว่าในประเทศเรานั้นมีกระบวนการ สำนัก ที่ทำการ สถานประกอบการ หรือจะเรียกว่าอะไรก็ตามในการรักษา(หรือจะเรียกว่าอะไรก้ได้อีก)คนป่วยในแบบที่ไม่ใช่แผนปัจจุบันอยู่จริงๆ และการรักษาอย่างนั้นก็เป็นไปได้ที่จะได้ผลบ้างไม่ได้ผลบ้างพอๆ กัน และที่สำคัญคือ เปิดโอกาสอย่างดีให้กับมิจฉาชีพในการหากินกับเรื่องอย่างนี้
2) เป็นความจริงที่ว่าในประเทศเรานั้น มีการแพทย์แผนปัจจุบันที่ทันสมัย และมีระบบประกันสุขภาพแบบถ้วนหน้าที่ดี แต่ในความเป็นจริงนี้ก็ยังมีอีกความเป็นจริงหนึ่งว่า มันก็ยังมีหลายๆ อย่างที่ไม่น่าพอใจในเรื่องนี้ (เหมือนอย่างที่ช่วงก่อนหน้านี้สักเดือนสองเดือนเราจะได้ยินข่าวว่าหมอไม่พอแก่ความต้องการของคนไข้ ไม่รู้สถานการณ์นี้ตอนนี้เป็นยังไง) ความหมายของตรงนี้คือ ไม่ใช่ว่าผู้คนไม่เชื่อมั่นในการแพทย์แผนปัจจุบันแต่อย่างใด ไม่ใช่ว่าผู้คนในสังคมเราโง่เขลางมงายดักดานกู่ไม่กลับแต่อย่างใด แต่เพราะใครๆ ก็รักชีวิต
ดังนั้น อะไรๆ ที่อยู่ใกล้มือและเราเอื้อมไปคว้ามันได้ เราก็คว้ามันหมดนั่นแหละ ฉะนั้น หากถามว่าคิดยังไงกับการรักษาโรคด้วยพลังจิต? ผมมีความคิดว่า ทำยังไงนะ คนถึงจะไม่ต้องรักษาโรคด้วยพลังจิต? แต่พอมาคิดๆ ดูแล้ว ต่อให้คิดออก ตัวเองก็ไม่ได้มีอำนาจหน้าที่อะไรที่จะทำให้คนไม่ต้องรักษโรคด้วยพลังจิตได้ ดังนั้น ผมจึงคิดว่า เราก็คงจะต้องเห็นเรื่องแบบนี้กันอีกต่อไปและต่อไป และก็คงไม่ใช่แค่พลังจิต แต่คงมีเครื่องมือพิสดารอีกสาระพัดเลยทีเดียว
โฆษณา