Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
เหลาจนคม
•
ติดตาม
18 พ.ย. 2023 เวลา 17:55 • ประวัติศาสตร์
สมเด็จพระเทพศิรินทราบรมราชินี องค์ปฐมเหตุของการก่อตั้งโรงเรียนเทพศิรินทร์
สมเด็จพระเทพศิรินทราบรมราชินี เสด็จพระราชสมภพเมื่อวันที่ 17 กรกฎาคม พ.ศ.2377 (พระนามเดิม หม่อมเจ้ารำเพย) เป็นพระธิดาพระองค์รองในสมเด็จพระบรมราชมาตามหัยกาเธอ พระองค์เจ้าศิริวงศ์ กรมหมื่นมาตยาพิทักษ์ ต้นราชสกุลศิริวงศ์ (พระราชโอรสในพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว กับเจ้าจอมมารดาทรัพย์) ส่วนพระมารดาคือหม่อมน้อย
เมื่อพระองค์อยู่ในช่วงวัยเยาว์ ได้เข้ามาอยู่กับสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าละม่อม กรมพระยาสุดารัตนราชประยูร พระปิตุจฉา เพื่อเข้ามาฝึกหัดการถวายงานพัด และพระองค์ก็สามารถพัดได้ถูกพระทัย พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ถึงกับโปรดเกล้าฯ พระราชทานนามแก่หม่อมเจ้าหญิงนี้ว่า รำเพย อันมีความหมายว่า “ลมเย็นที่พัดค่อย ๆ อ่อน ๆ”
มีเรื่องเล่ากันว่าพระภิกษุพระศรีสุทธิวงศ์ได้ไปยังประเทศศรีลังกา และขากลับได้นำเอาต้นไม้ชนิดหนึ่งเข้าถวายแก่พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว พระองค์โปรดไม้นั้นมาก จึงได้พระราชทานชื่อไม้นั้นว่า "รำเพย" ตามพระนามของพระราชนัดดา
หม่อมเจ้ารำเพย ศิริวงศ์ เริ่มรับราชการในตำแหน่งพระมเหสีของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ตั้งแต่พระชนมายุได้ 18 พรรษา ทรงได้รับการสถาปนาเลื่อนพระยศเป็น พระองค์เจ้า พระราชทานพระนามว่า รำเพยภมราภิรมย์ อันมีความหมายว่า “บุปผชาติที่เป็นที่ยินดี และเป็นที่พักพิงของมวลหมู่ภมร” และดำรงพระอิสริยยศเป็น พระนางเธอ พระองค์เจ้ารำเพยภมราภิรมย์
1
สมเด็จพระเทพศิรินทราบรมราชินี มีพระราชโอรสและพระราชธิดาทั้งหมด 4 พระองค์ คือ
1. เจ้าฟ้าชายจุฬาลงกรณ์ (พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว)
2. เจ้าฟ้าหญิงจันทรมณฑล โสภณภควดี (กรมหลวงวิสุทธิกระษัตริย์)
3. เจ้าฟ้าชายจาตุรนต์รัศมี (กรมพระจักรพรรดิพงศ์)
4. เจ้าฟ้าชายภาณุรังษีสว่างวงศ์ (กรมพระยาภาณุพันธุวงศ์วรเดช)
สมเด็จพระเทพศิรินทราบรมราชินี เสด็จสวรรคตเมื่อวันจันทร์ที่ 9 กันยายน พ.ศ.2404 สิริรวมพระชนมายุ 28 พรรษา
โดยนับตั้งแต่พระราชโอรสองค์เล็กประสูติ พระองค์ก็ประชวรมากแต่ก็ตรัสว่า "ไม่เป็นอะไรมากหรอก" แม้จะทรงกาสะ (ไอ) มากก็ตาม พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวมีพระราชหัตถเลขาเกี่ยวกับพระอาการประชวรของพระองค์ไว้ดังนี้
“…แต่แม่รำเพย ตั้งแต่คลอดบุตรชายภาณุรังษีสว่างวงศ์มาแล้ว ป่วยให้ไอและซูบผอมมากไป กลัวจะตั้งวัณโรคภายใน”
อีกฉบับหนึ่ง ทรงบรรยายถึงการเสด็จสวรรคตไว้อย่างละเอียดดังนี้
“…เวลาเช้าแม่รำเพยไออาเจียนเป็นโลหิตออกมามาก ออกทางจมูกออกทางปาก ได้ตัวสัตว์ออกมากับทั้งโลหิตตัวหนึ่ง มีอาการคล้ายสัตว์ตัวหนอนเล็กหางเป็นสามแฉก แต่หมอยังแก้ไขก็ค่อยคลายมา โลหิตออกบ้างเล็กน้อยจางไปแล้ว"
“ครั้น ณ วันอาทิตย์ขึ้น 4 ค่ำ เดือนสิบ เวลากลางคืน เธอว่าค่อยสบายไอห่างไป นอนหลับได้มาก ตั้งแต่สามยามไปจนถึงสามโมงเช้า ครั้น ณ วันจันทร์ ขึ้นห้าค่ำ เดือนสิบ ตื่นขึ้นอีกเวลาสามโมงเช้า รับประทานอาหารได้ถ้วยฝาขนาดใหญ่ แล้วนั่งเล่นอยู่กับบุตรเล็ก ไอเป็นโลหิตออกมา แล้วก็เป็นโลหิตพลุ่งพล่านมากเป็นที่สุด ออกทั้งทางจมูกทางปาก หลายถ้วยแก้วกระบอก ไม่มีขณะหายใจ พอโลหิตมากแล้วชีพจรทั้งตัวก็หยุดทีเดียวไม่ฟื้นเลย
ได้รับประทานจัดการไว้ศพ ในโกศตั้งไว้ที่ตึกต้นสน แต่ตกแต่งตึกเสียใหม่ให้งามดี เพดานและบานประตู บานหน้าต่างปิดลายเงิน ฝาผนังปิดกระดาษลาย และตกแต่งสิ่งอื่นมากพอสมควร ครั้นจะยกขึ้นไปไว้บนพระมหาปราสาท เห็นว่าจะกีดขวางการพระราชพิธีไม่พอที่ แต่เท่านั้นก็ดีอยู่แล้ว ศพจะเอาไว้นาน ต่อเดือนสี่เดือนห้าจึงจะได้เผา เดี๋ยวนี้ก็รับประทานทำบุญต่างๆ มีเทศนาและบังสุกุลอยู่เนืองๆ…
ที่ให้เป็นอนุเคราะห์แก่ชายจุฬาลงกรณ์ หญิงจันทรมณฑล ชายจุตุรนตรัศมี ชายภาณุรักษีสว่างวงศ์ บุตรแม่เพยทั้งสี่ก็มีบ้าง กระหม่อมฉันคิดขอบบุญขอบคุณท่านทั้งปวงครั้งนี้นั้นหนักหนา แม่เพยตายลงครั้งนี้ เมื่อดูอาการก็ควรจะตายอยู่แล้ว ด้วยป่วยโรคนี้มาตั้งแต่เสาะแสะมาถึงห้าปี ตั้งแต่ปีมะเส็งมารักษาก็หลายหมอหลายยาแล้ว ไม่หาย จึงเห็นว่าถึงคราวที่จะสิ้นอายุตายอยู่แล้ว"
“อายุนับปี เท่ากับกรมหมื่นมาตยาพิทักษ์บิดานั้น เหมือนกับชายมงคลเลิศซึ่งเป็นพี่ชายว่าโดยละเอียดไป กรมหมื่นมาตยาพิทักษ์ มีอายุนับวันตั้งแต่วันเกิดจนวันตายได้ 9,639 วัน ชายมงคลเลิศนับอายุตั้งแต่วันเกิดจนวันตาย 9,903 วัน มากกว่ากรมหมื่นมาตยาพิทักษ์ 284 วัน มากกว่าชายมงคลเลิศ 20 วัน”
หลังจากการเสด็จสวรรคต ได้มีพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ ณ พระเมรุ มณฑลพิธีท้องสนามหลวง ในวันศุกร์ที่ 18 เมษายน พ.ศ.2405 โดยพระราชพิธีนี้ ได้มีการริเริ่มการจัดพิธีกงเต็กหลวงขึ้นครั้งแรก จึงมีการจัดพิธีกงเต็กหลวงสืบมา ต่อมาพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงสถาปนาพระบรมอัฐิเป็น “กรมสมเด็จพระเทพศิรินทรามาตย์” และพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงสถาปนาพระบรมอัฐิเป็น “สมเด็จพระเทพศิรินทราบรมราชินี”
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อพระชนมพรรษาครบเบญจเพส (25พรรษา) ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ สร้าง "วัดเทพศิรินทราวาส" ขึ้นเมื่อปี พ.ศ.2419 เพื่ออุทิศถวายเป็นพระราชกุศลและเฉลิมพระเกียรติแด่สมเด็จพระเทพศิรินทราบรมราชินี พระบรมราชชนนีของพระองค์ที่เสด็จสวรรคตในขณะทรงพระเยาว์
อีกทั้งยังได้ทรงสถาปนา "โรงเรียนเทพศิรินทร์" ขึ้น เมื่อวันที่ 15 มีนาคม พ.ศ.2428 ในระยะแรกจัดตั้งเป็นโรงเรียนพระปริยัติธรรมบาลีของวัดเทพศิรินทราวาส โดยอาศัยศาลาการเปรียญภายในวัดฯ เป็นที่ทำการเรียนการสอน
ต่อมาในปี พ.ศ.2438 สมเด็จพระราชปิตุลาบรมพงศาภิมุข เจ้าฟ้าภาณุรังษีสว่างวงศ์ กรมพระยาภาณุพันธุวงศ์วรเดช ได้ทรงพระดำริที่จะสร้างตึกเรียนสำหรับวัดเทพศิรินทราวาสขึ้น เพื่ออุทิศพระกุศล สนองพระเดชพระคุณแห่งองค์ สมเด็จพระเทพศิรินทราบรมราชินี พระชนนี และเพื่ออุทิศพระกุศลแก่ หม่อมแม้น ภาณุพันธุ์ ณ อยุธยา ชายาของพระองค์ ตึกเรียนหลังแรกนี้ได้รับการออกแบบให้มีศิลปะเป็นแบบโกธิคซึ่งถือว่าเป็นอาคารศิลปะโกธิคยุคแรกและมีที่เดียวในประเทศไทยโดยสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอฯ กรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์เป็นผู้ออกแบบ
ปี พ.ศ. 2445 ตึกเรียนหลังแรกของโรงเรียนได้สร้างเสร็จและได้ทำพิธีเปิดการเรียนการสอนใน วันที่ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2445 ด้วยพระมหากรุณาธิคุณแห่งองค์พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้พระราชทานนามตึกเรียนหลังนี้ว่า "ตึกแม้นนฤมิตร์" และได้พระราชทานนามโรงเรียนว่า "เทพศิรินทร์" อีกทั้งยังมีพระราชดำริให้ย้ายโรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย มายังตึกแม้นนฤมิตร์อีกด้วย เพื่อรอการก่อสร้างตึกอาคารเรียนที่โรงเรียนนั้น
และในการนี้ พระยาโชฏึกราชเศรษฐี ได้บริจาคทุนทรัพย์เพื่อสร้างตึกอาคารเรียนขึ้นด้านข้างของตึกเรียนหลังแรกอีกด้วย ตึกนี้มีนามว่า "ตึกโชฏึกเลาหเศรษฐี"
โรงเรียนเทพศิรินทร์ เป็นอีกหนึ่งโรงเรียนในเครือ "จตุรมิตร" ที่มีประวัติศาสตร์ยาวนาน และปั้นบุคลากรทุกๆ วงการเพื่อรับใช้ประเทศชาติมากมาย
พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล พระอัฐมรามาธิบดินทร ทรงเป็นศิษย์เก่าของโรงเรียนเทพศิรินทร์ และทรงมีพระราชประสงค์ที่จะฟื้นฟูโรงเรียนแห่งนี้ขึ้นมาหลังจากถูกทำลายจนเสียหายเมื่อช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2
อีกทั้งยังมีศิษย์เก่าที่เป็นนายกรัฐมนตรีไทยมาแล้วถึง 4 ราย ได้แก่ ควง อภัยวงศ์ ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช พล.ร.ต.หลวงธำรงนาวาสวัสดิ์ และพล.อ.ชาติชาย ชุณหะวัณ ตลอดจนศิษย์เก่าที่เป็นนายกรัฐมนตรีคนแรกของมาเลเซีย และได้รับการยกย่องให้เป็นบิดาแห่งชาติของมาเลเซีย นั่นคือ ตนกู อับดุล เราะห์มาน
โรงเรียนเทพศิรินทร์
แหล่งที่มาและเรียบเรียง
https://www.chiangmainews.co.th/social/1404100/
https://www.debsirin.ac.th/news/view402.html
https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B9%82%E0%B8%A3%E0%B8%87%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%99%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%9E%E0%B8%A8%E0%B8%B4%E0%B8%A3%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B8%97%E0%B8%A3%E0%B9%8C
ประวัติศาสตร์ไทย
การศึกษา
1 บันทึก
3
1
1
3
1
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย