27 พ.ย. 2023 เวลา 03:13 • นิยาย เรื่องสั้น

#เรื่องจากเมล #TheGhostRadio

เรื่องทับที่ ผีอาฆาต โดย คุณนัน
คลิกลิงก์ https://youtu.be/0od-ZpIfQ8k
เมื่อประมาณ 30 ปีที่แล้ว ผมชื่อ นัน ทำงานเป็น รปภ. อยู่ในบริษัทแห่งหนึ่ง ที่กำลังอยู่ระหว่างการก่อสร้าง บริษัทที่ผมทำงานอยู่ถูกสร้างไว้แล้ว แต่เสร็จแค่เพียงแค่บางส่วน ส่วนที่ยังสร้างไม่เสร็จส่วนมากก็จะเป็นบริเวณกำแพง และในส่วนกำแพงจะอยู่ติดกับบ่อขยะของชุมชน ซึ่งติดกับถนนที่มีรถสัญจรไปมาตลอดเวลา
ผมเพิ่งเป็น รปภ. หน้าใหม่ที่เข้ามาทำงานได้เพียงไม่กี่วัน เวรตามปกติคือ ช่วงเช้าจนถึงค่ำ หรือ 7 โมงจนถึง 1 ทุ่ม แต่ในวันนั้นคู่กะของผมได้ลาป่วยกะทันหัน หัวหน้าเวรเลยให้ผมเข้ากะเป็นเวลาต่อเนื่องนาน 36 ชั่วโมง นั่นเท่ากับผมทำงานควบ 3 กะ
1
ซึ่งผมก็ต้องจำใจตอบตกลงเพราะมันไม่มีใครมาแทน ในคืนวันที่สองของการควงกะ หัวหน้างานของผมได้บอกให้ไปพักผ่อนได้ เพราะพรุ่งนี้เช้าผมจะต้องอยู่เวรต่อ แต่มีข้อแม้ว่าต้องแอบพัก โดยที่ห้ามใครเห็นเป็นอันขาด เต๋าเป็นเพื่อนร่วมงานของผม ก็ได้อาสาพาผมไปพักในที่ลับ
เต๋าบอกกับผมว่า “กูมีที่ลับ รับรองตรงนี้เงียบสงบ มึงนอนเต็มที่้เลยไม่มีใครเห็นแน่นอน” ผมเองก็ตอบตกลง โดยผมและเต๋าต่างคนก็ต่างพกลังกระดาษสำหรับปูนอนไปคนละอัน เมื่อไปถึงเราก็ใช้ลังกระดาษปูและทิ้งตัวลงนอน แต่นอนไปสักพักมันก็ยากที่จะข่มตาให้หลับได้ เพราะตรงนั้นมันเป็นบ่อขยะ กลิ่นมันไม่ค่อยจะดีสักเท่าไร
ในตอนนั้นเต๋าก็พูดขึ้นมาว่า “มึงได้กลิ่นเน่าปะ กลิ่นอะไรวะเหมือนหมาตาย ? “ ผมก็บอกไปว่า “กูว่ามันก็ปกติ เพราะตรงนี้เป็นบ่อขยะ มันก็ต้องเหม็นสิ มึงสรรหาพากูมานอนนะ” เต๋าซึ่งเป็นเจ้าถิ่นที่แวะมานอนตรงนี้อยู่เป็นประจำ ก็พูดกลับมาว่า “ไม่อะ กูว่านี่มันกลิ่นหมาตายชัด ๆ ปกติมันไม่ได้เหม็นแบบนี้นะ”
เต๋าเลยเปิดไฟฉายส่องดูรอบ ๆ ว่ามีหมาตายอยู่แถวนี้จริงหรือเปล่า ผมเลยพูดกับมันว่า “กูว่านะย้ายที่เหอะ เปลี่ยนไปนอนตรงโน้นก็ได้ ห่าง ๆ หน่อยเผื่อจะดีขึ้น ไม่มีคนมาเห็นหรอก” เราทั้งคู่ก็ตกลงพร้อมใจ ลุกขึ้นเก็บลังกระดาษที่ใช้ปูนอน
แต่ในขณะที่ผมกำลังพับเก็บลังกระดาษ ไอ้เต๋ามันก็เริ่มมีอาการผิดปกติ อยู่ดี ๆ มันก็อ้ำ ๆ อึ้ง ๆ ตาเบิกโพลง มือที่กำลังถือไฟฉายตอนนี้สั่นเป็นเจ้าเข้าเลย ผมก็ถามมันว่า “มึงเป็นไรวะ ? ทำหน้ายังกับเห็นผี” แล้วอยู่ ๆ มันก็ล้มตึงไปเลย ผมตกใจมากคิดว่ามันเป็นอะไร จึงพยายามปลุกมัน ทั้งตบหน้าและเขย่าตัว จนในที่สุดมันก็รู้สึกตัว เมื่อลืมตาขึ้นมามันก็ยังทำหน้าตกใจ และตะเกียกตะกายล้มลุกคลุกคลานวิ่งหนีผมไป
ผมที่ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นก็เลยวิ่งตามมันไป “ไอ้เต๋า.. มึงจะวิ่งหนีกูทำไมรอกูด้วย !! ” เราสองคนวิ่งจนมาถึงที่ป้อมหลักด้านหน้าผมเลยถามมัน “มึงเป็นอะไรของมึงเนี่ย มึงวิ่งหนีอะไร ? “ ไอ้เต๋ามันก็บอกกับผมว่า “เดี๋ยวพรุ่งนี้เช้ากูเล่าให้ฟัง” และมันก็เดินดุ่ม ๆ หนีเวรกลับห้องไปซะอย่างนั้น ผมก็งงว่ามันเป็นอะไรของมัน
พอถึงวันรุ่งขึ้นด้วยความสงสัย ผมเลยแวะไปหามันที่ห้องพัก เพื่อที่จะถามเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อคืน “ไอ้เต๋าเมื่อคืนมึงเป็นไรวะ ? ไหนเล่าให้กูฟังหน่อย” เต๋ามันก็เล่าให้ผมฟังว่า
เมื่อคืนตอนที่เรากำลังพับลังกระดาษ มันฉายไฟไปที่พื้นเพื่อให้ผมเก็บของ มันเห็นเท้าคนลอยอยู่ข้างหลังผม สูงประมาณหัวเข่า มันเลยฉายไฟขึ้นไปดู สิ่งที่มันเห็นคือมีคนขี่หลังผมอยู่ มือข้างหนึ่งรัดที่คอ แล้วมืออีกข้างชี้ไปที่มัน แขนสีขาวซีดและมีรอยดำช้ำเป็นจ้ำ ๆ มีเลือดไหลลงมาจากหัวไหล่ แต่ที่น่ากลัวที่สุดคือ ร่างนั้นไม่มีหัว จากนั้นภาพมันก็ตัดไปเลย พอฟังจบผมก็คิดว่า หรือเราไปทำอะไรผิดหรือเปล่า ?
ผมเลยชวนมันไปหาพ่อปู่ พ่อปู่เป็นผู้ใหญ่ที่อยู่ในหมู่บ้านที่ชาวบ้านแถวนั้นต่างนับถือ เมื่อไปถึงเราทั้งสองคนได้เล่าให้พ่อปู่ฟัง พ่อปู่ได้ยินอย่างนั้นก็พูดขึ้นมาว่า “เฮ้อ.. กรรมเก่าแท้ ๆ มึงไปนอนทับที่เขา เมื่อหลายสิบปีก่อนตรงนั้นมีผู้หญิงต่างด้าวคนนึงถูกฆ่าตัดคอ แล้วนำศพมาทิ้งไว้ที่บ่อขยะ
ทุกวันนี้ยังหาหัวกันไม่เจอเลย” พวกผมเลยถามกลับไปว่า “พ่อปู่ครับ แล้วอย่างนี้ผมทำอะไรได้บ้าง ? ผมไม่รู้เลยว่าผมไปลบหลู่อะไรเขา เอาจริง ๆ ผมก็ไม่ได้ทำอะไรเลยก็แค่ไปนอน” พ่อปู่จึงตอบกลับมาว่า “เอ็งทำอะไรได้ไม่มากหรอก แค่ทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้เขาก็พอ” แต่แล้วพ่อปู่ก็หันมามองที่เต๋าแล้วพูดว่า “มันเป็นเวรเป็นกรรมเก่า ปู่ก็ช่วยอะไรเอ็งได้ไม่มาก ยังไงก็ทำบุญเยอะ ๆ จากหนักเผื่อมันจะได้เป็นเบา”
หลังจากนั้นเราทั้งสองคนก็ได้แยกย้ายกันกลับบ้าน เต๋ามันก็ใจไม่ดีที่ได้ยินพ่อปู่พูดอย่างนั้น มันเลยบอกผมว่ามันจะลาออกวันนี้เลย ไม่ไปทำงานแล้ว ผมเองก็บอกกับมันไปว่า “เออ กูก็ว่าจะออกเหมือนกัน ไม่ไหวมันหนักเกินไป” หลังจากวันนั้นผมก็ไม่ได้ไปทำงาน และไม่ได้ไปเจอกับเต๋าอีกเลย
จนกระทั่งเวลาผ่านไปเกือบหนึ่งเดือน ผมได้มาเจอกับน้าชัยซึ่งเป็นหัวหน้างานเก่าของผม ผมจึงเข้าไปทักทายพูดคุย แต่น้าชัยกลับพูดกับผมคำแรกเลยว่า “นัน.. มึงรู้ยังว่าไอ้เต๋าเพื่อนมึงมันตายแล้วนะ” ผมตกใจมากจึงถามน้าชัยกลับไปว่า “จริงหรือเปล่าน้า ผมไม่ได้เจอมันเลยนะ ตั้งแต่ลาออกวันนั้น แล้วมันเป็นอะไรยังไงครับน้า ? “
น้าชัยเล่าว่า “หลังจากที่พวกเอ็งบอกว่าโดนผีหลอกอะไรนั่น วันต่อมาไอ้เต๋ามันก็มาลาออกอีกคนนึง มันขี่รถออกจากบริษัทไปสักพัก แล้วมันก็ขี่กลับเข้ามาใหม่ มันบอกว่ามันมาเอาของ แต่พอมันเก็บของเสร็จขับรถออกไปแค่แป๊บเดียว ก็ได้ยินเสียงดังโครมใหญ่ พวกที่อยู่ตรงนั้นก็ออกไปดู มีรถกระบะชนบี้อยู่กับกำแพง
น้าก็เลยพาพวกวิ่งไปหวังจะช่วย แต่เห็นมอเตอร์ไซค์ของไอ้เต๋าโดนอัดก๊อบปี้ติดอยู่กับกำแพง แต่หาตัวมันไม่เจอ เห็นแต่คนขับกระบะลงมายืนเกาหัวอยู่ พอเจ้าหน้าที่มาก็พากันหาตัวไอเต๋า สรุปตัวมันกระเด็นข้ามกำแพงไปในบ่อขยะ คอมันไปฟาดกับบานกระจกที่ชาวบ้านเอามาทิ้งไว้ในบ่อขยะ คนขับรถกระบะบอกว่า เขาขับอยู่ดี ๆ แล้วเห็นผู้หญิงวิ่งออกมาตัดหน้ารถ เลยหักหลบมาชนรถไอ้เต๋าที่กำลังขับรถสวนทางมา” เรื่องทั้งหมดก็มีเท่านี้ครับ…
เล่าวันที่ 22 กรกฎาคม **2566**
โฆษณา