22 พ.ย. 2023 เวลา 06:56 • หุ้น & เศรษฐกิจ

`เอสซีจี เดคคอร์ (SCGD)` ประกาศช่วงราคาไอพีโอ 11.20 -11.50 บ./หุ้น พร้อมเทรดสิ้นปีนี้

นายสรวิศ ไกรฤกษ์ กรรมการผู้จัดการสายงานวาณิชธนกิจ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) บัวหลวง จำกัด ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงินและผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย ที่ได้รับการแต่งตั้งจากบริษัทเอสซีจี เดคคอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ SCGD เปิดเผยว่า ตั้งแต่ 1 พ.ย. 66 เป็นต้นมา
SCGD ได้เริ่มทำคำเสนอซื้อหุ้นทั้งหมดของบริษัทเอสซีจี เซรามิกส์ จำกัด (มหาชน) หรือ COTTO ที่ราคา 2.40 บาทต่อหุ้น พร้อมกับชำระค่าตอบแทนเป็นหุ้นสามัญเพิ่มทุนของ SCGD โดยที่ช่วงราคาเสนอขายไอพีโอสุดท้าย ที่ 11.20 – 11.50 บาทต่อหุ้น คิดเป็นช่วงอัตราแลกหุ้นสุดท้ายที่ 4.6667 – 4.7917 หุ้น COTTO ต่อ 1 หุ้น SCGD (กรณีที่มีเศษจะปัดลงทั้งหมด) โดยจะสิ้นสุดในวันที่ 6 ธ.ค. 66
.
โดย SCGD จะเปิดให้ผู้ถือหุ้นของเอสซีจี และผู้ถือหุ้นของ COTTO ที่ได้รับสิทธิ เริ่มทำการจองซื้อหุ้นไอพีโอ ของ SCGD ในวันที่ 29 พ.ย. ถึง 6 ธ.ค. 66 ที่ราคา 11.50 บาทต่อหุ้น ซึ่งเป็นราคาสูงสุดของช่วงราคาเสนอขายไอพีโอสุดท้าย จากนั้นในวันที่ 6 ธ.ค. 66 จะมีการประกาศราคาเสนอขายสุดท้าย ให้ประชาชนทั่วไปซึ่งเป็นนักลงทุนรายย่อยสามารถจองซื้อได้ในวันที่ 8 ธ.ค. และ 12 - 13 ธ.ค.66 และคาดว่าจะสามารถเข้าซื้อขายในตลาดหุ้นได้ช่วงสัปดาห์ที่ 3 ของเดือนธ.ค.66
.
สำหรับสถานการณ์หุ้นไอพีโอที่เข้าซื้อขายในช่วงนี้ติดลบมองว่าไม่น่าเป็นห่วงว่าจะกระทบการเข้าซื้อขายของหุ้น SCGD เนื่องจากการเข้าซื้อขายหุ้นครั้งนี้เป็นการกระจายหุ้น เสมือนการปรับโครงสร้างภายในบริษัท ซึ่งสัดส่วนการถือหุ้น 85-90% เป็นผู้ถือหุ้นในเครืออยู่แล้ว ซึ่งบริษัทฯ เสนอขายหุ้นไอพีโอให้กับบุคคลภายนอกสัดส่วนประมาณ 10% และบริษัทฯ ยังมีศักยภาพในการเติบโต
.
"สภาวะตลาดหุ้นช่วงนี้ที่ไม่ดี ไม่ใช่แค่ไอพีโอ โดยเราไม่เป็นห่วงเพราะเราเข้าซื้อขายเหมือนเป็นการกระจายหุ้น ปรับโครงสร้างใหม่ให้เป็นหนึ่งเดียว ซึ่งจำนวน 85-90% เป็นผู้ถือหุ้นที่เชื่อมั่นเราอยู่แล้ว ทั้ง SCC , COTTO , คู่ค้า และดีลเลอร์ ซึ่งขายให้บุคคลภายนอกสัดส่วนไม่ถึง10% เราจึงไม่กังวล อีกทั้งมองว่าศักยภาพบริษัทมีโอกาสดีขึ้น หลังผ่านจุดต่ำสุดจากปัญหาในเวียดนามไปแล้ว" นายสรวิศกล่าว
.
ด้านนายนำพล มลิชัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ SCGD เปิดเผยว่า บริษัทฯ พร้อมรุกธุรกิจสู่ภูมิภาคอาเซียนซึ่งมีมูลค่าตลาดรวมวัสดุตกแต่งพื้นผิวและสุขภัณฑ์สูงประมาณ 5,200 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 180,000 ล้านบาท โดยมีแผนที่เป็นผู้นำในภูมิภาคอาเซียน
โดยเฉพาะธุรกิจสุขภัณฑ์ซึ่งบริษัทมียอดขายสุขภัณฑ์อันดับ 1 ในไทยและเป็นสินค้าที่มีอัตรากำไรขั้นต้นที่ดี รวมถึงต่อยอดความแข็งแกร่งของธุรกิจตกแต่งพื้นผิวด้วยการขยายตลาดกระเบื้องไวนิล SPC และ LVT ซึ่งเป็นสินค้าทางเลือกใหม่ที่กำลังได้รับความนิยมในเวียดนาม ฟิลิปปินส์ และอินโดนีเซีย
.
"บริษัทฯ ได้ลงทุนสายการผลิตกระเบื้องไวนิล Stone Plastic Composite (SPC) มีกำลังการผลิต 1.8 ล้านตารางเมตรต่อปี ที่โรงงานหินกอง สระบุรี ใช้งบลงทุน 138 ล้านบาท คาดว่าจะแล้วเสร็จกลางปี 67 เพื่อเตรียมขยายตลาดทั้งในประเทศไทยและภูมิภาคอาเซียน พร้อมทั้งเตรียมลงทุนขยายกำลังการผลิตกระเบื้องพอร์ซเลนรวม 6.6 ล้านตารางเมตรต่อปีในพื้นที่ภาคเหนือของเวียดนาม โดยเป็นกำลังการผลิตใหม่ 1.65 ล้านตารางเมตรต่อปี และทดแทนกำลังการผลิตเดิมอีก 4.95 ล้านตารางเมตรต่อปี คาดว่าจะแล้วเสร็จต้นปี 68" นายนำพลกล่าว
.
สำหรับในไตรมาส 3/66 บริษัทฯ ได้เริ่มเดินเครื่องจักรสายการผลิตใหม่ที่โรงงาน Dai Loc ในเวียดนาม มีกำลังการผลิตกระเบื้องเซมิ-เกลซ พอร์ซเลน (Semi- Glazed Porcelain) และกระเบื้องขนาดใหญ่เพิ่มขึ้น 1.38 ล้านตารางเมตรต่อปี นอกจากนี้ยังเตรียมแผนลงทุนโรงงานในพื้นที่ภาคใต้ของเวียดนามเพื่อเพิ่มส่วนแบ่งการตลาดอีกด้วย
ส่วนในประเทศไทยได้เริ่มเดินเครื่องจักรสายการผลิตใหม่ที่โรงงานหนองแค สระบุรี เพื่อผลิตกระเบื้องขนาด 60x60 เซนติเมตร มีกำลังการผลิต 4.32 ล้านตารางเมตรต่อปี คาดว่าจะเพิ่มยอดขายได้มากขึ้นเนื่องจากเป็นขนาดที่นิยมในตลาด
.
ด้านนายสมิทธิ โกสีย์เจริญ ประธานเจ้าหน้าที่สายงานการเงิน SCGD กล่าวถึงภาพรวมผลการดำเนินงานปี 63 - 65 ว่า บริษัทฯ มีรายได้จากการขาย 24,378.6 ล้านบาท 25,937.4 ล้านบาท และ 30,253.8 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 6.4% และ 16.6% จากปีก่อน ตามลำดับ และมีกำไรสุทธิ 1,235.9 ล้านบาท 1,401.9 ล้านบาท และ 1,320.1 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 13.4% และลดลง 5.8% จากปีก่อน ตามลำดับ (หลังปรับปรุงรายการที่ไม่เกิดขึ้นประจำ)
.
ส่วนผลการดำเนินงานภาพรวม 9 เดือนแรก ปี 66 มีรายได้จากการขาย 21,522 ล้านบาท โดยสัดส่วนรายได้หลักมาจากธุรกิจตกแต่งพื้นผิว 77% และสุขภัณฑ์ 18% ส่วนที่เหลืออีก 5% มาจากธุรกิจอื่นๆ และมีกำไรสุทธิ 760 ล้านบาท (หลังปรับปรุงรายการที่ไม่เกิดขึ้นประจำ) ชะลอตัวเล็กน้อยเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากรายได้ที่ลดลงของธุรกิจตกแต่งพื้นผิวในเวียดนามซึ่งได้รับผลกระทบจากวิกฤติอสังหาริมทรัพย์
อย่างไรก็ตาม รายได้จากการขายในไตรมาส 3/2566 เท่ากับ 7,186 ล้านบาท และกำไรสุทธิเท่ากับ 280 ล้านบาท (หลังปรับปรุงรายการที่ไม่เกิดขึ้นประจำ) เพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อนหน้า สะท้อนให้เห็นถึงภาพรวมเศรษฐกิจที่ผ่านจุดต่ำสุดมาแล้วและตลาดมีแนวโน้มที่ดีขึ้นในปีหน้า
.
ทั้งนี้ SCGD เสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนต่อประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO) ซึ่งรวมถึงการเสนอขายแก่ผู้ถือหุ้นเดิมของ COTTO เพื่อแลกหุ้นและเสนอขายแก่ประชาชนทั่วไป ไม่เกิน 439,100,000 หุ้น คิดเป็นไม่เกินร้อยละ 26.61 ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและชำระแล้วทั้งหมดของบริษัทฯ
โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อขยายธุรกิจทั้งการปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิตและดำเนินงาน เพิ่มประสิทธิภาพด้านพลังงาน ชำระเงินกู้ การควบรวมกิจการในอนาคต เป็นเงินทุนหมุนเวียนและปรับโครงสร้างเงินทุน ภายหลังปรับโครงสร้างและเสนอขายไอพีโอแล้วเสร็จ SCGD จะเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ มีผลให้ผู้ถือหุ้น COTTO ที่ตอบรับคำเสนอซื้อหลักทรัพย์กลายเป็นผู้ถือหุ้นของ SCGD
โฆษณา