Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
AdminField
•
ติดตาม
27 พ.ย. 2023 เวลา 12:00 • ประวัติศาสตร์
“กฐิน” กุศลใหญ่ในเวลาอันจำกัด
ตั้งแต่วันแรม 1 ค่ำ เดือน 11 ถึงวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 12 ถือเป็นช่วงเวลาสำคัญในการที่พุทธศาสนิกชน ตลอดจนผู้มีจิตศรัทธาทั้งหลาย จะได้ร่วมกันประกอบการกุศลใหญ่ เพื่อเป็นการจรรโลงพระพุทธศาสนาให้เจริญมั่นคง และสืบทอดวัฒนธรรมอันดีงามนี้ไว้ให้คงอยู่คู่สังคมต่อไป ผ่านประเพณีสำคัญซึ่งมีขอบเขตแห่งระยะเวลาที่จำกัด อย่างการทอดกฐิน
ซึ่งในการนี้ แอดมินได้รวบรวมเรื่องราวต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับ “กฐิน” มอบเป็นวิทยาทานแก่ทุกท่านไว้แล้ว ดังรายการต่อไปนี้ครับ
• ความหมายของกฐิน
กฐิน หมายถึง ไม้สะดึง สำหรับขึงเพื่อตัดเย็บจีวร มีที่มาแต่ครั้งพุทธกาล เมื่อการทำจีวรให้มีรูปทรงตามกำหนดต้องการนั้น ทำได้ยาก จึงต้องใช้สะดึงขึงทำให้เป็นผ้านุ่งหรือผ้าห่มขึ้นมา มีทั้งหมด 3 ผืน ประกอบด้วย สังฆาฏิ (ผ้าทาบ), อุตราสงค์ หรือจีวร (ผ้าห่ม) และอันตรวาสก หรือสบง (ผ้านุ่ง) เรียกรวมกันว่า “ไตรจีวร”
ซึ่งผ้าที่จะทำเป็นผ้ากฐินได้นั้น เป็นได้ทั้งผ้าเก่า ผ้าใหม่ หรือผ้าที่ได้จะการชักบังสุกุล แต่ผ้าเหล่านั้นจะต้องมีพอที่จะทำไตรจีวรผืนใดผืนใดผืนหนึ่ง ซึ่งกฐินสามารถแบ่งออกได้ ดังนี้
1. กฐินหลวง เป็นกฐินที่พระมหากษัตริย์ เสด็จพระราชดำเนินถวายผ้าพระกฐินด้วยพระองค์เอง หรือทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้พระบรมวงศานุวงศ์ เสด็จพระราชดำเนินหรือเสด็จถวายแทนพระองค์ รวมทั้งเป็นกฐินที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้พระบรมวงศานุวงศ์ ราชสกุล องคมนตรี หรือผู้ที่ทรงพระราชดำริเห็นสมควรให้เสด็จฯ แทนพระองค์นำไปถวายยังพระอารามหลวงสำคัญ 16 พระอาราม ที่สงวนไว้ไม่ให้มีการขอพระราชทาน ได้แก่
● วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม เขตพระนคร กรุงเทพมหานคร
● วัดอรุณราชวราราม เขตบางกอกใหญ่ กรุงเทพมหานคร
● วัดราชโอรสาราม เขตจอมทอง กรุงเทพมหานคร
● วัดราชประดิษฐสถิตมหาสีมาราม เขตพระนคร กรุงเทพมหานคร
● วัดเบญจมบพิตรดุสิตวนาราม เขตดุสิต กรุงเทพมหานคร
● วัดบวรนิเวศวิหาร เขตพระนคร กรุงเทพมหานคร
● วัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม เขตพระนคร กรุงเทพมหานคร
● วัดสุทัศนเทพวราราม เขตพระนคร กรุงเทพมหานคร
● วัดเทพศิรินทราวาส เขตป้อมปราบศัตรูพ่าย กรุงเทพมหานคร
● วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์ เขตพระนคร กรุงเทพมหานคร
● วัดราชาธิวาสวิหาร เขตดุสิต กรุงเทพมหานคร
● วัดมกุฏกษัตริยาราม เขตพระนคร กรุงเทพมหานคร
● วัดโสมนัสวิหาร เขตป้อมปราบศัตรูพ่าย กรุงเทพมหานคร
● วัดพระปฐมเจดีย์ อำเภอเมืองนครปฐม จังหวัดนครปฐม
● วัดนิเวศธรรมประวัติ อำเภอบางปะอิน จังหวัดพระนครศรีอยุธยา
● วัดสุวรรณดาราราม อำเภอพระนครศรีอยุธยา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา
● วัดพระศรีรัตนมหาธาตุ อำเภอเมืองพิษณุโลก จังหวัดพิษณุโลก
● วัดพระพุทธบาท อำเภอพระพุทธบาท จังหวัดสระบุรี
2. กฐินต้น เป็นกฐินที่พระมหากษัตริย์ เสด็จพระราชดำเนินไปถวายแด่พระสงฆ์ที่จำพรรษาครบถ้วนไตรมาส ยังวัดราษฎร์ทั่วไปเป็นการส่วนพระองค์ตามพระราชอัธยาศัย ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นวัดตามหัวเมืองที่ทรงพระราชศรัทธา
3. กฐินพระราชทาน เป็นกฐินที่ทางส่วนราชการ องค์กร หรือบุคคลที่สมควร ขอรับพระราชทานอัญเชิญไปถวายยังพระอารามหลวงต่าง ๆ นอกจากพระอารามหลวงที่สำคัญ ซึ่งจะต้องมีการยื่นความจำนงผ่านไปยังกรมการศาสนา กระทรวงวัฒนธรรม
คณะสงฆ์กำลังประกอบพิธีกฐินกรรม ในการพระราชพิธีบำเพ็ญพระราชกุศลถวายผ้าพระกฐิน ประจำปี 2566 ณ วัดบวรนิเวศวิหาร เขตพระนคร กรุงเทพมหานคร เมื่อวันที่ 7 พฤศจิกายน พ.ศ. 2566 (ภาพ: Facebook ของ วัดบวรนิเวศวิหาร)
4. กฐินราษฎร์ เป็นกฐินที่พุทธศาสนิกชนนำไปถวายแด่พระสงฆ์ที่จำพรรษาถ้วนไตรมาส ณ วัดใดวัดหนึ่งที่เป็นวัดราษฎร์ทั่วไป ไม่ใช่พระอารามหลวงที่สงวนไว้
5. กฐินสามัคคี เป็นกฐินที่พุทธศาสนิกชน ตลอดจนผู้มีจิตศรัทธาร่วมไปกันไปถวายยังวัดทั่วไปเป็นเจ้าภาพร่วมกัน
6. กฐินทรงเครื่อง เป็นกฐินที่มีผ้าป่าไปทอดสมทบ เรียกว่า “ผ้าป่าหางกฐิน”
7. กฐินตกค้าง เป็นกฐินที่พุทธศาสนิกชน หรือผู้มีจิตศรัทธานำไปทอดโดยมิได้แจ้งให้ทางวัดทราบล่วงหน้า ผ่านไปพบวัดใดวัดหนึ่ง ซึ่งส่วนใหญ่อยู่ในถิ่นทุรกันดาร ยังไม่มีผู้จองกฐินและจวนจะสิ้นระยะเวลาแล้ว ก็พากันเข้าไปถวายคล้ายกับการที่โจรบุกเข้าปล้น โดยมิให้เจ้าทรัพย์รู้ตัว จึงทำให้บางทีเรียกกฐินตกค้างว่า “กฐินโจร” หรือ “กฐินจร”
ผู้มีจิตศรัทธากำลังร่วมกันแห่ผ้ากฐิน เพื่อนำไปทอดถวายที่วัด (ภาพ: มรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมของชาติ)
• การทอดกฐิน
การทอดกฐิน เรียกอีกหนึ่งว่า “กฐินทาน” หมายถึง การที่ผู้มีจิตศรัทธาหรือแม้แต่พระภิกษุ สามเณร นำผ้าไปถวายแก่พระสงฆ์ผู้จำพรรษาครบถ้วนไตรมาสแล้ว ณ วัดใดวัดหนึ่ง เพื่อทำเป็นผ้ากฐิน เรียกสามัญว่า “ทอดกฐิน” มีความเป็นมาแต่ครั้งพุทธกาล
เมื่อพระภิกษุชาวเมืองปาฐา หรือปาวา หรือปาเฐยยะ จำนวน 30 รูป ได้เดินทางหวังจะมาเข้าเฝ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งประทับอยู่ ณ เชตะวันมหาวิหาร เมืองสาวัตถี พอถึงเมืองสาเกตุ อีก 6 โยชน์ก็จะถึงเมืองสาวัตถีแล้ว แต่ประจวบกับช่วงเข้าพรรษากาล จึงต้องอยู่จำพรรษา ณ เมืองสาเกตุ
ครั้งเมื่ออกพรรษาแล้ว พระภิกษุเหล่านั้นจึงได้รีบเดินทางไปเข้าเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าทันที จึงให้จีวรต้องเปรอะเปื้อนไปด้วยน้ำและโคลนตมระหว่างทาง เมื่อพระภิกษุเหล่านั้นได้เข้าเฝ้าแล้ว พระพุทธองค์ได้ทรงทราบถึงความลำบากนั้น จึงทรงยกเป็นเหตุให้มีการกรานกฐินขึ้นตามพระพุทธานุญาต ภายในระยะเวลาภายหลังวันออกพรรษาแล้ว 1 เดือน ตั้งแต่วันแรม 1 ค่ำ เดือน 11 ถึงวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 12
อนึ่ง นอกจากผ้ากฐินแล้ว ก็นิยมมีของถวายอื่น ๆ อีกด้วยจำนวนมาก เรียกว่า บริวารกฐิน หรือมีบ้างก็เรียกว่า เครื่องบริขารกฐิน โดยข้าวของส่วนใหญ่เป็นสิ่งที่ใช้ในชีวิตประจำวัน รวมถึงอุปกรณ์ก่อสร้าง เช่น ขวาน สิ่ว ก็เป็นสิ่งที่รวมอยู่ในบริวารกฐินด้วย เนื่องจากการดูแลรักษาและบูรณปฏิสังขรณ์ปูชนียวัตถุสถาน รวมถึงเสนาสนะต่าง ๆ ภายในพระอาราม ถือเป็นกิจของสงฆ์ที่พึงปฏิบัติอย่างหนึ่ง
ผ้าพระกฐิน พร้อมด้วยเครื่องบริวารกฐิน ขี้ผึ้งชนวน และเทียนชนวนสำหรับพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงจุดธูปเทียนที่เครื่องนมัสการบูชาพระพุทธปฏิมาประธาน ในการพระราชพิธีบำเพ็ญพระราชกุศลถวายผ้าพระกฐิน ประจำปี 2566 ณ วัดบวรนิเวศวิหาร เขตพระนคร กรุงเทพมหานคร เมื่อวันที่ 7 พฤศจิกายน พ.ศ. 2566 (ภาพ: Facebook ของ วัดบวรนิเวศวิหาร)
การทอดกฐิน มี 2 ลักษณะ คือ
1. จุลกฐิน เป็นกิจกรรมสำคัญที่ทุกฝ่ายจะต้องช่วยกันทำให้แล้วเสร็จภายในกำหนดวันหนึ่ง นับตั้งแต่การเก็บฝ้าย ปั่นฝ้าย กรอ ทอ ตัด เย็บ ย้อม ทำให้เป็นขันฑ์ ได้ขนาดตามวินัย แล้วทอดถวายให้แล้วเสร็จในวันนั้น
2. มหากฐิน เป็นการจัดหาผ้ามาเป็นองค์กฐิน พร้อมทั้งเครื่องไทยธรรม บริวารเครื่องกฐินจำนวนมาก ไม่ต้องทำโดยรีบด่วน เพื่อจะได้มีส่วนหาทุนในการบำรุงวัด เช่น การบูรณะซ่อมแซมศาสนสถานภายในวัด
• การกรานกฐิน
การกรานกฐิน หรือเขียนในบางครั้งว่า “กราลกฐิน” หมายถึง การขึงไม้สะดึง คือ การเอาผ้าที่จะเย็บเป็นจีวรเข้าขึงที่ไม้สะดึง ซึ่งในด้านการประกอบพิธีนั้น พระสงฆ์ผู้จำพรรษาครบถ้วนไตรมาสในวัดเดียวกันจำนวน 5 รูปขึ้นไป ทำการประชุมกันมีมติมอบผ้าที่หามาได้ หรือได้รับมาโดยวิธีการที่ถูกต้องให้แก่พระภิกษุรูปหนึ่งรูปใดในคณะของตน
รับแล้วก็ให้นำผ้าไปทำการตัด เย็บ ย้อม เป็นจีวรผืนใดผืนหนึ่งใน 3 ผืนให้เสร็จเรียบร้อยภายในวันเดียวนั้น แล้วมาแจ้งยังที่ประชุมให้รับทราบ เพื่อให้ที่ประชุมนั้นได้ร่วมกันอนุโมทนา คือให้ความเห็นชอบแล้ว ก็เป็นอันเสร็จพิธี
พระธรรมวชิรญาณ (จิรพล อธิจิตฺโต) เจ้าอาวาสวัดบวรนิเวศวิหาร ทำการกรานกฐิน ภายหลังพระราชพิธีบำเพ็ญพระราชกุศลถวายผ้าพระกฐิน ประจำปี 2566 ณ ตำหนักเพ็ชร วัดบวรนิเวศวิหาร เขตพระนคร กรุงเทพมหานคร เมื่อวันที่ 7 พฤศจิกายน พ.ศ. 2566 (ภาพ: Facebook ของ วัดบวรนิเวศวิหาร)
• ผ้าขาวกรานกฐิน
แต่เดิมการกรานกฐินของพระภิกษุ เป็นการนำผ้าที่มาจากพุทธศาสนิกชน หรือผู้มีจิตศรัทธาถวายมาทำการกราน หากแต่ไม่ตรงตามพระบาลีที่ให้ทำตั้งแต่ซัก กะ ตัด ถึงเย็บ ย้อมให้เสร็จในวันนั้น ดังนั้น เมื่อสมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้ามกุฎสมมติวงศ์ พระวชิรญาณมหาเถร เสด็จมาครองวัดบวรนิเวศวิหารแล้ว จึงได้ทรงตั้งธรรมเนียมการกรานกฐินแบบธรรมยุตขึ้น
โดยเมื่อรับผ้าพระกฐินจากพระมหากษัตริย์แล้ว ให้นำผ้าไตรพระกฐินนั้นมาเลาะออกเป็นท่อนผ้าแล้วกะ ตัด เป็นจีวร หรือสบง เย็บ ย้อม ให้เสร็จในวันนั้น แล้วจึงทำพิธีอีกครั้งหนึ่ง ต่อมาเมื่อสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์ ทรงครองวัดบวรนิเวศวิหาร จึงได้มีการเพิ่มผ้าขาวกำกับไปกับไตรจีวรในชุดผ้าพระกฐินนั้น (หากเป็นการเสด็จพระราชดำเนินถวายผ้าพระกฐินก็จะมีการจัดผ้าสำหรับห่มถวายพระพุทธปฏิมาประธานวางไว้เหนือผ้าพระกฐินอีกชั้นหนึ่งด้วย)
วิธีรับผ้าพระกฐินงดการกรานหน้าพระที่นั่งไว้ ใช้ผ้าขาวตัดเป็นผ้ากฐิน เสร็จแล้วจึงกรานและอนุโมทนา ใช้เป็นธรรมเนียมสืบมาในวัดธรรมยุตทั้งปวง
โดยผ้าขาวผ้ากฐินต้องทำการซักน้ำก่อน แล้วสะบัดให้แห้ง จึงตัดเป็นสบง จีวร หรือสังฆาฏิ (ซึ่งในส่วนของวัดราชประดิษฐสถิตมหาสีมารามเป็นสังฆาฎิ) แล้วต้องนำไปถวายเจ้าอาวาสหรือพระผู้ครองกฐิน เย็บหรือเนาให้ติดต่อกันก่อนพอเป็นพิธีอย่างน้อย 7 – 9 ผุด ต่อไปให้ผู้อื่นจึงเย็บจนเสร็จ แล้วจึงจัดการย้อมให้ได้สีตามพระวินัย ก่อนนำไปในที่ชุมนุมสงฆ์ประกอบพิธีกรานกฐินและอนุโมทนาต่อไป เป็นอันเสร็จพิธี
ชุดผ้าพระกฐิน ประกอบด้วย ไตรจีวร, ผ้าขาว, แผ่นคำกล่าวถวายผ้าพระกฐิน และผ้าสำหรับห่มถวายพระพุทธปฏิมาประธาน (ภาพ: Facebook ของ กรมการศาสนา)
• การเดาะกฐิน
การเดาะกฐิน เรียกอีกหนึ่งว่า “กฐินเดาะ” หมายถึง กรอบไม้สะดึงหัก คือ การที่ไม้สะดึงไม่สามารถใช้ทำจีวรได้อีกต่อไป ในทางสงฆ์ หมายถึง การทอดกฐินไม่เป็นผลสำเร็จ หรือไม่ถูกต้องตามหลักพระธรรมวินัย ซึ่งเหตุที่ทำให้กฐินเดาะ มีอยู่ 8 ประการด้วยกัน คือ
1. กำหนดด้วยหลีกไป
2. กำหนดด้วยทำจีวรเสร็จ
3. กำหนดด้วยตกลงใจ
4. กำหนดด้วยผ้าเสียหาย
5. กำหนดด้วยได้ทราบข่าว
6. กำหนดด้วยสิ้นหวัง
7. กำหนดด้วยล่วงเขต
8. กำหนดด้วยเดาะพร้อมกัน
• ธงกฐิน
เมื่อถึงฤดูกาลทอดกฐิน หากเป็นวัดราษฎร์ตามต่างจังหวัดทั่วไปก็จะมีการแขวนธงที่เรียกว่า “ธงกฐิน” ซึ่งมีทั้งธงรูปจระเข้คาบดอกบัว ธงรูปนางมัจฉาพนมมือถือดอกบัว ธงรูปตะขาบคาบดอกไม้ และธงรูปเต่า ประดับไว้เพื่อสื่อเป็นสัญลักษณ์ ซึ่งในทางพระพุทธศาสนาไม่มีหลักฐานปรากฏถึงความหมายและที่มาของธงเหล่านั้น แต่กลับปรากฏเป็นเรื่องเล่าขานสือต่อกันมาหลายแนวทางด้วยกัน
เรื่องแรก ในสมัยโบราณ การเดินต้องอาศัยดวงดาว เช่น ยกทัพเคลื่อนขบวนในตอนจวนจะสว่างต้องอาศัยดาวจระเข้ การทอดกฐินนั้นบางครั้งต้องไปทอด ณ วัดซึ่งอยู่ไกลบ้าน ดังนั้นการดูเวลาจึงต้องอาศัยดวงดาว เมื่อดาวจระเข้ขึ้นก็เคลื่อนองค์กฐินไปสว่างที่วัดพอดี
เรื่องต่อมา เป็นนิทานโบราณที่เล่าว่า ในการแห่กฐินทางเรือของอุบาสกผู้หนึ่ง มีจระเข้ตัวหนึ่งอยากได้บุญจึงว่ายน้ำตามเรือไป แต่ยังไม่ทันถึงวัดก็หมดแรง ว่ายต่อไปไม่ไหว จึงร้องบอกว่า ตนเหนื่อยแล้ว ไม่สามารถจะว่ายตามไปร่วมกองกุศลได้ ขอให้ช่วยเขียนรูปตัวเอง เพื่อเป็นสักขีพยานว่าได้ไปร่วมการกุศลนั้นด้วย อุบาสกผู้นั้นจึงเขียนรูปจระเข้ยกเป็นธงขึ้นในวัด
นอกจากนั้น ยังมีเรื่องเล่าอีกเรื่องหนึ่งที่ว่า ในอดีตกาล มีเศรษฐีตระหนี่ถี่เหนียวผู้หนึ่ง ตอนยังมีชีวิตอยู่ ไม่เคยคิดทำบุญ สร้างกุศลใดเลย เพราะมัวแต่หา มัวแต่เก็บเงินใส่ไห ใส่ตุ่ม แล้วไปฝังไว้ที่ริมฝั่งแม่น้ำ เมื่อตายไป ด้วยความห่วงสมบัติจึงไปเกิดเป็นจระเข้เฝ้าสมบัติอยู่แถวนั้น นานเข้าก็มาเข้าฝันญาติให้มาขุดเอาเงินไปทำบุญให้ จะทอดกฐินหรือผ้าป่าก็ได้ ญาติจึงนำเงินนั้นไปทอดกฐิน
ในสมัยก่อนมักมีการแห่กฐินทางเรือ จระเข้ตัวนั้นจึงว่ายตามเรือตามกองกฐินไป เมื่อทอดกฐินเสร็จ ญาติก็อุทิศส่วนกุศลให้โดยบอกให้จระเข้รู้ว่าได้นำเงินมาทอดกฐินถวายให้พระแล้ว จระเข้ก็โผล่ขึ้นมา ครั้นพระอนุโมทนาให้พรจบ จระเข้ตัวนั้นก็จมน้ำหายไป
รวมถึงยังมีอีกเรื่องราวหนึ่ง ซึ่งได้เล่าไปเหมือนดังเรื่องราวข้างต้น หากแต่มีการเพิ่มเติมตรงที่มีการเชื่อมโยงไปถึงธงรูปนางมัจฉาพนมมือถือดอกบัวที่ว่า เป็นภรรยาของเศรษฐีผู้นั้น โดยเมื่อยังมีชีวิตอยู่เป็นผู้ที่ใจบุญสุนทานเป็นอย่างมาก เมื่อตายไปจึงได้เกิดเป็นนางฟ้า จึงทำให้ธงรูปนางมัจฉานั้น ถูกมองว่าเป็นรูปของนางฟ้านางสวรรค์ในอีกทางหนึ่งด้วยนั่นเอง
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ได้มีนักปราชญ์ให้ความหมายธงแต่ละผืนไว้ดังนี้ว่า
1. ธงรูปจระเข้คาบดอกบัว สามารถแปลได้ถึง 2 ความหมายกัน ได้แก่ ความหมายที่ 1 หมายถึง ความโลภ โดยปกติแล้วจระเข้เป็นสัตว์ครึ่งน้ำครึ่งน้ำ ในบางช่วงจะขึ้นมานอนอ้าปากบนบก ให้แมลงวันบินเข้ามาตอมอยู่ในปาก เมื่อแมลงวันเข้าไปรวมกันอยู่หลายตัว จึงได้งับปากเอาแมลงวันเป็นอาหาร เปรียบเหมือนคนที่มีความโลภ มีความรู้สึกดีแต่จะเอาให้ได้อย่างเดียว ไม่คำนึงว่าสิ่งที่ได้มานั้นแปดเปื้อนไปด้วยความไม่ดีไม่งาม หรืออกุศล หรือไม่ใส่ใจว่าผู้อื่นจะได้รับผลอย่างไรจากการกระทำของตน
และความหมายที่ 2 หมายถึง การร่วมอนุโมทนายินดีในการร่วมกุศล สอดคล้องกับตำนานเศรษฐีที่เกิดเป็นจระเข้ว่ายน้ำตามขบวนกฐินจนขาดใจตาย ซึ่งญาติโยมทั้งหลายที่เดินผ่านไปมา เห็นเข้าก็จะยกมือไหว้อนุโมทนาสาธุ
2. ธงรูปนางมัจฉาพนมมือถือดอกบัว สามารถแปลได้ถึง 2 ความหมาย ได้แก่ ความหมายที่ 1 หมายถึง จะเป็นผู้ที่มีรูปงาม อันเกิดจากอานิสงส์ในการถวายผ้ากฐินแด่พระภิกษุ และความหมายที่ 2 หมายถึง ความหลง ซึ่งสะท้อนถึงเสน่ห์แห่งความงาม ที่ชวนให้หลงใหล ให้เคลิบเคลิ้ม
3. ธงรูปตะขาบคาบดอกไม้ หมายถึง สามารถแปลได้ถึง 2 ความหมาย ได้แก่ ความหมายที่ 1 หมายถึง ความโกรธ ซึ่งสะท้อนให้เห็นสภาพสัตว์มีพิษ พิษที่เผ็ดร้อน เหมือนความโกรธ ที่แผดเผาจิตใจคน และความหมายที่ 2 หมายถึง การที่วัดนี้ได้มีผู้มาจองกฐินแล้ว เพื่อให้ผู้จะมาปวารณาทอดกฐินผ่านไปวัดอื่น ไม่ต้องเสียเวลามาถาม
4. ธงรูปเต่า สามารถแปลได้ 2 ความหมาย ได้แก่ ความหมายที่ 1 หมายถึง สติ ที่คอยระวังรักษา อายตนะทั้ง 6 (ตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจ) ซึ่งสะท้อนถึงเต่าที่มีกระดองแข็งคอยคุ้มกันป้องกันภัยเมื่อรู้ว่ามีภัยก็จะหดอวัยวะ ซ่อนในกระดองทันที และความหมายที่ 2 หมายถึง การที่วัดนี้ได้ทำการทอดกฐินเสร็จสิ้นเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
ธงกฐิน ประกอบด้วย ธงรูปจระเข้คาบดอกบัว ธงรูปนางมัจฉาพนมมือถือดอกบัว ธงรูปตะขาบคาบดอกไม้ และธงรูปเต่า ประดับไว้เพื่อสื่อเป็นสัญลักษณ์ในงานทอดกฐิน (ภาพ: สยามรัฐ)
จากเรื่องเล่าต่าง ๆ ตลอดจนความหมายในข้างต้น จึงได้มีผู้คิดทำธงกฐินขึ้น ในชั้นต้นคาดว่าทำเป็นธงทิว เพื่อประดับประดาให้สวยงาม ทั้งที่องค์กฐินและบริเวณวัด ภายหลังคาดว่าคงให้เป็นเครื่องหมายเนื่องด้วยการกฐิน จึงคิดทำเป็นธงขึ้น เสมือนเป็นการประกาศให้ทราบโดยทั่วกันว่าวัดนี้ได้ทำการทอดกฐินเป็นที่เรียบร้อย แล้วธงทุกผืนจะมีการลดลงในวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 12 อันเป็นสุดเขตของกฐินกาลในปีนั้น ๆ
• อานิสงส์จากการทอดกฐิน
การทอดกฐิน ถือเป็นกาลทานอย่างหนึ่ง คือ ทานที่ให้ได้เป็นครั้งคราวภายในระยะเวลาที่กำหนด ยังเป็นทานที่มิได้มีการถวายแด่พระภิกษุรูปใดเป็นจำเพาะโดยส่วนตัว แต่จะมีการทอดถวายไว้ท่ามกลางที่ชุมนุมสงฆ์ จึงถือเป็นสังฆทานที่จะได้รับอานิสงส์อย่างมากทั้งแก่พระภิกษุสงฆ์ผู้ได้รับครองผ้ากฐิน และผู้ทอดกฐิน ดังนี้
1. อานิสงส์สำหรับพระภิกษุผู้กรานกฐิน ได้แก่
- เดินทางไปที่แห่งใดไม่ต้องบอกลาพระภิกษุด้วยกัน แต่ตามธรรมเนียมสำหรับพระสายปฏิบัติแล้ว หากจะเดินทางไปที่แห่งใดก็ตาม ต้องมีกราบลาครูบาอาจารย์เสมอ
- อยู่ปราศจากไตรจีวร (สังฆาฏิ, จีวร และสบง) คือ จะเก็บผ้าผืนใดผืนหนึ่งไว้ในที่อยู่ถาวร ซึ่งเป็นที่ปลอดภัยได้ เช่น กุฏิที่มีประตูหน้าต่างใส่กุญแจ
- ฉันอาหารแบบนั่งล้อมวงกันได้
- เก็บจีวรที่เป็นส่วนเกินจากไตรจีวรไว้ใช้ได้ตามปรารถนา
- จีวรที่เกิดขึ้นในที่นั้น เช่น จีวรของพระภิกษุผู้มรณภาพ จีวรที่เข้าถวายแก่สงฆ์ หรือจีวรที่เกิดขึ้นแก่พระภิกษุด้วยอาการใด ๆ ให้จีวรนั้นจะเป็นของพระภิกษุผู้ที่กรานกฐินแล้วในอาวาสหรือวัดนั้นเท่านั้น
2. อานิสงส์สำหรับผู้ทอดผ้ากฐิน ได้แก่
- เป็นผู้ที่บริบูรณ์ด้วยทรัพย์สมบัติ
- เป็นผู้ที่มีอายุยืน
- เป็นผู้ที่จะไม่ถูกวางยาพิษให้เป็นอันตรายถึงชีวิต
- เป็นผู้ที่มีทรัพย์สมบัติแล้ว จะไม่เป็นอันตรายด้วยโจรภัยหรืออัคคีภัย
- จะได้เป็นเอหิภิกขุ คือ ผู้ที่ได้รับการอุปสมบทจากพระพุทธเจ้าโดยตรง ด้วยวิธีบวชที่เรียกว่า “เอหิภิกขุอุปสัมปทา” ในอนาคตกาล
• ความเชื่อเกี่ยวกับการทอดกฐิน
ไม่ว่าจะวัฒนธรรมประเพณีใดในสังคมไทยก็ตาม นอกจากที่มาและคุณค่าทั้งหลายแล้ว ความเชื่อก็เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่ควบคู่ตามกันมา ในแต่ละความเชื่อส่วนใหญ่เป็นสิ่งที่คนสมัยโบราณเขาเชื่อตาม ๆ กันมา บางความเชื่ออาจมีความเป็นเหตุเป็นผลกัน บางความเชื่อก็อาจจะไม่ ซึ่งการทอดกฐิน ถือเป็นการทำบุญใหญ่ ได้อานิสงส์แรง ดังนั้น จึงมีความเชื่อที่ว่า อายุยังน้อยหรือจองกฐินเพียงเจ้าภาพเดียว คนเดียวแล้วจะอายุสั้น หรือจากไปก่อนวัยอันควร
ซึ่งในเรื่องนี้ ไม่มีหลักฐานแน่ชัดที่สามารถยืนยันได้ว่าจริงหรือไม่จริง แม้จะมีผู้ที่ออกมาบอกเล่าเพื่อยืนยันในความเชื่อดังกล่าวก็ตาม แต่ถ้ามองเรื่องของความเชื่อตามแนวทางของพระพุทธศาสนาแล้ว การที่ท่านจะทำการทอดกฐินเพียงคนเดียว หรือเจ้าภาพเดียวนั้น ก็สุดแท้แต่กำลังศรัทธาและกำลังทรัพย์ของแต่ละคนมี ในทางกลับกัน หากมีวัดใดวัดหนึ่งมาขอให้ท่านเป็นเจ้าภาพ โดยปราศจากความศรัทธาทั้งปวงแล้ว การทอดกฐินเช่นนั้นจึงถือเป็นอันตกไป ใช่ไม่ได้ ซ้ำยังเป็นการไม่ต้องด้วยพระธรรมวินัยอีก
ประกอบกับพระพุทธเจ้าได้ทรงสอนอยู่เสมอถึงเรื่องของธรรมชาติแห่งชีวิต แม้กระทั่งตอนก่อนที่พระองค์จะเสด็จดับขันธปรินิพพาน ก็ได้ตรัสไว้ดังนี้
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
บัดนี้ เราขอเตือนพวกเธอว่า สังขารทั้งหลายมีความเสื่อมไปเป็นธรรมดา
พวกเธอจงยังความไม่ประมาทให้ถึงพร้อมเถิด ฯ
ดังนั้นการที่กล่าวว่า อายุยังน้อยหรือจองกฐินเพียงเจ้าภาพเดียว คนเดียวแล้วจะอายุสั้น หรือจากไปก่อนวัยอันควร จึง “ไม่เกี่ยวกัน” เพราะขึ้นชื่อว่าบุญแล้ว ใครทำคนนั้นย่อมได้ ประกอบกับความตาย เป็นเรื่องที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้อยู่แล้ว แม้ว่าเราจะคอยประคับประคับ บำรุงรักษาตนให้ดีมากเพียงใดก็ตาม แต่เมื่อเวลาผ่านไป ทุกสิ่งทุกอย่างในโลกล้วนมีเกิดขึ้น ตั้งอยู่และดับไปเป็นธรรมดา
เพราะฉะนั้น การที่ท่านไม่ว่าจะอายุน้อย อายุมาก แล้วอยากจะเป็น หรืออยากจะทอดกฐินเพียงแค่คนเดียว หรือเจ้าภาพเดียว หรือจะทำกันเป็นหมู่คณะก็ตามที ก็จงทำไปตามกำลังศรัทธาและกำลังทรัพย์ของตนมี แต่ต้องทำอย่างพอประมาณ ไม่เป็นที่เดือดร้อนแก่ผู้ใด และจงยังตนในชีวิตที่เหลืออยู่ ทำคุณประโยชน์ต่อทุกสรรพสิ่งและไม่เป็นผู้ประมาทอย่างสม่ำเสมอ เพราะผู้ประมาท เหมือนคนที่ตายแล้ว ดังพุทธภาษิตที่ว่า
ตสฺมา อิธ ชีวิตเสเส กิจฺจกโร สิยา นโร น จ มชฺเช
เพราะฉะนั้น ในชีวิตที่เหลืออยู่นี้ ทุกคนควรกระทำกิจหน้าที่
และไม่พึงประมาท
ด้วยประการฉะนี้ฯ
อ้างอิง:
●
กฐินสู่ธรรม โดย วัดญาณเวศกวัน (
https://www.watnyanaves.net/en/book-reading/3/4?fbclid=IwAR1Jd1nWWU3IQyknV4Nmqwgs4mAkGezziLPh5shsreqTurtx-Uz-FO04GPA
)
●
กฐินหลวง กฐินราษฎร์ 18 พระอารามหลวงสำคัญ สงวนไว้พระเจ้าแผ่นดิน โดย สยามรัฐ (
https://siamrath.co.th/n/186990?fbclid=IwAR2DjEeWAqqfKsYRaMJT8ljhUSUGwrCZ4Wc4t923sdpbvL3Pro4o0WStkbo
)
●
การทอดกฐิน โดย ระบบฐานข้อมูลพระกฐินพระราชทาน กรมการศาสนา กระทรวงวัฒนธรรม (
https://katin.dra.go.th/history/index?fbclid=IwAR3hzicYnmjKEJpMrV_6TCiJzv-M7OzWMYDSQlOSRraaf73jkmitunBZr1w
)
●
ทำไม ผ้าพระกฐินจึงมีผ้าขาวพับกำกับไปกับไตรด้วย ? โดย ธรรมจักร (
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?t=48485
)
●
ปริศนาธรรมของธงกฐิน โดย ส่วนธรรมนิเทศ สำนักส่งเสริมพระพุทธศาสนาและบริการสังคม มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณรารวิทยาลัย (
https://dcd.mcu.ac.th/?p=1730&fbclid=IwAR3-_VFO2kLGCQdAp7NsPsMS2Wa3yR8rKPaDetchkKf_9i1fLVMZaq4WsBw
)
●
พจนานุกรมพุทธศาสน์ ฉบับประมวลศัพท์ พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ. ปยุตฺโต) โดย 84000 พระธรรมขันธ์ (
https://84000.org/tipitaka/dic/v_seek.php?text=%25A1%25B0%25D4%25B9&original=1&fbclid=IwAR1AmrYnob00DTm_R31xJiU48hagktjnVI_9-TFY4IVOM9hPO0R_BRTMsv0
)
●
มีใครเคยได้ยินคำโบราณเตือนอย่างนี้ไหม "อายุยังน้อยเป็นเจ้าภาพกฐินไม่ได้จะตายเร็ว" โดย พันทิป (
https://pantip.com/topic/39327829?fbclid=IwAR3LeUI9N-9wX08U7iauVRGoymhYruRdFq91YnP4bhW15M5DZ3hOenvcODw
)
●
รูป "จระเข้-มัจฉา-เต่า" ฯ ปริศนาธรรมในธงกฐิน โดย สยามรัฐ (
https://siamrath.co.th/n/110166?fbclid=IwAR170-mHEi20wmDZO0CHWwzEWfg7NKwuYc6cATC23yc-zw6Y6bDO-BfNCaw
)
●
เรื่องกฐินเดาะด้วยมาติกา ๘ ข้อ พระไตรปิฎก ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย โดย 84000 พระธรรมขันธ์ (
https://84000.org/tipitaka/read/m_siri.php?B=05&siri=29&fbclid=IwAR1q2gnlT5cZw4uXFl--qIswEUa85hTZWrCyGXQ2IhbOjo57Ejgd4xlVuS4
)
●
สาระน่ารู้-กฐิน โดย ดาว อิ่มพัฒน์ (
https://rajanukul.go.th/new/_admin/download/review0001070.pdf?fbclid=IwAR3-_VFO2kLGCQdAp7NsPsMS2Wa3yR8rKPaDetchkKf_9i1fLVMZaq4WsBw
)
#AdminField #ชอบเล่าชอบแชร์แต่ไม่ชอบเป็นคนดีย์
#กฐิน
กฐินพระราชทาน
พระพุทธศาสนา
บันทึก
1
2
2
1
2
2
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย