24 พ.ย. 2023 เวลา 10:27 • ดนตรี เพลง

[รีวิวอัลบั้ม] Words - The Darkest Romance

ไม่แน่ใจว่าเคยลงบทความในช่องทางนี้แล้วรึยัง นี่คือรีวิวที่ผมเขียนไว้ตั้งแต่ปี 2020 เพื่อต้อนรับการกลับมาในอัลบั้ม Sentence มาทบทวนความทรงจำกันหน่อยครับ หากใครยังไม่ได้ฟังอัลบั้มนี้เลย ผมขอแนะนำให้ฟัง Words ก่อนที่จะฟัง Sentence ซึ่งถือว่าจำเป็นครับ
-รู้สึกโชคดีมากๆที่ได้ค้นพบอัลบั้มทรงคุณค่าที่สามารถพาผมดำดิ่งไปสู่การสำรวจจิตใจของตัวเองและเพื่อนมนุษย์ได้ครบวนลูป แถมเข้าใจง่ายโดยไม่ต้องไปควานหาหลักการปรัชญามาเชื่อมโยงกับสิ่งที่ศิลปินต้องการจะสื่อ ถึงจำนวนแทร็คเทียบเท่ากับอีพีอัลบั้มก็ตาม ความยาวแต่ละเพลงก็ใช่ย่อย ขั้นต่ำเพลงละ 10 นาที ฟังดูบ้ามากๆ ขนาดคนธรรมดาอย่างเรา
-รีวิวเพลงตั้งเยอะ แค่ 7 นาทีแม่งก็บ่นแล้ว แต่นี่คือ 10 นาทีที่ครบทุกรส สัตว์จริงทุกอณู ไม่มีความยืดยาด ไม่มีการย้ำบีทย้ำคอร์ดให้ได้เห็น โทนเพลงแต่ละห้องบิดพริ้วไม่มีกั๊ก ค่อยๆไต่ระดับความเดือด พีคขึ้นเรื่อยๆ ความรู้สึกไม่ต่างจากการขึ้นรถไฟเหาะประมาณ 5 รอบย่อมได้ โดยแต่ละรอบมีความโหดขึ้นเรื่อยๆ เหนื่อยแต่ก็ไม่อยากละทิ้งกลางทาง กลัวไม่ต่อเนื่อง
-ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมวงทิ้งช่วงนานถึง 5 ปี วงต้องคิดแล้วคิดอีกพอสมควร จนออกมาสอดประสานจิ๊กซอว์แทร็คต่อแทร็คได้ครบครัน ขยายภาพ mastermind ได้แหล่มแจ่มชัด หายากเหมือนกันครับที่จะเจอผลงานระดับมหากาพย์แบบนี้ และมันเกิดขึ้นแล้วกับวงเมทัลลูกผสมสัญชาติไทยเสียด้วย
เนื่องด้วยเพลงความยาว 10 นาที ความไม่บันยะบันยังทางดนตรี แทบจะไม่เข้าคุณสมบัติเพลงตลาดหรือเพลงตามคลื่นวิทยุเลยแม้แต่น้อย อีกทั้งผลงานเพลงเก่าของพวกเขาก็โหดแบบงานใต้ดินด้วย พวกเขาไม่ใช่วงที่ทำเพลงเอาใจตลาด TDR จึงเป็นวงที่เกิดมาเพื่อสายฟังเพลงเป็นอัลบั้มโดยเฉพาะ
-พวกเขาไม่ใช่วงประเภทที่ปล่อยเพลงชิมลางเอาใจสายแมสเพื่อกลับเข้าไปค้นหาเพลงเก่าๆของพวกเขาอย่างแน่นอน นับว่าเป็นสัญญาณที่ดีเหมือนกันที่ค่ายเพลงขึ้นชื่อถึงความตลาดจ๋าเช่นนี้จะเปิดกว้างรับวงจำพวกนี้ แถมเปิดโอกาสให้วงมีอิสระอย่างเต็มที่โดยที่ไม่ต้องสูญเสียตัวตนแต่อย่างใด เพียงแค่โปรดักชั่นของพวกเขาอัพเกรดขึ้นมาก็เท่านั้น
-TDR ประกอบด้วย แม็ก–ธิติวัฒน์ รองทอง (ร้องนำ, เบส), ซีเกม–ธณัตชัย เหลือรักษ์ (กลอง), ก้อง–ก้องอุดม ใจทัศน์กุล (กีตาร์) และ เต้–ปัฏฐสิทธิ์ ห้วยห้อง (กีตาร์) ซึ่งคนหลังเคยเป็นสมาชิกวง Lasthoper เปลี่ยนจาก “ป็อป” มือกีตาร์จากชุดที่แล้ว เปลี่ยนทั้งคนทั้งค่ายก็ไม่ทำให้อุดมการณ์ของวงแปรเปลี่ยนไปได้ จากการที่ผมได้ลองไปฟังผลงานเก่าๆที่ยังมีอยู่ในสตรีมมิ่ง ไม่ว่าจะเป็น “คู่” และ Lessons พวกเขาเอาจริงเอาจังกับการทำ conceptual album มากพอสมควร
-สำหรับ Words แล้วก็พลางนึกถึงประโยค “คำง่ายๆ แต่ความหมายสุดลึกล้ำ” ในเพลง “ยาพิษ” ของ Bodyslam ซะเหลือเกิน พวกเขานำพาคำง่ายๆทั้ง 5 คำ 5 “ความ...” เหล่านั้นไปไกลเกินกว่าคำนิยามในพจนานุกรม มันเป็นความลึกล้ำที่เต็มไปด้วยความทะเยอทะยานแรงกล้าในการนำเสนอแบบขยาย scope ระดับจุลภาคไปจนถึงมหภาค โดยที่ไม่มีประเด็นทางสังคมมาผสมเลยซักนิด
-ส่วนนึงมาจากการไม่จำกัดภาคดนตรีไว้ที่แค่กีตาร์ไฟฟ้า เบส กลอง หรือ synthesizer ตามเมทัลยุคสมัยนิยม พวกเขาเล่นใหญ่ด้วยการนำเข้าวงออเครสตร้า คณะประสานเสียงมาเสริมทัพเพื่อถ่าง scope เพลงให้มีความ cinematic ให้พรีเมี่ยมยิ่งกว่าเดิม เห็นภูมิหลังของสมาชิกวงนี่ไม่แปลกใจเลยว่า ดีเอ็นเอลูกพระบิดาแห่งรั้วมหิดลแม่งเต็มเปี่ยมจริงๆ
#ความรับผิดชอบ (Responsibility) แทร็คเปิดอัลบั้มให้ความรู้สึก morning song ที่ไม่สว่างไสว แต่ alert คนฟังในเช้าวันทำงานอันแสนเซ็งเคร็งด้วยความเหนื่อยหน่ายของระบบการทำงานทั้งหลายที่เร่งรัดบีบคั้นหัวใจ จนเราเองก็สับสนว่า การใช้ชีวิตแท้จริงของพวกเราคือการต้องทำงาน เพื่อเป้าหมายของใครบางคนหรอวะ ?
-เปิดเพลงอย่างล้ำนึกว่าวงร็อครุ่นใหม่ที่ใช้ turntable แล้วโหมกระหน่ำเมทัลชวนโยกหัว พร้อมกับการตะโกนอย่างกระแทกกระทั้น “ทำไป ทำไป ทำไป แรงยังมีก็ทำไป ทำไป ทำไป”เหมือนโดนพี่ว๊ากมาตะโกนใส่ตอนรับน้องประชุมเชียร์เอามากๆ มาพร้อมกับการตั้งคำถามมากมายในชีวิตการทำงาน ไม่ว่าจะเป็นการตัดสินคุณค่าคนจากเนื้องาน ระบบทุนนิยมที่ยังคงฝังลึกให้พวกเราต้องก้มหน้าทนไปวันๆ จนสงสัยกับตัวเองว่า กูเป็นควายหรือกูเป็นคนกันแน่ ?
ท่อนโอเปร่า interlude ในเพลงนี้น่าสนใจมาก เหมือนกำลังเล่นกับความรู้สึกคนฟังที่กำลังใช้เวลาอันน้อยนิดจากการทำงานในการวาดภาพฝันว่า ถ้าชั้นเป็นเศรษฐีเมื่อไหร่ ชั้นจะปลดล็อคหนี้ มีเงินส่งให้พ่อแม่ มีรถขับ ครอบครัวดี ชีวิตดี ความรักดีตามๆกัน จริงๆแล้วมันไม่ใช่แค่ความท้อจากการโดนคัดกรองผลงานจนรู้สึกว่าทำได้ไม่ดีพอ ถ้าให้พูดแบบเทาๆ บางครั้งการที่เราทำงานก็เพื่อสนอง need กิเลสหนาส่วนตัว เลยก้มหน้าทนต่อไปด้วยส่วนนึง
การวกเข้าสู่โหมดเมทัลเดือดๆ เหมือนโดนกระชากตัวเองตื่นจากฝันโดยเร็ว สู่โลกแห่งความจริงที่โคตร tense ไม่ต่างอะไรจากท่วงทำนองตึงๆของ post metal ที่วงสาดใส่คนฟังอย่างใจร้าย แซมด้วย quote ของไลฟ์โค้ชหรือใครซักคนไม่แน่ใจ มาเป็นแบ็คกราวด์เบลอๆ ฟังไม่รู้เรื่องเหมือนกัน ต้องส่องเนื้ออีกทีใน booklet สิ่งที่ไลฟ์โค้ชสื่อดูเหมือนจะเข้าใจสิ่งที่เป็นอยู่ของคนทำงานที่ยอมเอาความฝันและหยาดเหงื่อมาแลกการทำงานหาเงินเพื่อให้ชีวิตตัวเองดีขึ้น
สุดท้ายคำแนะนำจากบุคคลปริศนา มันก็อยากให้วกเข้าสู่ตัวท่านเองอีกเหมือนกันด้วยการให้โทรจิตคุยกับตัวเองก่อน มันเลยเป็นที่มาแห่งระเบิดอารมณ์ “เอาชีวิตกูคืนมา เอาความฝันกูคืนมา …” สุดเกรี้ยวกราดเกินทน ปิด Outro ด้วยความเรียลอีกชั้นด้วยเสียงโทรศัพท์โดนทวงงานที่รู้กันอยู่ชีวิตจริง
#ความโดดเดี่ยว (Loneliness) ถ้ามองถึงความต่อเนื่องจากแทร็กก่อน คุณอาจจะมองเพลงนี้ด้วยมุมมองของการโดนโลกกลั่นแกล้ง ไม่มีใครเข้าข้างเราในวันที่ยากลำบากได้อยู่เหมือนกัน ทั้งๆที่เนื้อหาหลักของเพลงคือ ความผิดหวังในความสัมพันธ์ที่เราหวังดีกับใครคนใดคนหนึ่ง จนกล้ายอมทำทุกอย่างเพื่อคนอื่น สุดท้ายสิ่งที่เค้าตอบแทนกลับกลายเป็นความเห็นแก่ตัวที่ช่างเงียบงันจนเรานั้นไม่ได้ห่าอะไรกลับมาเลย
บางทีความโดดเดี่ยวนั้นก็มาจากก้นบึ้งของความรู้สึกที่เราผูกมัดกับคนอื่นมากเกินไป จนมีชีวิตที่ขึ้นอยู่กับคนอื่น ไม่เป็นตัวของตัวเอง ความไว้วางใจ ความคาดหวังจนไม่มีการเผื่อใจไว้ก็เป็นยาพิษที่ย้อนทำร้ายเราได้เหมือนกัน
เปิดเพลงด้วยความดาร์คเงียบๆ เสียงร้องหลอนๆของแม็กเปรียบเสมือนพรายกระซิบ สะกดจิตใต้สำนึกคนฟังให้คอยเตือนตัวเองว่า ไม่มีอะไรเป็นของเราโดยถาวร โดยเฉพาะคนที่สามารถเปลี่ยนได้ตลอดตามกาลเวลาได้เสมอ ไม่มีอะไรจีรัง มีแต่ตัวเราเองที่ไม่ยอมเปลี่ยนแปลง ยังวนลูปอยู่อย่างนี้ จนเราไม่สามารถมูฟออนไปไหนได้เลย ท่อนว๊าก “ฉัน ไม่ เคย รู้ จัก เธอ เลย เพียง สัก นิด!” แม่งเป็นอะไรที่ใช่มาก เป็นการกระแทกกระทั้นที่เต็มไปด้วยความเนื้อน้อยต่ำใจสัดๆ
บางทีเราคิดเข้าข้างตัวเองเสมอว่า เรารู้จักคนนั้นดีพอ จนเรามั่นใจได้ว่า เขาคนนั้นคือคนสำคัญที่สุดของชีวิต แต่เปล่าเลย ! เขาไม่เคยที่จะยอมทำความรู้จักเราด้วยซ้ำ มีแต่หนีห่างออกจากเราให้ไกลกว่าเดิม ในขณะเดียวกันมันก็มีสัจธรรมที่ว่า Born Alone Die Alone ที่จริงอยู่ในตัวมัน ต่อให้อยู่ด้วยกัน เริ่มแรกก็แยกกันเกิด สุดท้ายก็แยกกันตาย
อีกอย่างนี่คือช่วงเวลามืดมนที่จะคอยคัดกรองคนที่เข้ามาในชีวิตได้เหมือนกัน คนที่รักเราจริงแม่งต้องอยู่เคียงข้าง ไม่ปล่อยให้เราโดดเดี่ยวนานๆแบบนี้แน่นอน ด้วยความที่วงนี้ยังติดความซาดิสม์ พวกเขาไม่ยอมปล่อยแสงสว่างให้เกิดในเพลงง่ายๆ ด้วยการโหม noise จากคนในความคิดทั่วสารทิศมาตีกันในหัวคนฟังเล่นๆ จนโคตรกดดันและวายป่วงมากๆ แล้วปิดท้ายด้วย hidden track อคลูสติคช้าๆ เป็นเหมือนจิ๊กซอว์ตัวสำคัญที่เติมเต็มอัลบั้มนี้ ขอเก็บไว้พูดถึงตอนท้ายล่ะกันครับ
#ความรู้สึกผิด (Guilt) ถ้ามองจากแทร็คก่อนหน้านั้น ไม่น่าจะมีอะไรปะติดปะต่อ เป็นก้อนความรู้สึกแยกอีกทีนึง คราวนี้มันคือความรู้สึกละอายต่อบาป ไม่ว่าจะตั้งใจหรือไม่ก็ตาม อะไรที่ผิดไปแล้ว ย่อมเป็นความทรงจำอันเลวร้ายที่คอยกัดกินหัวใจจนไม่รู้ว่าจะทำอะไรเพื่อชดเชยมันได้ ต่างจาก “ความโดดเดี่ยว” ที่เรายังพอมูฟออนไปได้ด้วยตัวเราเองคนเดียว
แต่ “ความรู้สึกผิด” มันแตกต่างกัน มันคือความผิดแล้วผิดเลยที่ทำให้เราคอยหลบหน้าหลบตา จมอยู่กับแผลในใจที่เราเคยทำกับเขาไว้ จนมันมาบังเกิดกับตัวเอง แน่นอนว่าการขอโทษไม่เพียงพอ การให้อภัยคือคำพูดลอยๆเชิงอโหสิกรรม แต่ในใจนั้นใช่ว่าจะลืมกันง่ายๆ เพลงนี้จึงเป็นเพลงที่จมดิ่งที่สุดในอัลบั้มด้วยเหตุผลเช่นนี้
หลังจากที่โดนซัดหนักหน่วงมาจากแทร็คที่แล้วในแบบไม่ทันตั้งตัว การเริ่มเพลงด้วยท่วงทำนองบัลลาดเปียโนไหลลื่นก็นับว่าทางวงยังให้คนฟังได้หายใจหายคอกันบ้าง มันเป็นความประนีประนอมของการสารภาพบาปที่อยากให้ใครคนนั้นรับรู้ถึงความจริงใจที่ไม่อยากผิดซ้ำซ้อนอีกแล้ว อีกด้านก็ไม่อยากทำให้รู้สึกแย่ไปมากกว่านี้ด้วยการไม่ต้องมาให้เห็นหน้าคงจะดีกว่า แต่ในใจนั้นเต็มไปด้วยคำขอโทษมากมายที่อยากจะบอก แต่เพราะความก้าวผ่านต่อความละอายใจไม่ได้จึงฉุดรั้งให้เราจมกับการเกลียดตัวเองขั้นสุด จนลำบากใจที่จะเอ่ยคำขอโทษออกมา
ผ่านไปไม่กี่นาที พวกเขากลับสู่โหมดแบล็คเมทัลให้เรารู้สึกจมดิ่งอยู่กับความมืดบอดอีกครั้ง แค่ท่อน “ก้าวข้ามไม่ได้ / I’m better off dead” บอกเลยว่าตาย ใครที่ซึมเศร้า ใจไม่แข็งพอ คงมีออกจากเพลงนี้กลางคันได้ พวกเขากดคุณให้อยู่ในหลุมดำแน่ๆ
มันมีประโยคให้ความหวังอย่าง Some say only time can heal you ที่ซ้ำร้ายโดนทั้งประโยค No one can save me from myself กับ ALL THE GUILT IS MINE คอยกระทืบอยู่ แต่ถ้ายังไหว พวกเขาก็สามารถฉุดคุณขึ้นได้เช่นกัน
การมีคณะประสานเสียงและวงออเครสตร้าอยู่ในเพลงนี้นำพาให้ “คำขอโทษ” สู่ความสะพรึงและพุ่งออกไปนอกแกแลคซี่ได้มากขนาดนี้ อลังการมากแล้วนะ ไอ้เราก็คิดว่าแม่งจะจบแล้ว แต่เปล่าเลยมีท่อน repeat อีก เหมือน “ความรู้สึกผิด” ไม่จางหายไปเสียที ดีหน่อยที่พวกเขาหาทางลงในตอนจบได้ด้วยการให้ความหวังว่า “ฉันคงก้าวข้ามมันไปได้... สักวัน” ถ้าติดอยู่กับความคิดมากกว่านี้ 10 นาทีคงไม่พอ
#ความรุนแรง (Violence) มาถึงแทร็คที่ aggressive มากที่สุดในอัลบั้ม สมชื่อเพลงที่จั่วไว้ในเชิงทำลายล้าง แล้วมันก็เดือดดาลตามที่คาดหวังจริงๆ ถ้าเชื่อมจากแทร็คที่แล้ว ผมมองว่าเพลงนี้คือสารตั้งต้นที่ทำให้เกิดบาดแผลในใจภายหลังได้เหมือนกัน ในเมื่อเราไปทำเค้าก่อน ตกเป็นทาสอารมณ์จนแปรเปลี่ยนเป็นปีศาจที่จ้องเอาชนะ ล้างบางให้สาแก่ใจ ผลที่ได้คือความพ่ายแพ้ที่ยังคงค้างคาด้วย “ความรู้สึกผิด” ในภายหลัง ถ้าจะมองในหลักกรงกรรมก็สามารถมองจากแทร็คนี้ย้อนไปแทร็คก่อนหน้านั้นได้เช่นกัน
ฉุดจากหลุมดำแห่งความละอายบาป ไปสู่จุดที่บาปกว่าด้วยความหนักหน่วงที่ปนเปทั้ง post hardcore และ Nu-Metal เอากันให้ตายไปข้างนึงจริงๆ ว๊ากทั้งเพลง บ้าคลั่งมากๆ ไม่รู้ว่าแม็กเอาแรงมาจากไหน ว๊ากแต่ละท่อนโทนเสียงแทบไม่ซ้ำกันด้วย แถมมีแร็พอีกต่างหาก ใครคิดจะคัฟเวอร์เพลงนี้ต้องเตรียมร่างกายไว้เยอะเลยล่ะ แค่อินโทรก็ไม่รอให้เราหยุดพักหายใจกันเลยทีเดียว
เสียงร้องช่วงก่อนขึ้น Pre-Chorus ของแม็กทำให้นึกถึงบังโต Silly Fools ในยุค I.Q.180 มากๆ ท่อนเลือดเดือดคงหนีไม่พ้น “จงไปเอาคืน จงไปตีรัน จงไปฆ่าฟัน จงไปทําลาย … “ ถ้าท่อนนี้ขึ้นในแสดงสด อาจได้เห็นการ mosh pit อย่างบ้าคลั่งแน่ๆ แต่เมื่อมาถึงท่อนฮุคก็นำเสนอออกมาได้อย่างน่าเวทนาพอกัน
ถ้าให้ว๊ากทั้งเพลงนักร้องคงไปสู่นิพพานก่อนพอดี การเอาเสียงออโต้จูนหุ่นยนต์มาประกอบถือเป็นตัวช่วยที่ดีและเหมาะเหม็งกับบริบทเพลงมากๆ มันสื่อถึงจิตใจอันแหลกสลาย ถูกทำลายลงด้วยความรุนแรงที่ครอบงำจนเกินขีดจำกัด เลยเกิดความเสียศูนย์ ไม่ต่างจากแรมคอมพิวเตอร์ error เนี่ยแหละ ผมว่าลูกเล่นตรงนี้แม่งล้ำมาก ซูฮกในการ distort reverse ซาวนด์แบบนี้มาก โคตรเดือดไม่ต่างจากกีตาร์ไฟฟ้าเลย
และเพลงก็จบอย่างประนีประนอมของแท้ด้วยบัลลาดเปียโน เสียงร้องนิ่งๆเป็นการขอความเห็นใจด้วยเหตุผลที่ว่า “โลกบังคับให้ชั้นร้าย” ขอร้องให้ความรุนแรงจบสิ้นเสียที ถือเป็นโมเมนต์แห่งการจับมือของเพื่อนมนุษย์ที่งดงามและโล่งใจจริงๆ
#ความเยาว์ (Youth) ปิดท้ายด้วยซิงเกิ้ลแรกของวง และเป็นซิงเกิ้ลเปิดตัวอย่างเป็นทางการให้กับค่ายนี้ซะด้วย ในขณะเดียวกันซิงเกิ้ลแรกยังคงเป็นบทสรุปที่ดีเยี่ยมให้กับอัลบั้มชุดนี้ เหมือน 4 แทร็คที่ผ่านมาพวกเขาทั้งสี่พาพวกเราเผชิญโลกมาเยอะมาก ทั้งโลกการทำงาน โลกแห่งความสัมพันธ์ โลกของความผิดบาป และโลกแห่งสงคราม
พอมาเจอแทร็คนี้เหมือนชะล้างจิตใจให้เย็นลง สงบลงด้วยอคลูสติกกีตาร์โปร่งสุดคลีน ไวโอลีนสุดละเมียดดุจดั่งผ้าขาวแห่งความบริสุทธิ์ของความเยาว์ที่ทางวงตั้งใจนำเสนอ เหมือนเป็นการวกกลับเข้าไปสู่จุดเริ่มต้นในสิ่งที่เราเคยเป็นอยู่ เผลอๆเราอาจจะโหยหาการกลับไปเป็นเด็กอีกครั้ง เพื่อที่จะได้ไม่ต้องมารับรู้เรื่องแปลกๆบนโลก
แต่มันคงเป็นไปไม่ได้ ถ้าเราไม่ยอมรับโลกแห่งความเป็นจริง การโหมด้วยดนตรีร็อคเคล้าคณะออเครสตร้ากระตุกให้คนฟังกลับไปสู่ความตึงอีกครั้ง การแผดเสียงบ่นระบายสุดก้องโลกแสดงถึงการระบายความอัดอั้น จนต้องคุกเข่าอาลัยอาวรณ์ให้กับโลกแห่งความเป็นจริงที่เกิดเหี้ยห่าอะไรไม่รู้
บางทีบทเรียนในหนังสือและในห้องเรียนก็ไม่มีบทเรียนสอนการใช้ชีวิตให้ได้รับรู้กัน การเรียนในห้องเรียนใหญ่ไม่มีอะไรตายตัวและการันตีได้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น อย่างน้อยการจำเรื่องแปลกบนโลกนี้ได้บ้าง มันก็ทำให้เรารับรู้รสชาติของชีวิตจริงๆเสียที ใจจริงอยากแนะนำให้ไปดู MV นี้เพื่อให้การท่องโลกภายใน 10 นาทีเกิดความรู้สึกที่แหล่มชัดมากขึ้น
Hidden Track ย้ำนี่คือจุด spoiler alert !!!
หลังจากกั๊กไว้ที่แทร็ค 2 ได้เวลาพูดถึงแทร็คพิเศษเสียที นี่คือแทร็คที่มีอยู่ในเวอร์ชั่นซีดีเท่านั้น และไม่มีชื่อระบุชัดเจน เหมือนทางวงจงใจให้เราตีความด้วยนิยามของท่านเอง ซ่อนอยู่ในแทร็ค 2 แบบไม่ต้องควานหา และอยู่ในช่วง 5 นาทีกว่าๆนาทีสุดท้ายของแทร็ค “ความเยาว์” อยากให้ไปเลื่อนดูกัน อย่าเพิ่งปิดอัลบั้มล่ะ
เนื้อหาของแทร็คซ่อนแอบ 2 กับ 5 เหมือนกันหมด แต่การที่มันวางต่อท้ายแบบเจาะจงว่าต้องเป็น 2 แทร็คนี้ต้องชื่นชมถึงความเหมาะเหม็งของมันมากๆ ถึงเนื้อหาจะเหมือนกัน แต่มันสื่อได้คนละบริบทตรงตามคอนเซปต์ของแทร็คนั้นๆ เนื้อหาเพลงคร่าวๆมันเกี่ยวกับการเผชิญชีวิตที่ประสบพบเจอกับคำพูดนับร้อยพัน การเลือกที่จะเชื่อหรือไม่เชื่อ การแยกแยะระหว่างความจริงหรือเท็จเป็นสิ่งที่แยกจากกันยากเสียจนเริ่มสับสนตัวเองว่า ที่แท้จริงโลกรอบข้างเรากำลังหลอกลวงเราหรือไม่ มันมีความไม่ไว้เนื้อเชื่อใจครอบอยู่
ถ้าย้อนไปแทร็คที่ 2 จะเป็นเรื่องเกี่ยวกับ “ความโดดเดี่ยว” การมาของ Hidden Track ด้วยท่วงทำนองอคลูสติคช้าๆ แต่ก็แอบเอาเนื้อหามาบางส่วนเท่านั้น ผมมองว่าแทร็คนี้กำลังเล่นบริบทของการโดนทรยศเป็นแน่นแท้ ท่อนฮุค “จึงได้รู้ว่าโลกนี้โกหกชั้น … “ มันใช่เลย มันไปในทาง negative ของการโดนความโดดเดี่ยวเล่นงาน เราทำเพื่อคนอื่นเยอะเสียจน ความจริงใจของเรากลายเป็นยาพิษย้อนทำร้ายตัวเราเอง ในวันที่เราไม่เผื่อใจที่จะได้เจอมิตรภาพที่ตอบแทนเราด้วยความทรยศ
ส่วนแทร็ค 5 หลัง ”ความเยาว์” มาแบบเต็มเพลง ขับเคลื่อนด้วย contemporary rock สุดเข้มข้น เป็นบริบทที่ยังคงคล้ายกันด้วยความไม่ไว้เนื้อเชื่อใจ แต่มีภูมิคุ้มกันมากกว่า เลือกที่จะชั่งใจเชื่อมากขึ้น แต่สุดท้ายบางทีการแยกแยะจริงเท็จไม่ออกก็ทำให้เราโง่โดยไม่รู้ตัวจนเกิดความไม่รู้อะไรเลย มันแสดงถึงบริบทของความ innocent อ่อนต่อโลก ซึ่งก็สอดคล้องกับ “ความเยาว์” ที่ต้องการจะสื่อถึงความไม่รู้อะไรอีกมากบนโลกใบนี้
คำว่า “ระวัง” คือคำสุดท้ายที่เราได้ยินในอัลบั้ม เป็นเหมือนเครื่องเตือนสติให้คนฟังต้องระแวดระวังในการเรียนรู้ที่จะใช้ชีวิตให้อยู่รอดในโลกใบนี้
-กล้าบอกได้เลยว่า นี่คือผลงานที่แทบจะสมบูรณ์แบบเกือบทุกอณู แต่ก็ไม่ใช่สำหรับทุกคนเช่นกัน โดยเฉพาะคนที่ไม่คุ้นชินกับเมทัลร็อคตามอัตลักษณ์ของวงที่ไม่ยอมลดทอน ไม่ประนีประนอมคนฟังเลย แต่ถ้าคุณพึงพอใจกับการสำรวจจิตใต้สำนึกของตัวเองอย่างเข้มข้น คุณก็จะค้นพบกับสุนทรียภาพแบบเต็มอณู ด้วยเนื้อหาที่เข้าใจง่ายและไม่ห่างไกลจากชีวิตจริงของเรามากนัก นี่คืออัลบั้มแห่งปีที่ผ่านการคิดมาอย่างดีจากวงร็อคคุณภาพที่ใส่ใจในทุกรายละเอียด สมแล้วที่ได้เข้าโรงเรียน Gene Lab ของพี่โอม Cocktail ได้อย่างเต็มภาคภูมิ
-อีกหนึ่งสิ่งที่อยากพูดถึง อยากโฟกัสไปที่อาร์ตเวิร์คอัลบั้มที่ไม่ได้มาแบบลอยๆ ผมมองกราฟฟิกรูปมนุษย์นี้เป็นเหมือน โปรแกรม A.I. ที่คอยขับเคลื่อนชีวิตมนุษย์ บางแทร็คในอัลบั้มก็ทำให้ผมนึกถึงหน้าปกอัลบั้มอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ โดยเฉพาะแทร็ค “ความรับผิดชอบ” และ “ความรุนแรง” ที่จะถอดความเป็นมนุษย์ให้ออกมาไร้ชีวิตจิตใจชั่วขณะ เป็นทั้งเครื่องจักรโรงงาน และเครื่องจักรสังหารได้อีกต่างหาก แน่นอนว่าพอเราถอดความเป็นมนุษย์ทั้งภายนอกและภายในเต็มไปด้วยความรวดร้าวแล้วเป็นที่เรียบร้อย
-ส่วนประโยค One Word Means A Lot of Sentences ก็เข้าใจเล่นด้วยการทำฟ้อนท์ธรรมดาบนปกรอง บนซีดีก็จะ shake หน่อย สื่อถึงอารมณ์ภายในตัวอัลบั้มได้เห็นภาพมากๆ ผมเห็นประโยคบนซีดีไม่เหมือนเดิมต่อไปจริงๆ มันแล่นได้จามความรู้สึกหลังฟังจบ เป็นกิมมิคที่ดีอีกแล้วสำหรับค่ายนี้ เคยชมของ ทลบ. ไปทีนึงด้วย
สุดท้ายผมคิดว่าผมบรรยายความรู้สึกทุกสิ่งอย่างลงไปในย่อหน้าที่ผ่านมาแทบจะทั้งหมดแล้ว 5 แทร็คไม่ได้รีวิวกันง่ายๆเลยจริงๆ มีหลายอย่างที่ผมอยากจะพูดเยอะเต็มไปหมด แต่สิ่งที่อยากจะย้ำอีกซักรอบคือ อย่าได้พลาดฟังอัลบั้มนี้ด้วยความตั้งใจเต็มสองรูหู ตัดขาดทุกการแชทหรือส่องเฟส ดำดิ่งไปกับมัน ทุกแทร็คไล่เรียงกัน
แล้วคุณจะได้เวลาคืนมาอย่างมีคุณภาพ
Give 9.5/10
Thanks For Reading
See Y’all
โฆษณา