24 พ.ย. 2023 เวลา 12:30 • กีฬา

เรือใบสีฟ้า vs หงส์แดง 19 เรื่องที่ควรรู้ก่อนถึงซูเปอร์บิ๊กแมตช์

ในฟุตบอลอังกฤษ ไม่มีเกมไหน ในครึ่งฤดูกาลแรก จะมีความหมายมากกว่า แมนเชสเตอร์ ซิตี้ vs ลิเวอร์พูล ที่จะแข่งกันในเย็นวันเสาร์อีกแล้ว นี่คือสุดยอดเกม ที่มีความหมายที่สุด และเดิมพันถึงการลุ้นแชมป์ทีเดียว
1
หลังจากเกมทีมชาติจบลงไปแล้ว บอลโลกของไทยเตะไปครบ 2 นัดแล้ว ได้โค้ชใหม่แล้ว ส่วนยูโร 2024 รอบคัดเลือกก็แข่งไปครบแล้ว ตอนนี้โฟกัสทั้งหมดจะกลับมาที่เกมสโมสรอีกครั้งครับ และประเดิมด้วยเกม เรือ ปะทะ หงส์แดง ทันที
มีเรื่องอะไร ที่เราควรรู้บ้าง ก่อนเกมจะระเบิดขึ้น ผมรวมทุกประเด็นที่น่าสนใจเอาไว้แล้วครับ
1) แมนเชสเตอร์ ซิตี้ vs ลิเวอร์พูล จะแข่งกันในเวลา 19.30 ของประเทศไทย หรือ เที่ยงครึ่งที่อังกฤษ เป็นคู่แรกสุดของสัปดาห์ สาเหตุที่ต้องแข่งวันเสาร์ เพราะแมนฯ ซิตี้ มีโปรแกรมยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีกกับไลป์ซิก ในคืนวันอังคาร ดังนั้นโปรแกรมนี้ ไม่สามารถจัดแข่งวันอาทิตย์ได้ เพราะจะทำให้แมนฯ ซิตี้ มีเวลาพักฟื้นร่างกายไม่พอ
พรีเมียร์ลีกจึงจับเอาไว้คู่แรกสุดไปเลย ทำให้พอแข่งจบ แมนฯ ซิตี้ จะมีเวลาพัก 77 ชั่วโมงก่อนลงเล่นกับไลป์ซิก คือพรีเมียร์ลีกพยายามจัดโปรแกรม ช่วยทีมที่ได้ไปเล่นยุโรปมากที่สุด ให้มีเวลาพักอย่างเหมาะสม
2) อีกเหตุผลหนึ่ง คือเจ้าหน้าที่ตำรวจมีความกังวล เรื่องความปลอดภัย ปีที่แล้ว เกมระหว่างซิตี้ กับ ลิเวอร์พูล มีเด็กผู้หญิงอายุ 15 โดนขว้างขวดเบียร์มาจากแฟนฝั่งลิเวอร์พูล จนได้รับบาดเจ็บ ดังนั้น การจัดแข่งเวลาเที่ยงที่อังกฤษ อย่างน้อยก็มีแนวโน้มว่าจะปลอดภัยกว่า เพราะแข่งตอนเที่ยง ผู้คนมึนเมาแอลกอฮอล์ก็มักจะน้อยกว่า ถ้าเทียบกับการแข่งช่วงบ่ายหรือเย็น
2
ตอนแรกทางสกายสปอร์ต ต้องการจัดสล็อตคู่นี้ ลงแข่งเวลา 17.30 ที่อังกฤษ (เที่ยงคืนครึ่งที่ไทย) แต่ฝั่งตำรวจไม่ยอม กลัวจะดูแลความปลอดภัยยาก สุดท้ายหงส์แดงจึงต้องเตะคู่ 12.30 ในที่สุด
3) สิ่งที่สองสโมสรไม่อยากให้เกิดที่สุด คือปัญหานอกสนาม ฝั่งแมนฯ ซิตี้ รณรงค์ให้แฟนบอลตัวเอง อย่าร้องเพลงแซวเกี่ยวกับโศกนาฏกรรมฮิลส์โบโร่ เพราะแฟนเรือใบเคยทำมาก่อนแล้ว เช่นเดียวกับฝั่งลิเวอร์พูลที่ไม่อยากให้แฟนบอลตัวเอง ขว้างปาข้าวของ ปีที่แล้ว มีคนขว้างเหรียญบนรถบัสของแมนฯ ซิตี้ จนกระจกร้าวมาแล้ว
ทุกคนคาดหวังว่าเกมจะดุเดือดในสนาม ส่วนอกสนาม ไม่ควรรุนแรงกันเบอร์นั้น ให้เกียรติแฟนบอลฝั่งตรงข้ามด้วย
4) จริงๆ ลิเวอร์พูลไม่ชอบเลย ที่ต้องเตะเวลา 12.30 ที่อังกฤษ สถิติบอกว่า คล็อปป์คุมทีมเวลาเที่ยงวันเสาร์ ทั้งหมด 9 นัดตั้งแต่คุมหงส์แดง ผลงานคือ ชนะ 4 เสมอ 2 แพ้ 3 เปอร์เซ็นต์ชนะไม่ถึงครึ่ง แต่เกมนี้ก็ไม่มีทางเลือก คล็อปป์ต้องเดินหน้าลุยต่อเท่านั้น
5) นี่คือการปะทะกันของทีมที่ เกมรุกดีที่สุดในลีก นั่นคือแมนฯ ซิตี้ ยิงไป 32 ประตู กับทีมที่มีเกมรับอันดับหนึ่งในลีก คือลิเวอร์พูล เสียไป 10 ประตู ถ้าให้เปรียบเทียบคือ เหมือนดาบที่ตัดขาดได้ทุกอย่าง เจอกับโล่ที่อะไรก็ฟันไม่เข้า ถ้าหากสองสิ่งนี้ปะทะกัน ใครจะชนะ เราจะได้รู้กันวันเสาร์นี้
3
6) ดาวซัลโวของพรีเมียร์ลีก คือเออร์ลิ่ง ฮาแลนด์ ยิงไป 13 ประตู แต่อันดับ 2 คือโม ซาลาห์ ยิงไป 10 ประตู ถือว่าในซีซั่นนี้ ทั้งคู่จะแย่งชิงกันไปยาวๆ ว่าใครจะจบด้วยตำแหน่งดาวซัลโวตอนท้ายฤดูกาล
สำหรับฮาแลนด์ เขาไม่ใช่แค่ดาวซัลโวเท่านั้น แต่เป็นผู้เล่นที่มีส่วนร่วมกับประตูมากที่สุดในลีกด้วย นั่นคือ 16 ประตู (ยิง 13 แอสซิสต์ 3) ส่วนซาลาห์ ตามมาไม่ห่างที่ 14 ประตู (ยิง 10 แอสซิสต์ 4)
7) ขณะที่เรื่องเกมรับ ตอนนี้เวอร์จิล ฟาน ไดค์ คือเซ็นเตอร์แบ็กอันดับหนึ่งในพรีเมียร์ลีก โดยดูจากสถิติ "การแย่งบอลเวลาดวลกับคู่แข่ง" (Duels Success) สถิตินี้ รวมทั้งภาคพื้น และการดวลกลางอากาศ โดยในซีซั่นนี้ ฟาน ไดค์ มีสถิติเอาชนะการดวลได้มากถึง 80.5% หรือว่าง่ายๆ ถ้าคุณดวลกับฟาน ไดค์ 5 ครั้ง คุณจะเอาชนะเขาได้แค่ครั้งเดียว ปีนี้ฟาน ไดค์มาดีจริงๆ
4
ยิ่งไปกว่านั้น การเก็บคะแนนนักเตะจากเว็บ Whoscored ระบุว่า ฟาน ไดค์ มีฟอร์มการเล่นดีที่สุดในเซ็นเตอร์แบ็กของ 5 ลีกใหญ่ยุโรป โดยได้คะแนนเฉลี่ยแต่ละเกม 7.35/10 คือแทบจะไม่ก่อข้อผิดพลาดเลย
2
8 ) ความพร้อมเรื่องตัวผู้เล่น ฝั่งแมนฯ ซิตี้ เออร์ลิ่ง ฮาแลนด์ ไม่ได้เล่นให้ทีมชาตินอร์เวย์ ในเกมกับสกอตแลนด์ เพราะมีอาการบาดเจ็บ แต่ล่าสุดกลับมาซ้อมได้กับแมนฯ ซิตี้แล้ว น่าจะลงเล่นได้ไม่มีปัญหา คนที่ยังมีคำถามคือ เอแดร์ซอน, นาธาน อาเก้ และ มาเตโอ โควาซิช ที่อาจจะหายเจ็บไม่ทันกับการเล่นเกมนี้ ยังไม่นับเควิน เดอ บรอยน์ และ จอห์น สโตนส์ ที่ไม่มีกำหนดคัมแบ็ก
9) ตรงข้ามกับหงส์แดง เพราะนักเตะลิเวอร์พูลที่ไปรับใช้ชาติมา กลับมาซ้อมได้ครบทั้ง 27 คน ไม่มีใครบาดเจ็บเพิ่มแม้แต่คนเดียว สภาพทีมถือว่าพร้อมมาก ในทีมชุดใหญ่ มีนักเตะแค่ 3 คนเท่านั้น ที่บาดเจ็บอยู่ คือแอนดี้ โรเบิร์ตสัน, ติอาโก้ อัลคันทาร่า และ สเตฟาน บายเซติช ที่เหลือนั้นครบเครื่องเต็มแม็กซ์
10) ในชีวิตของเป๊ป กวาร์ดิโอล่า มีผู้จัดการทีมแค่คนเดียวเท่านั้น ที่เขาแพ้เกิน 7 ครั้ง ตลอดการคุมทีม คนนั้นคือเจอร์เก้น คล็อปป์ (แพ้ 12 ครั้ง) รองลงมาคือโชเซ่ มูรินโญ่ แพ้ 7 ครั้ง ดังนั้นคือว่าคล็อปป์เป็นศัตรูคู่แค้นเบอร์หนึ่งของเป๊ปเลยก็ว่าได้ อย่างไรก็ตาม สองคนนี้ ด้วยการเจอกันบ่อย ทั้งคู่จึงให้เกียรติ และเคารพกันเสมอ
1
11) สถานการณ์ในตารางคะแนนตอนนี้ ทุกทีมแข่งไปแล้ว 12 นัด แมนฯ ซิตี้ มี 28 แต้ม ส่วนลิเวอร์พูล และ อาร์เซน่อลมี 27 แต้ม หมายความว่า
1
- ถ้าแมนฯ ซิตี้ ชนะ จะได้เป็นจ่าฝูงทันที
- ถ้าลิเวอร์พูล ชนะ แล้วอาร์เซน่อลไม่บุกไปถล่มเบรนท์ฟอร์ดขาดลอย ลิเวอร์พูลก็จะเป็
นจ่าฝูง
- ถ้าซิตี้ กับ ลิเวอร์พูล เสมอกัน แล้วอาร์เซน่อลชนะเบรนท์ฟอร์ด สกอร์เท่าไหร่ก็ได้ อาร์เซน่อลจะกลายเป็นจ่าฝูง
ดังนั้น ผลลัพธ์จึงออกได้สามหน้า ทั้งสามทีมมีโอกาสขึ้นนำเป็นจ่าฝูงได้ทั้งหมด หลังจบวีกนี้
1
12) ในปัจจุบัน มีแค่ 3 ทีมในพรีเมียร์ลีกเท่านั้น ที่เออร์ลิ่ง ฮาแลนด์ ไม่เคยยิงได้ ประกอบด้วย ลิเวอร์พูล, เบรนท์ฟอร์ด และ ลูตัน ทาวน์ สถิติของหงส์แดง ที่ไม่โดนฮาแลนด์ยิงมา 2 เกม จะยุติลงนัดนี้หรือไม่ เดี๋ยวรู้เลย
แต่ถ้ารวมทุกถ้วย ทุกรายการ จริงๆ ฮาแลนด์เคยยิงลิเวอร์พูลมาได้แล้วสองครั้ง คือเกมแชมเปี้ยนส์ลีก ลิเวอร์พูล 4-3 ซัลซ์บวร์ก มี 2019 ฮาแลนด์ยิงได้ 1 ลูก และ เกมคาราบาวคัพ แมนฯ ซิตี้ 3-2 ลิเวอร์พูล ปี 2022 ฮาแลนด์ยิงได้ 1 ลูก แต่ถ้านับในพรีเมียร์ลีกอย่างเดียว ยังไม่เคย
13) ตัวอันตรายที่ต้องจับตามอง นอกเหนือจากฮาแลนด์ คือ เจเรมี่ โดกู นี่คือนักเตะที่แอสซิสต์มากที่สุดในทีม (5 แอสซิสต์) ยิ่งไปกว่านั้น ยังเป็นนักเตะที่เลี้ยงบอลได้ดีที่สุดในพรีเมียร์ลีกฤดูกาลนี้อีกด้วย สถิติบอกว่า โดกู สามารถกระชากผ่านคู่แข่งได้เฉลี่ย 5 ครั้งต่อเกม นี่คือผู้เล่นที่สปีดจัด และเก่งมากในการเอาชนะ 1 ต่อ 1 โดยตำแหน่งของโดกู จะดวลกับอเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ โดยตรง น่าสนใจว่าเทรนต์เคยโดนมิโตมะเผามาแล้ว เมื่อเจอตัวจี๊ดคล้ายๆ กัน อย่างโดกู จะรอดหรือไม่
1
14) แมนฯ ซิตี้ในฤดูกาลนี้ มีไอเดียใหม่เกิดขึ้นมา นั่นคือเน้นการ "แคร์รี่" ในศัพท์ฟุตบอลนั้น การแคร์รี่ (Carries) คือการที่นักเตะ 1 คน ครองบอลอยู่กับตัว เป็นระยะทางเกิน 10 เมตรขึ้นไป
ในอดีต แมนฯ ซิตี้ ชอบเล่นวันทัช ได้บอลส่งต่อ ชิ่งสั้น ไม่ต้องเลี้ยงเยอะ แต่ในซีซั่นนี้ เป๊ป กระตุ้นให้นักเตะแต่ละคนเลี้ยงบอลมากขึ้น กินระยะเยอะๆ แล้วค่อยจ่ายบอล ดังนั้นบรรดาตัวเลี้ยงทั้งหลาย เช่น โดกู, ฟิล โฟเด้น, แจ๊ค กรีลิช หรือ แบร์นาโด้ ซิลวา จะมีอิสระอย่างมาก ในบรรดา 20 ทีม แมนฯ ซิตี้ มีค่าเฉลี่ย 123.3 ครั้ง ใน 90 นาที มากกว่าอันดับสอง อาร์เซน่อล 99.9 ครั้ง ใน 90 นาที
15) คีย์แมนสำคัญของแมนฯ ซิตี้ ที่หลายคนอาจมองข้าม นั่นคือ โรดรี้ มิดฟิลด์ตัวกลางชาวสเปน ในซีซั่นนี้ ซิตี้ แพ้แค่ 2 เกมในลีก (แพ้วูล์ฟส, แพ้อาร์เซน่อล) จุดร่วมของสองเกมนั้น คือโรดรี้ ติดโทษแบน คือพอขาดเขาปุ๊บ เกมตรงกลางเสียเปรียบทันที
2
แต่เกมนี้กับลิเวอร์พูล โรดรี้ลงได้ อย่างไรก็ตาม มีชนักติดหลังนิดหน่อย คือเขาโดนใบเหลืองไปแล้ว 4 ใบ ถ้าโดนเพิ่มอีก 1 ใบ ก็จะโดนแบนเกมต่อไปทันที ดังนั้น อาจมีเสี้ยวของความลังเลใจ ในการเข้าบอลหนักได้ ต้องมารอดูกันในสนาม
1
16) สำหรับลิเวอร์พูลนั้น ฟอร์มของนักเตะในช่วงเบรกทีมชาติ เข้าฟอร์มกันทุกคน หลุยส์ ดิอาซ ยิง 2 ประตูให้โคลอมเบีย ชนะเม็กซิโก, ดาร์วิน นูนเยซ ยิง 3 ประตูในเกมอุรุกวัยชนะอาร์เจนติน่า และ โบลิเวีย, โดมินิค โซโบสไล ยิง 2 ลูกให้ฮังการี ชนะมอนเตเนโกร ผ่านเข้ารอบสุดท้ายยูโร 2024
1
โม ซาลาห์ ยิง 4 ลูกให้ทีมชาติอียิปต์ ในบอลโลกรอบคัดเลือก, ดีโอโก้ โชต้า แอสซิสต์ให้โรนัลโด้ ในเกมของโปรตุเกส ทุกคนเล่นดีหมด มีความพร้อมมากๆ ที่จะซัดกับแมนฯ ซิตี้ วันเสาร์นี้
17) ในฤดูกาลนี้ มีแค่ 3 ทีมเท่านั้น ที่ชนะในบ้านแบบ 100% ได้แก่ ลิเวอร์พูล, แมนฯ ซิตี้ และ แอสตัน วิลล่า เกมนี้น่าสนใจว่าทีมเรือใบ จะรักษาสถิติชนะทุกเกมที่เอติฮัด สเตเดี้ยมต่อไปได้หรือไม่
18) กรรมการในเกมนี้ คือคริส คาวานาฟ ดราม่าเบาๆ คือคาวานาฟ มีบ้านอยู่ห่างจากสนามเอติฮัด สเตเดี้ยมแค่ 5 ไมล์เท่านั้น จึงมีการพูดกันว่า เฮ้ย แบบนี้ จะเอียงตัดสินไปฝั่งซิตี้หรือเปล่า แต่เอียน เลดี้แมน นักข่าวจากเดลี่ เมล์ บอกว่า "เขาไม่ใช่แฟนแมนเชสเตอร์ ซิตี้ เขาไม่ใช่แฟนลิเวอร์พูล ผมไม่แคร์ว่าเขาจะเกิดที่ไหน แน่นอน เขาคงไม่ได้ตัดสินเป๊ะๆ เพอร์เฟ็กต์หรอก แต่ผมไม่คิดว่าเขาจะเอียงเข้าข้างใคร"
19) ถ้าหากคู่นี้ เจอกันในซีซั่นที่แล้ว ที่เอติฮัด รับรองว่าแมนฯ ซิตี้ กินเรียบ (แข่งจริงชนะ 4-1) แต่เมื่อมาเจอกันในเวลานี้ ก็มีแต่ความสูสี
ย้อนกลับไปในฤดูกาลที่แล้ว เมื่อลงแข่ง 12 นัดแรก แมนฯ ซิตี้ ทำได้ 29 แต้ม แต่มาในปีนี้ 12 นัดแรกทำได้ 28 แต้ม ลดลงไปเล็กน้อย ขณะที่ลิเวอร์พูล 12 นัดแรกปีที่แล้ว ทำได้ 16 แต้ม แต่ปีนี้ ทำได้ 27 แต้ม เพิ่มขึ้นจากเดิมถึง 11 แต้ม แสดงให้เห็นถึงพัฒนาการที่ก้าวกระโดด
แมนฯ ซิตี้ ยังแกร่งอยู่ เจอลิเวอร์พูล 2.0 ที่มั่นใจ นี่จะเป็นเกมที่เดือดมากๆ และออกได้ทุกหน้าอย่างแท้จริง
---------------------
บทสรุปก่อนเกมจะเริ่ม เราฟันธงได้เลยว่า เป็นนัดที่ดุเดือดมากแน่ๆ ทั้งสองทีม คุมทัพโดยสุดยอดโค้ชแห่งยุค ขณะที่ขุมกำลังก็อยู่ในเลเวลสูงสุด
ในลีกยุโรป ไม่มีประเทศไหน ส่งบิ๊กแมตช์มาชน ในสล็อตเวลา 19.30 น. ดังนั้นเรตติ้งทั้งหมด จะอยู่ที่เอติฮัด สเตเดี้ยม เป็นเกมที่สายตาคนทั้งโลกจะจับตามอง
ผมเห็นที่ไทยมีจัดอีเวนต์หลายแห่ง ชวนดูบอลนะครับ ใครว่างที่ไหน ไปสนุกที่นั่นเนอะ แต่ผมจะตั้งใจดูอยู่บ้านครับ เกมซูเปอร์บิ๊กแมตช์แบบนี้ อยากเก็บทุกรายละเอียดให้มากที่สุดเลยครับ
เกมตัดสินแชมป์ครึ่งฤดูกาลแรก ผลลัพธ์จะออกมาอย่างไร เดี๋ยวเราจะได้รู้กันอีกไม่กี่อึดใจนี้แล้วครับผม
#GREATESTRIVALRY
โฆษณา