25 พ.ย. 2023 เวลา 14:06 • ดนตรี เพลง

[รีวิวอัลบั้ม] Sentence - The Darkest Romance >>> ประโยคสมบูรณ์

🚨🚨FPFM’s Best New Album Alert 🚨🚨
-อัลบั้มภาคต่อมหากาพย์ Words ที่ตอนนั้นมีแค่ 5 เพลงเท่านั้น แต่ความยาวอัลบั้มล่อไปเกือบ 1 ชั่วโมง อัดแน่นไปด้วยนิยามความรู้สึกที่ถูกตีแผ่ให้กว้างจนครอบคลุมชีวิตมนุษย์แทบทุกคนไม่มากก็น้อย
การปิดอัลบั้มด้วย #ความเยาว์ (บวกด้วย hidden track ที่หาฟังได้ในเวอร์ชั่นซีดีเท่านั้น) จึงไม่ต่างจากการสรุปใจความสำคัญของการเป็นคนตัวเล็กบนโลกใบนี้ ความสลับซับซ้อนของจิตใจคนและการหลั่งไหลข้อมูลข่าวสารปะปนเสียจนไอ้คนที่คิดว่าโตพอแล้วกลับกลายเป็นคนไร้เดียงสาที่ยังหาคำตอบไม่ได้เสียเอง Words ทิ้งบทสรุปปลายเปิดให้คนฟังได้เคว้งคว้างกันต่อไป
-ไม่คิดว่าประโยค One Word Means A Lot of Sentences ที่ถูกโปรยในอัลบั้ม Words จะถูกนำมาสานต่อในมหากาพย์ Sentence ชาเลนจ์ตัวเองอีกขั้นด้วยการวางคอนเซปท์จากประโยคที่ว่า
“ฉันไม่เคยมีความสุขมากเท่านี้มาก่อนเลยในชีวิตนี้”
โดย Tracklist ของอัลบั้มนี้มีทั้งหมด 11 แทร็คด้วยกัน ชื่อเพลงมาจากการหยิบแต่ละคำของประโยคข้างต้นราวกับว่าพวกเขาวางแผนสิ่งนี้มาเป็นเวลานาน ฉันใดฉันนั้น ประโยคใดๆก็เริ่มจากการ “ประกอบ” คำเช่นกัน (Sentence is always made by words.) ตอนที่ผมเคยสัมภาษณ์พวกเขาในช่วง #FUNGINTERVIEWSS3 พวกเขาไม่แม้แต่เผยดีเทลใดๆเกี่ยวกับอัลบั้ม 8 ซิงเกิ้ลที่ปล่อยออกมาก็ปล่อยให้คนฟังไปมโนต่อจิ๊กซอว์กันเล่นๆ ซึ่งก็อิหยังวะอยู่ดี 555
-เมื่อได้เห็นเฉลยก็คลายข้อสงสัยไปได้ส่วนนึงว่า อัลบั้มนี้กำลังจะพูดถึงอะไร? ถ้าหากได้ฟังทุกซิงเกิ้ล น่าจะคาดเดาได้ง่ายดาย แต่ถ้าใครอดทนหลบสปอยล์ 8 เพลงจนสามารถมีชีวิตอยู่จนได้มาฟังเต็มรูปแบบ คุณโคตรเก่งชิบหาย (ชม) เมื่อได้ฟังเรียงต่อกัน ก็อาจจะเก็ตคอนเซปต์ได้ไม่ยากเย็นเช่นกัน
-ถ้าหาก Words คือการเล่าเรื่อง scope กว้างๆ Sentence คือการตี scope ให้แคบลงแบบ individual ปัจเจกบุคคล เพราะนี่คืออัลบั้มแห่ง self-reflect และ self-worth ไปในตัวเลยฮะ ในเมื่อการหาคำตอบถึงความหมายชีวิตแม่งยากเย็นเหลือเกินด้วยกลไกโลกอันซับซ้อน สุดท้ายก็วกกลับมาเพื่อประคองตัวเองอยู่ดีจริงมั้ย? ซึ่งในบางเพลงพี่แม็กเลือกที่จะใช้เทคนิค break the fourth wall หันมาพูดกับคนฟัง เป็นการหยอกเย้าถึงการเป็นตัวแทนมนุษย์ตนนึงที่ขอความสนใจให้คนอื่นรับฟังในความรู้สึกต่างๆนาๆบ้าง
-บทเรียนชีวิตที่ดีที่สุด (ในมุมมองของผมนะ) น่าจะเป็นการออกไปใช้ชีวิตก่อน แล้วค่อยหยิบสิ่งที่ประสบเจอ เอากลับมาตกผลึกเพื่อสะท้อนกลับมาที่ตัวเองอีกทีนึง สิ่งที่ได้จากการฟังอัลบั้มนี้คงไม่ต่างจากรถไฟเหาะในสนามอารมณ์ขนาดย่อมเลยฮะ
***เพราะฉะนั้น การฟังอัลบั้มก่อนหน้านั้น บอกเลยว่า “จำเป็น” เพื่อการปะติดปะต่อความคิดความอ่านเจ้าของอัลบั้มได้แหล่มชัด น่าจะตรงกับสิ่งที่ผมตีความไว้ในช่วงเกริ่นนำพอสมควร อีกทั้งยังมีการทิ้ง easter eggs ของอัลบั้มชุดที่แล้วไว้บางจุดด้วย น่าจะเป็นจุดที่คนฟังว้าวไม่มากก็น้อยด้วย
-ในรีวิว Words ผมเคยเปรียบเปรยประสบการณ์แห่งการฟังกับการนั่งรถไฟเหาะไปทีนึง แต่รถไฟเหาะขบวนนี้เบรคเอี๊ยดในแบบไม่หน้าทิ่ม พอมีจังหวะการแลนด์ดิ้ง ขอกลับไปเสริมเรื่องกลยุทธ์การปล่อยเพลงนิดนึง การปล่อย 8 ซิงเกิ้ล แรกๆผมเองก็หวั่นใจอยู่ไม่น้อยในเรื่องขาดความน่าค้นหา เพราะโดนสปอยล์ไปแล้วกว่า 70 เปอร์เซนต์
แต่ไม่คิดว่าการได้ฟังรูป “ประโยค” ตัวเต็ม การโดนสปอยล์ที่ผ่านมาก็ไม่ทำให้เสียอรรถรสในการฟังอัลบั้มนี้แต่อย่างใด ความเก่งกาจพวกเขาอยู่ตรงนี้แหละ ทำได้ไงกับการที่ปล่อยซิงเกิ้ลแทบทุกเพลงในอัลบั้ม ยังสามารถแปรเปลี่ยนความรู้สึกให้แตกต่างจากการโดนสปอยล์มาแล้ว โดยที่ไม่สูญเสียความน่าค้นหาเลย
#ฉัน แทร็คแรกอันเป็นคำที่ทำหน้าที่เป็น “ประธาน” ในรูปประโยค และยังเป็นจุดสตาร์ทแห่งการเริ่มต้นฟังเสียงของตัวเองด้วย ถ้าสังเกตในท่อนอินโทร เราจะได้ยินท่อน bridge ในช่วงไคล์แม็กซ์ของ “ความเยาว์” ที่ว่า Is this my own life? / Tell me how to make it worth enough? ถูก distort เป็นอันเข้าใจได้ว่า คุณกำลังเข้าสู่ภาคต่อของ Words อย่างเป็นทางการ
สิ่งที่ทำให้เพลงนี้เป็นจุดเชื่อมกับอัลบั้มก่อนก็คงจะเป็นการรักษาธรรมเนียมบทเพลง 10 นาทีเหมือนอัลบั้มก่อน ประหนึ่งสั่งลาการขยาย scope จากอัลบั้มก่อนภายในตัว เพราะนี่คือเพลงที่ยาวสุดในอัลบั้มนี้ แต่พุ่งตรงไปที่จิตวิทยาโดยไม่รีรอ ปูทางให้เห็นถึงความซับซ้อนในตัวเราเอง การเปล่งเสียงทางความคิดที่ระคนกันเสียจนฉันต้องฟังเสียงตัวเองคนไหนกันแน่
ถ้าได้ดู lyrics ตัวเต็มเป็นอะไรที่บ้ามากๆ ท้อนซับฟองคำพูดที่ปะปนหลากอารมณ์ สุข ทุกข์ รำคาญ วิตกกังวล ไม่มั่นคง ปะดังปะเดเข้ามาท้อนซับหลายเลเยอร์ จนทุกวันนี้ผมก็ยังเพ่งฟังเพื่อ catch up ว่า มันพูดถึงตรงไหนวะ555 อย่างไรก็ดีเป็นการเล่นท่ายากแต่โคตรวาไรตี้กันตั้งแต่เนิ่นๆ
และเป็นเพลงที่บ่งบอกภาพรวมในอัลบั้มนี้ได้ดีที่สุด เพราะเป็นการยำเศษขนมปัง sub genre ของทั้งสิบเพลงมามะรุมมะตุ้มเข้าด้วยกัน มีทั้งความแดกดัน การเล่นความเงียบงันมีแค่เสี้ยวเดียวเท่านั้น อารมณ์ทั้งหลายต่อจากนี้โคตรสวิง ราวกับว่าทัวร์นั่งรถไฟเหาะสุด “ปสด” ของเด็กน้อยผู้ผ่านโลกได้เริ่มขึ้นแล้ว (ไม่ได้ด่านะครับ แค่บรรยายอารมณ์ร่วม)
-ต่อเนื่องด้วย #ไม่ ซิงเกิ้ลกลุ่มแรกที่ได้ปล่อยออกมาให้ชิมลางเมื่อปีที่แล้ว แทนที่จะเป็นเพลงที่มีฟังก์ชั่นไว้ล้อมวง moshpit ในงานคอนเสิร์ตอย่างเดียว กลับกลายเป็นเพลงแห่งการ response ด้วยอารมณ์เกรี้ยวกราดต่อเนื่องจากเพลง “ฉัน” ได้อย่างลงล็อคในแง่ของ “กูไม่สนห่าไรแล้วไอ้สัด”
กูต่อต้านไว้ก่อน เพื่อสลัดอีเสียงในหัวทีตีกันออกไปให้ได้มากที่สุด แทนที่จะสงบนิ่ง แต่เลือกที่จะด่ากราด ระบายความอัดอั้นออกไปแทน ตอนที่ปล่อยเป็นซิงเกิ้ลเดี่ยวยิ่งรู้สึกมันส์แล้ว พอมาอยู่ในอัลบั้มฟังก์ชั่นของเพลงหยอกเย้าต่อความรู้สึกที่โคตรมีประสิทธิภาพยิ่งกว่า
-จบจากอารมณ์เมทัลเดือดๆแสนสั้นแล้ว เบรคเอี๊ยดด้วย #เคย ซิงเกิ้ลแรกที่มีฟังก์ชั่น commercial single ของวงนี้มากที่สุด เนื่องด้วยแนวเพลงบัลลาดร็อคที่เข้าถึงคนส่วนใหญ่ในประเทศได้มากสุด และแขกรับเชิญนักร้องหญิงแถวหน้าอย่าง พี่แพท KLEAR ที่มาตอกย้ำความเป็นเจ้าแม่เพลงอกหักในการเสริมทัพดูเอ็ทร่วมกับพี่แม็กส่งต่อพลังแห่งความ reminisce เว้าวอนถึงอดีตที่ต่อให้ไม่ใช่บริบทของความรัก อดีตอันหอมหวานเกี่ยวกับความทรงจำที่เราเคยผูกพัน ท้ายสุดมันก็แค่เป็นโมเมนต์ครั้งนึงในชีวิตที่ผ่านแล้วผ่านไปกลายเป็นอดีตอยู่ดี
#มี ในที่นี้ไม่ได้เป็นคำกริยา has/have แต่พ้องเสียงกับ Me ที่แปลว่า “ฉัน” ทำหน้าที่ “กรรม” ในประโยคอีกที จากเพลง “ฉัน” ที่ทะเลาะกับตัวเอง กลับกลายเป็นการปลดปล่อยความเก็บกด ตอกกลับคนที่ judge หรือนินทาไปเรื่อย ทั้งๆที่พวกคุณทั้งหลายก็ไม่ได้รู้จักผมเลยแม้แต่น้อย การเลือกถ่ายทอดเป็นภาษาอังกฤษทั้งเพลงกลับมีผลให้ความรู้สึกแห่งการโหยหาเมทัลยุค 2000 ต่อติดได้อัตโนมัติไหลลื่นกว่าภาษาไทย เหมือนได้เจอคนที่โตมากับเมทัลยุครุ่งเรือง
#ความสุข ที่เข้าโหมดโรแมนติกจนปรับตัวไม่ทันเลย แต่เมื่อได้ฟังอัลบั้มนี้ไปซักพักน่าจะปรับตัวได้เร็วขึ้น นิยามความสุขของ TDR กลับกลายเป็นการให้ความสำคัญกับคนที่อยู่ข้างๆจวบจนวันนี้นั่นเอง ซึ่งก็ได้คุณ PPOIID ภรรยาพี่แม็กมาร่วมดูเอ็ทถ่ายทอดความงดงามของชีวิตคู่ที่ไม่ได้หวานเลี่ยน สามารถปลอบประโลมคนฟังไม่ให้เหงาใจไม่มากก็น้อย บางทีมนุษย์ควรต้องได้รับการเติมเต็มจากใครคนใดคนนึง ไม่ใช่แค่ตัวเราเองคนเดียวเสมอไป ถ้าใครยังไม่พบเจอคนๆนั้น อย่ามองข้ามความสุขใกล้ตัว
-ยังไม่ทันได้พบพานความสุข กลับมา annoy ต่อด้วย #มาก แดกดันสังคมยุคโซเชี่ยลได้เจ็บแสบและสะใจมากๆ ราวกับว่าผมอยากฟังการจิกกัดอะไรแบบนี้มานานแล้ว ซึ่งเพลงนี้ขยี้ถึงต้นตอแห่งความชิบหายได้ตรงจุด นี่คือเพลงระบายความอัดอั้นประจำยุคสมัยโดยแท้จริง คิดไปคิดมา ผมยกให้เพลงนี้คือที่สุดแห่งการตรงจริต คลิ๊กตั้งแต่แรกฟัง
ถ้า #ฉัน เป็น Inside Out ที่รำคาญด้วย Too many voices inside me #มาก ก็เปรียบเหมือนระบายความอัดอั้นแบบ Outside In ต่ออิทธิพลแห่งโลกโซเชี่ยลที่ “มากคนมากความ” เต็มไปด้วยการหลั่งไหลข้อมูลข่าวสารจริงบ้างปลอมบ้าง แถมยังพ่วงด้วยกูรูอวดภูมิเยอะแยะมากมาย แทนที่ปัญหาสังคมจะได้ถูกแก้ไขตรงจุด กลับกลายเป็นความคาราคาซังที่ต้องคอยแวะแก้ต่างไปๆมาๆ และยังมือไม่พายเอาเท้าราน้ำอีก ยิ่งมาในแนวทาง Nu-Metal ยิ่งสาแก่ใจเข้าไปใหญ่ เพิ่มเติมด้วยลูกเล่นดนตรีไทยที่น่าพิสมัยยิ่งนัก
#เท่านี้ ว่าที่เพลงชาติคนจำพวกติดหล่มอยู่กับ imposter syndrome บัลลาดร็อคแห่งความรวดร้าว ตัดเลี่ยนดราม่าด้วยท่อนแรป แล้วตบด้วยเมทัลโขกแรงๆ ตอกย้ำในความช่วยไม่ได้ที่เป็นแบบนี้ The Best I Can ซึ่งบางทีไอ้การรับสภาพเช่นนี้ ทำให้เราก้าวข้ามความรู้สึกผิดที่ไม่สามารถทำตามความคาดหวังก็เป็นได้ในซักวัน ในขณะเดียวกัน บาร์มาตรฐานในการชี้วัดก็มีเยอะเหลือเกิน จนเราโดนตัดสินไปแล้วแบบที่เคยรู้สึกในเพลง #มี และโดนทัวร์ลงจนด้อยค่าตัวเองแบบ #มาก ถ้าเรามั่นใจว่าไม่ผิด คงต้องปลอบใจด้วยประโยค “กูเป็นของกูแบบนี้”
#มา เป็นการปลุกใจจากความรู้สึกดาวน์ในเพลงก่อน ด้วยการโด๊ปด้วย M-150 ที่พอมาอยู่ในอัลบั้มนี้กลับทำงานต่อความรู้สึกได้เต็มสูบยิ่งกว่าซิงเกิ้ลเดี่ยวเสียอีก ด้วยการเติมเต็มให้ทั้งคนฟังและตัวละคร “ฉัน” ในอัลบั้มนี้ให้มีเชื้อไฟในการออกไปสู้ชีวิต ภายใต้ “ความรับผิดชอบ” ที่แบกไว้บ่นบ่าได้ดีทีเดียวเลยฮะ
การลำดับความที่ไต่ระดับความรู้สึกท้อแท้เหนื่อยหน่ายปะปน ถูกอุ้มชูด้วยการใส่ mindset บวกในท่อนฮุก และคลื่นลูกล่อลูกชนของ Doom Metal ที่มาเร่งอะดรีนาลีนได้อย่างตรงจังหวะจะโคน ราวกับถึงเส้นชัย ถ้าหากเพลง “ความรับผิดชอบ” มันเครียดเกินไป เพลงนี้น่าจะชดเชยความรู้สึกให้พอมีแสงแห่งความหวังขึ้นมาบ้าง
-มาถึงโหมดซึ้งของจริงในเพลง #ก่อน ที่ผ่อนเครื่องให้ calm จากเพลงก่อนด้วยน้ำเสียงแห่งการประนีประนอมต่อตัวเองไม่ให้ “คิดสั้น” เพียงแค่ชั่ววูบ จากการได้สู้อะไรมาหลายอย่าง เห็นแสงรำไรอยู่แล้ว อย่าเพิ่งรีบไปไหนเสียก่อน จงอยู่เพื่อให้ได้รับการปลอบประโลมก่อน การซัดด้วยโซโล่กีตาร์และออเครสตร้าในช่วงท้ายนอกจากจะขับเคลื่อน cinematic ได้อย่างเจ้มจ้นแล้ว ยังมอบ space ปล่อยให้คนฟัง wrap up ภาพทรงจำที่ผ่านมาดั่งแฟลชแบ็คด้วย
#เลย เอาคืนด้วยการปล่อยวางหรือหัวเราะเยาะจงใจกระทืบซ้ำกันแน่ ? แต่ที่แน่ๆตัว ”ฉัน“ ในวันนี้จะไม่ยอมใครอีกต่อไป ไม่ใช่ปล่อยผ่านแล้วผ่านเลย แต่เป็นการสมน้ำหน้าพร้อมทั้งตัดพวกแม่งไปจากชีวิตได้ยิ่งดี เพลงนี้พี่แม็กเลือกที่จะ break the fourth wall หันมาพูดกับคนฟังเป็นเพลงสุดท้าย น่าสนใจว่า ทำไมถึงเลือกเพลงนี้? ผมมีข้อสังเกตแบบนี้
หลังจากที่เพลงแรก #ฉัน เหมือนส่ง SOS เรียกร้องความสนใจจากคนฟัง ในเพลง #มาก ก็มาในเชิงเย้ยหยันแบบว่า บางเรื่อง มึงไม่จำเป็นต้องรู้ก็ได้ แต่พอมาเป็นเพลง #เลย ผมกลับรู้สึกว่าตัว “ฉัน” ณ ตอนนี้ไม่ได้จงใจ self-blame ตัวเองเสมอไป ซึ่งเพลงแรกเนี่ย เหมือนบ่นกล่าวโทษถึงความซับซ้อนในตัวเอง บางทีไอ้การที่เราแม่งเป็นแบบนี้ ความเก็บกดและเกลียดชังที่บังเกิดส่วนนึงมันมาจากคนที่เอารัดเอาเปรียบเราด้วย เพลงนี้น่าจะเปรียบเหมือนการเฉลิมฉลองในเวย์ “สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม” ด้วยแหละ
-ปิดท้ายด้วย #ในชีวิตนี้ บทสรุปทุกสิ่งอย่างประหนึ่งสำนวน “ชีวิตก็เป็นอย่างนี้” ด้วยท่วงทำนองบัลลาดร็อคออเครสตร้าที่ได้ Cherryl J. Hayes ศิลปินแจ๊สระดับอาจารย์มาขับขานเพิ่มมิติ black music หยอดเข้าไปให้ลึกซึ้งเข้าไปอีก การมีเสียงสวรรค์ spoken word เป็นการตบบ่าถึงชีวิตที่มีสุขและทุกข์ปะปนกัน เพราะฉะนั้นการอยู่รอดมาถึงจุดๆนี้ได้ ถือว่าเป็นยอดคนแล้วจริงๆ
การตอกย้ำด้วยประโยคที่ประกอบไปด้วย 10 คำ 10 แทร็คที่ผ่านมา “ฉันไม่เคยมีความสุขมากเท่านี้มาก่อนเลย” ในท่อน Outro เป็นการจบมหากาพย์ที่คลี่คลายในตัวมัน เพื่อให้เห็นว่า กว่าจะมาพบพานกับความสุขนี้ได้ ผ่านความหนักหน่วงพอสมควร นิยามความสุขอาจจะมาจากเพลง “ความสุข” ได้ก็จริง แต่ด้วยการผ่านกลไกชีวิตอันซับซ้อน มันจึงจำกัดไม่ได้เลยว่า ความสุขต้องหน้าตาแบบไหน ที่แน่ๆมันต้องผ่านเพื่อมีภูมิคุ้มกันเสียก่อน เพื่อเข้าใจตัวเองให้มากขึ้น
ถ้าใครสังเกตในท่อน Outro จะมีจังหวะบีทที่คล้ายกับอินโทรเพลง “ความรับผิดชอบ” เป็นอันเข้าใจได้ว่า ทางวงจงใจทำให้ Word และ Sentence วนลูปกัน จบจากการเข้าใจตัวเองแล้ว ต้องตื่นไปสู้กับโลกแห่งความจริงในวันถัดๆไป นี่แหละที่ผมบอกว่า การฟังอัลบั้ม Words มาก่อน ถือว่าจำเป็นในการปะติดปะต่อความรู้สึกเพื่ออรรถรสเช่นนี้
-จะมีซักกี่วงที่พกอุดมการณ์ที่เต็มกระเป๋า แล้วนำมาขับเคลื่อนได้อย่างเต็มศักยภาพ สมเป็น mastermind ของจริง นี่ไม่ใช่วงเมทัลที่ทำเพลงเอาแต่ว๊ากหรือสับๆๆแค่มิติเดียว แต่ไม่หยุดที่จะแสวงหาความรู้ใหม่ๆ input ใหม่ ประสบการณ์โปรดิวซ์ให้ศิลปินอื่นๆของพี่แม็ก ถูกนำมาผสมปนเปด้วยความรู้สึกที่ไม่เคยมั่ว จับบริบทอย่างแน่น เข้าใจชั้นเชิงที่ดีพอราวกับว่าพวกเค้าเข้าไปอยู่ในหัวของเราโดยไม่รู้ตัว
-สังเกตได้จากหลายๆบทสัมภาษณ์ ดูเหมือนว่าพวกเขาศึกษาหลักจิตวิทยาเยอะพอสมควร หยิบจับและตั้งคำถามต่อสเตตัสในโลกออนไลน์ ประหนึ่งทำการบ้านได้ดีพอในการตกผลึกถึงการสำรวจตัวเองได้อย่างเข้มข้นไม่เกินจริง
-จากรีวิวอัลบั้ม Words ผมแอบตั้งขอสังเกตปกอัลบั้มที่เป็นกราฟฟิกรูปมนุษย์ ประหนึ่ง A.I. ที่เป็นแค่คลื่นของลายเส้น แต่ข้างในช่างกลวงเหลือเกิน ราวกับว่า “ฉัน” ในวันนั้นไม่ต่างจากการถูกเซ็ตโปรแกรมด้วยการตั้งค่าจากธรรมเนียมหรือความคาดหวังบางอย่าง จนบางทีไอ้การวิ่งไล่ตามความสำเร็จบางอย่างก็กลับถูกลดทอนความเป็นมนุษย์ ไม่ต่างจากหุ่นยนต์จากโรงงานที่ความเข้าใจในตัวเองแทบเป็นศูนย์ ถูกให้เคว้งคว้างอยู่ในโลกของมนุษย์
-แต่พอมาลองสังเกตปกอัลบั้ม Sentence รอบนี้ ชัดเจนเลยว่า จาก A.I. ในภาคแรกได้เปลี่ยนผ่านสู่การเกิดใหม่เป็นมนุษย์ที่ได้รับการแต่งแต้มสีสันและเป็นตัวเป็นตนแล้วจริงๆ
-ถึงผมจะชอบ Words มากกว่า Sentence เนื่องด้วยจริตความเข้มข้นบางอย่างที่ตึงถึงเครื่อง แต่ชอบมากกว่าแค่นิดหน่อยเท่านั้น อย่างน้อยก็เป็นทวิภาคที่ควรฟังควบคู่เพื่ออรรถรสที่ดีกว่าจริงๆ TDR ไม่เคยทำให้ผิดหวังจริงๆ
-พอผมได้เห็นเพจเพลงทยอยรีวิวอัลบั้มนี้กันตั้งแต่แรกๆ ผมดีใจมากๆที่วัฒนธรรมการฟังเพลงในบ้านเรากำลังถูกให้ความสำคัญแล้วจริงๆ มันมากกว่าการมาบอกว่า ลูกเล่นภาคดนตรีแพรวพราวเช่นไร สิ่งที่ไปไกลกว่านั้นน่าจะเป็นการที่อัลบั้มได้ทำสิ่งที่เรียกว่า deep conversation ให้ได้ขบคิดต่อจริงๆ ผมว่านี่คือความตื่นเต้นที่จะได้เห็นการสนทนาอย่างออกรสในชุมชนเพลงด้วย perspective ที่หลากหลายเป็นแน่นแท้
ในมุมมองของผม ตีความได้แบบนี้ครับ
Give 9/10
Thx 4 Readin’
See Y’all
โฆษณา