30 พ.ย. 2023 เวลา 09:16 • ท่องเที่ยว

Japan Autumn 2023 .. The Festival of Color (01) .. The Shinkyo Bridge สะพานศักดิ์สิทธิ์แห่ง นิกโก

Some say FALL is the season when leaves change ..
I say it’s the season when my sweet memories never change!
ญี่ปุ่น เป็นประเทศที่มีภาพลักษณ์แรงกล้าทั้งในด้านความทันสมัย และเป็นประเทศที่มีขนบธรรมเนียมวัฒนธรรมที่โดดเด่น มีเสน่ห์และเอกลักษณ์เฉพาะตัว ซึ่งมีไม่กี่แห่งในโลกที่รวมกันเอาไว้ในที่เดียวได้อย่างน่ารัก น่าค้นหา
พฤศจิกายน อุณหภูมิในหลายภูมิภาคของญี่ปุ่นเริ่มลดลง .. ว่ากันว่า ตอนเช้าเราสามารถสัมผัสได้ถึงสายลมเย็นจากทางเหนือที่ทำให้หัวใจของเราเริ่มติดปีก มันเหมือนมีอะไรบางอย่างมากระตุ้นให้อยากเดินทางไปในที่ที่ท้องฟ้าเป็นสีฟ้าใส แลลึกล้ำไม่มีที่สิ้นสุด ใบไม้เริ่มเปลี่ยนสี งดงามเหมือนภาพเขียน
.. และหากเอ่ยถึงการเที่ยวชมใบไม้แดง ญี่ปุ่นก็มักจะแอบแฝงตัวเข้ามาในห้วงคำนึงในลำดับต้นๆเสมอ ทริป Japan Autumn, the festival of color 2023 จึงก่อเกิดขึ้นมา โดยมีเพื่อน (ใกล้บ้าน) ที่น่ารัก ป้อม-พี่วสันต์ ซึ่งเป็นผู้ก่อการและสปอนเซอร์รายใหญ่
การเดินทางไปญี่ปุ่นเพื่อชมใบไม้เปลี่ยนสีในภูมิภาคคันโตครั้งนี้ เป็นทริปขับรถเที่ยวไปเรื่อยๆ เรียงๆกันไป ไม่รีบร้อน .. ไม่เน้นมากมายหลายสถานที่ที่จะไปเที่ยวชม หากแต่เน้น “สถานที่สวย เดินอย่างรื่นรมย์ และอาหารอร่อย” อันเป็นธีมหลักของทริปนี้ค่ะ
Nikko เมืองมรดกโลก แห่งอุทยานฯ ธารสวรรค์แห่งคันโต
ภูมิภาคคันโต (Kanto Region) ได้ชื่อว่าเป็นพื้นที่ของการเที่ยวชมใบไม้เปลี่ยนสีที่เปี่ยมสีสัน งดงามมากที่สุดแห่งหนึ่งของญี่ปุ่น แต่ละเส้นทางเหมาะสำหรับการขับรถเที่ยวอย่างจริงจัง .. แค่จินตนาการถึงเส้นทางคดเคี้ยวของถนนที่ลัดเลาะไปตามหุบเขาน้อยใหญ่ ก็หลงใหลในเสน่ห์ของการขับรถไล่ตามแหล่งชมใบไม้เปลี่ยนสีของภูมิภาคนี้ จนต้องเร่งวัน เร่งคืนให้การเดินทางมาถึงโดยเร็ว
Nikko เมืองสวยงามที่ห้ามพลาดเมื่อมาเยือนญี่ปุ่น เมืองนี้ได้ชื่อว่าเป็น “เมืองมรดกโลก” ที่เต็มเปี่ยมไปด้วยภูมิหลังทางประวัติศาสตร์ ศิลปะ วัฒนธรรม และธรรมชาติที่สวยงาม .. ซึ่งหลายคนบอกว่า ถ้าได้มาแล้วจะต้องหลงรักในเสน่ห์อันไม่มีที่สิ้นสุดของเมืองน่ารักแห่งนี้แน่นอน
NIKKO is NIPPON .. คำขวัญนี้คงทำให้พอเดาได้ว่า นิกโก้ เมืองมรดกโลกแห่งนี้เต็มไปด้วยเอกลักษณ์ของญี่ปุ่น มีแลนมาร์กน่าเที่ยวที่ไม่ควรพลาดมากมาย จนเวลาเท่านั้นที่เป็นข้อจำกัดของการเดินทางในทริปนี้ที่เราอยากจะไปเก็บภาพและชมอีกหลายเมือง
นิกโก้ First Look .. แรกพบสบตา รักปักใจ
นิกโก (Nikko 日光市) ตั้งอยู่ใน จังหวัดโทชิกิ (Tochigi) ภูมิภาคคันโต (Kanto Region) ทางทิศตะวันตกของ ประเทศญี่ปุ่น ห่างจากกรุงโตเกียวประมาณ 140 กิโลเมตร เป็นเมืองที่มีความสำคัญทางด้านประวัติศาสตร์ ศิลปะ และวัฒนธรรมอย่างมาก จนได้รับการยกย่องให้เป็นหนึ่งในเมืองมรดกโลกของประเทศญี่ปุ่น และสามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวได้มากมายในแต่ละปี
นิกโก้ (Nikko) เมืองเล็กๆ ในจังหวัดโทชิงิ (Tochigi) ของญี่ปุ่น เป็นที่รู้จักกันดีในเรื่องของธรรมชาติที่กว้างใหญ่และความอุดมสมบูรณ์ของพื้นที่ อีกทั้งยังเป็นเมืองท่องเที่ยวที่โด่งดังด้วยศาลเจ้าและเรื่องราวทางประวัติศาสตร์มากมาย
… ไม่ว่าจะเป็น ศาลเจ้านิกโก้โทโชกู (Nikko Toshogu Shrine) หนึ่งในแลนด์มาร์คสำคัญของเมืองที่ถูกจัดให้เป็นหนึ่งในสมบัติของชาติของญี่ปุ่นอีกด้วย หรือจะเป็นสะพานชินเคียว (Shinkyo Bridge) ที่ได้รับการจัดอันดับให้เป็นหนึ่งในสามสะพานที่ดีที่สุดของญี่ปุ่นก็ตั้งอยู่ที่เมืองนี้ด้วยเช่นกัน
เมืองที่เต็มไปด้วยเรื่องราวของประวัติศาสตร์กว่า 1,200 ปี และเติบโตมาจากรากฐานของศาสนาที่งดงาม จนทำให้ผู้คนในเมืองเค้าเลื่อมใส และอนุรักษ์เกี่ยวกับทางศาสนาเอาไว้เป็นอย่างดีเสมอมา
สถานที่ท่องเที่ยวที่สำคัญในนิกโก จึงถูกแบ่งออกเป็น 2 โซนใหญ่ๆ คือ โซนมรดกโลก และ โซนธรรมชาติ ประกอบไปด้วย ศาลเจ้า วัด น้ำตก ทะเลสาบ และอื่นๆ อีกมากมาย
.. และแม้ว่าฉันจะไม่เคยมาเที่ยวนิกโก้มาก่อน แม้จะชื่นชอบใบไม้เปลี่ยนสีมากแค่ไหนก็ตาม .. เมื่อตรวจดูข้อมูลก่อนเดินทาง จึงรู้ว่าคนไทยชอบมาเที่ยวเมืองนี้มากไม่แพ้เมืองอื่นๆที่ตั้งอยู่รายรอบกรุงโตเกียว
นิกโกอยู่ห่างจากโตเกียวไปทางเหนือในระยะทางราว 140 กิโลเมตร .. หลังจากรับรถเช่าจากสนามบิน ฮาเนดะ แล้ว รถของเราแล่นมาเรื่อยๆ ใช้ความเร็วในการขับรถได้ไม่มากนัก
.. ยิ่งห่างโตเกียวออกมาเท่าไหร่ ต้นไม้ใบหญ้า ก็ยิ่งตื่นตามากขึ้นเท่านั้น
เราแวะทานอาหารมื้อแรก ที่ Rest Area ที่มีชื่อว่า Family Lodge Hatagoya Sano SA ซึ่งเป็นที่พักรถ พักร่าง ซึ่งเป็นที่นิยมของนักเดินทางทางถนน ..
ที่นี่มีห้องน้ำสะอาดให้บริการ มี Mall ขนาดกะทัดรัดที่มีสินค้าขายหลากหลาย ส่วนใหญ่ที่เห็นก็จะเป็นพวกขนมญี่ปุ่นที่รูปลักษณ์และการจัดวางช่างเร้าใจมาก คงอร่อยถูกปากใครหลายคน
.. เมนูอาหารของที่นี่มีสารพัดให้เลือก ส่วนใหญ่จะเป็นอาหารง่ายๆประเภท ราเม็ง ก๋วยเตี๋ยวญี่ปุ่น หลากหลายหน้าตา
ซึ่งเมื่อเราเล็กเมนูที่จะสั่งได้แล้ว ต้องไปกดเลือกสั่งได้ที่ตู้ที่รูปลักษณ์เหมือน Wending Machine ขายขนมและน้ำดื่ม
เราไม่รอช้า ตรงเข้าไปเลือกกดสั่งอาหาร พร้อมจ่ายตังค์เรียบร้อย .. แต่แค่หันกลับมาเท่านั้นเอง เป็นวินาทีที่เราเห็นคนญี่ปุ่นที่มาก่อรเรา เข้าแถวต่อคิวยาวเป็นระเบียบ แต่พวกเขาก็ไม่ได้โวยวายอะไร
.. เฮ้อๆๆๆๆๆ แค่ปฐมบทของการเยือนประเทศนี้ เราก็ทำผิดกฎซะแล้ว
น้ำดื่ม .. ต้องมากดแบบที่เห็น
อาหารที่เราสั่งมารับประทานกันค่ะ
หลังอิ่มหนำสำราญ และเข้าไปใช้บริการห้องน้ำสะอาดแล้ว .. เรามาเดินชมลานโล่งด้านข้างของ Rest Area ที่จัดเป็นเหมือนลานกิจกรรมให้เด็กๆ และคนที่หัวใจยังเป็นเด็ก ได้มานั่งบนที่นั่งอ่อนนุ่ม สีสันสดใส ดึงดูดให้เด็ก (จริงๆ) บางคนขึ้นไปกระโดดโลดเต้นบนเบาะเหล่านี้
... บางคนที่หัวใจเต็มไปด้วยความรักที่มีต่อน้องหมา .. มาครั้งนี้ฉันสังเกตเห็นว่า คนญี่ปุ่นมากขึ้นที่เลี้ยงหมา และทุ่มเทให้กับน้องหมาของพวกเขา ในสวนสาธารณะก็จะมีคนจูงหมามาเดินเล่นจำนวนไม่น้อย และสวนบางแห่ง ที่พักรถบางแห่ง มีการจัดลานศารณะให้น้องหมาได้มาเดิน และเอ็หชกเซอรฺไซด์กันเป็นล่ำ เป็นสันเลยทีเดียว
เราขับรถกันต่อมา ในระหว่างทางมีภาพทิวทัศน์ที่สวยงามผ่านเข้ามาในสายตาเป็นระยะๆ จนเริ่มเข้าเขตแห่งป่าเขาเมืองนิกโก้
.. แว่บแรกที่รถแล่นผ่านสะพานไม้สีแดงสด “ซินเกียว” สัญลักษณ์สำคัญคู่บ้านคู่เมืองนิกโก้ ที่มีลำธาร “ไตยะ” ที่ใสราวกับกระจกอยู่ด้านล่าง ล้อมรอบด้วยป่าทึบที่ขึ้นชื่อเรื่องสีสันของต้นไม้ในช่วงฤดูใบไม้ร่วง
.. อารมณ์ความรู้สึกยินดีกับตัวเองที่มีโอกาสมาเยือนสะพานไม้โค้งที่เก่าแก่ มรดกทางวัฒนธรรม ที่แอ่นตัวข้ามแม่น้ำ .. ก็เข้ามาจู่โจมอย่างรุนแรง
.. I love you Nikko .. คือเสียงตะโกนดังๆในใจ ขณะที่ส่งสายตาไปชื่นชมความงามเบื้องหน้า
The Shinkyo (神橋, Shinkyō, "Sacred Bridge")
สะพานไม้โค้งสีแดงสด “ซินเกียว” (Shinkyō 神橋) .. ถือเป็นสะพานศักดิ์สิทธิ์ในเขตของศาลเจ้าฟุตะระซัง สะพานที่เราเห็นสร้างขึ้นเป็นครั้งแรกเมื่อปี ค.ศ. 1636 แต่ต้องโน้ตไว้ว่า มีสะพานบางแห่งที่ทำเครื่องหมายจุดเดิมไว้นานกว่ามาก
“สะพานซินเกียว” สะพานไม้โบราณสีแดงที่ถูกกำหนดให้เป็นมรดกโลกเมื่อปี 1999 รวมถึงได้รับการจัดอันดับให้เป็น 1 ใน 3 สะพานที่ดีที่สุดของญี่ปุ่น ร่วมกับสะพานคินไตเคียว (Kintaikyo) ที่เมืองอิวะคุนิ (Iwakuni) ในจังหวัดยะมะงุชิ (Yamaguchi) และ สะพานไม้โบราณซารุฮาชิ (Saru-hashi Bridge) ที่เมืองโอสึกิ (Otsuki) ในจังหวัดยามานาชิ (Yamanashi) อีกด้วย
.. นับว่าเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ในนิกโก้และเป็นของศาลเจ้าฟุตารายามะ เป็นทรัพย์สินทางวัฒนธรรมที่สำคัญของญี่ปุ่นและได้รับการจัดอันดับให้เป็นมรดกทางวัฒนธรรมของโลก
สะพานไม้โบราณสีแดงที่งดงามนี้ ตั้งอยู่บริเวณเชิงเขา เชื่อมต่อสองฝั่งของ แม่น้ำ Daiya-gawa ที่เชื่อว่าเป็นแม่น้ำที่แบ่งเส้นเขตแดนระหว่างโลกมนุษย์และดินแดนศักดิ์สิทธิ์ค่ะ ตัวสะพานทาด้วยสีแดง โดดเด่นท่ามกลางธรรมชาติที่สวยงามของขุนเขา และแม่น้ำที่ไหลผ่าน เป็นภาพที่สวยงามเป็นอย่างมาก
.. แม้ว่าต้นกำเนิดที่แน่นอนจะไม่ชัดเจน .. จนถึงปี 1973 สะพานชินเคียวถูกจำกัดให้เข้าถึงได้เฉพาะบุคคลบางพวกเท่านั้น เช่นขุนนางชั้นสูง จนเมื่อสะพานแห่งนี้ได้รับการปรับปรุงใหม่ครั้งใหญ่ในช่วงปลายทศวรรษ 1990 และต้นทศวรรษ 2000 จึงอนุญาตให้นักท่องเที่ยวสามารถเดินข้ามสะพานและกลับมาได้โดยเสียค่าธรรมเนียมเพื่อเข้าไปเดินเล็กน้อย
ตำนานที่กล่าวขานเกี่ยวกับสะพานแห่งนี้เล่าว่า ... บริเวณที่ตั้งของสะพานในปัจจุบันนั้น แต่เดิมไม่มีสะพาน มีเพียงแม่น้ำที่ไหลผ่านที่นี่เท่านั้น พระสงฆ์ “โชโด โชนิน” (Shodo Shonin) ผู้ก่อตั้ง “วัดรินโนจิ” (Rinnoji) และหัวหน้านักบวชองค์แรกของนิกโก้ และผู้ติดตามได้ปีนภูเขานันไตในปี 766 เพื่ออธิษฐานขอให้ชาติเจริญรุ่งเรือง พวกเขาไม่สามารถข้ามแม่น้ำไดยะที่ไหลเชี่ยวได้ โชโดสวดภาวนาและเทพเจ้าสูง 10 ฟุตชื่อจินจะ-ไดโอก็ปรากฏตัวพร้อมกับงูสองตัวพันรอบแขนขวาของเขา
จินจะ-ไดโอปล่อยงูสีน้ำเงินและสีแดง และพวกมันแปลงร่างเป็นสะพานคล้ายสายรุ้งที่ปกคลุมไปด้วยต้นกก ซึ่งโชโดและผู้ติดตามของเขาสามารถใช้ข้ามแม่น้ำได้ ด้วยเหตุนี้บางครั้งสะพานนี้จึงถูกเรียกว่ายามาสุเกะโนะ-จาบาชิ ซึ่งแปลว่า "สะพานงูแห่งต้นกก"
สะพานชินเกียวได้รับการสร้างขึ้นใหม่หลายครั้งแต่ใช้รูปแบบการออกแบบเดียวกันมาตั้งแต่ปี 1636 เมื่อมีเพียงผู้ส่งสารของราชสำนักเท่านั้นที่สามารถใช้งานได้ เปิดให้ประชาชนทั่วไปเข้าชมมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2516
สะพานแห่งนี้ถูกสร้างด้วยไม้และสีแดง ที่มาจากยางไม้สีแดงที่ถูกนำทาเคลือบเอาไว้ .. ตัวสะพานมีความยาว 28 เมตร กว้าง 8 พาดผ่านแม่น้ำรายล้อมไปด้วยต้นไม้มากมาย ถือเป็นหนึ่งในที่เที่ยวสุดฮิตของนิกโก้ ที่นักท่องเที่ยวนิยมชมชอมมาถ่ายรูปคู่กับเจ้าสะพานนี้เยอะมาก
เราไม่ได้ขึ้นไปบนสะพาน .. เดินมาที่สะพานหลักตามถนนที่รถวิ่งผ่าน แล้วถ่ายรูปจากตรงนี้เพื่อให้เห็นวิวของ สะพานชินเคียว (Shinkyo Bridge) ที่อยู่ด้านหลังแทน ซึ่งเป็นมุมที่ถ่ายรูปสวยมาก เหมาะกับคนที่ไม่เน้นเดินชมวิวบนสะพาน แต่เน้นบรรยากาศโดยรอบที่งดงาม
“สะพานซินเกียว” พาดตัวข้ามแม่น้ำไดยะที่ตั้งอยู่ตรงสามแยกไฟแดง .. ที่นี่จึงเป็นเหมือนจุดเริ่มต้นของการเที่ยวสำรวจโซนมรดกโลก
ใกล้กับสะพานซินเกียว มีศาลเจ้าขนาดเล็ก (ไม่รู้ชื่อ) ที่สวยเหมือนกัน
ด้านหน้าทางเข้าศาลเจ้ามีรูปปั้นที่อาจจะเป็นบุคคลที่มีความสำคัญ .. แต่ไม่ทราบชื่อ และความเป็นมาค่ะ
โฆษณา