7 ธ.ค. 2023 เวลา 12:38 • การศึกษา

ลูกทุ่งโมเดิร์นกำลังติด ฮิปฮอปจะกลับมาฮิตอีกครั้ง

สรุป Insight และ Trends ของวงการเพลงไทยปี 2024 โดย Believe Digital Thailand
Believe Digital เป็นชื่อที่ไม่คุ้นหูกันนัก สำหรับวงการเพลง เพราะพวกเขาไม่ใช่ค่ายเพลงที่คนส่วนใหญ่คุ้นเคยนัก ทว่าหากบอกว่า Believe Digital เป็นผู้อยู่เบื้องหลังการดูแลศิลปินเบอร์ใหญ่ในไทยทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็น YOUNGOHM, SARAN, UrboyTJ, TIMETHAI, fellow fellow (เจ้าของเพลงดาวหางฮัลเลย์) หรือแม้กระทั่งค่าย YUPP! นั้น หลายคนก็คง เริ่มร้องอ๋อขึ้นมาบ้าง
Believe Digital เป็นบริษัทชั้นนำระดับโลกด้านการบริหารจัดการเพลงดิจิทัล อายุ 17 ปี ซึ่งมีสาขาอยู่ทั่วโลก โดยในไทย Believe Digital นับเป็นปีที่ 10 แล้ว ด้วยการนั้นคุณสมวลี ลิมป์รัชตามร, Country Director Believe Digital ประเทศไทย จึงได้ให้เกียรติมาร่วมพูดคุยกับเราในเรื่องของอินไซต์ของผู้ฟัง และเทรนด์ของวงการเพลงไทยในปีหน้า
เทรนด์ของผู้บริโภคในปีนี้เป็นแบบไหน
คุณสมวลีกล่าวว่าเทรนด์การฟังเพลงของผู้บริโภคในปีนี้ มาในแนวของความคิดถึง กล่าวคือเป็นปีที่เพลงยุค 80-90 ถูกนำกลับมาสตรีมบ่อยมาก ฉะนั้นแล้วจะเห็นได้ว่า เพลงคือสินทรัพย์ที่ไม่มีวันตกยุค เพราะแม้จะเป็นเพลงเก่า แต่ก็สามารถเบียดกลุ่มเพลงใหม่ได้อย่างง่ายดาย
เทรนด์ของอุตสาหกรรมเพลงปีหน้าจะเป็นอย่างไร
👉 ฮิปฮอปจะกลับมารุ่งเรืองอีกครั้ง คุณสมวลีกล่าวว่าเป็นปีที่จะระเบิดออกมา เราจะได้เห็นว่ากลุ่มศิลปิน Top 20 จะมีแต่ฮิปฮอปเป็นส่วนมาก
👉 ยุคแห่งอินดี้กำลังกลับมา เพราะผู้บริโภคส่วนใหญ่ ซึ่งเป็น GEN Z นั้น ไม่จำกัดว่าตัวเองต้องฟังเพลงของค่ายไหน พวกเขาเปิดรับหมด ดังนั้นเราจะเห็นศิลปินใหม่ ๆ ออกมาทำเพลงเอง ซึ่งเราจะได้เห็นอินดี้ป็อป อินดี้ร็อกกันมากขึ้น โดยเป็นศิลปินที่ไม่ได้มาจากค่ายใหญ่
👉 นอกจากนั้นตลาดเพลงลูกทุ่ง ผู้คนจะให้ความสนใจกับความเป็นลูกทุ่มสมัยใหม่มากขึ้น กล่าวคือจะเป็นปีที่ลูกทุ่งพยามจะแปลงตัวเองเป็นไฮบริดเทรนด์ ซึ่งจะเพลงป็อปลูกทุ่ง หรือหมอลำโมเดิร์นเข้ามาให้ได้ยิน ซึ่งเรียกว่าเป็นที่น่าจับตามองอย่างมาก สำหรับอุตสาหกรรมเพลงไทย
ปีหน้าสื่อต้องปรับตัวยังไง
“ปีหน้าจะเป็นปีของ AI อย่างแน่นอน” คุณสมวลีกล่าว
แม้ว่าในวงการเพลง จะมีการนำ AI เข้ามาใช้นานแล้ว แต่คนทำเพลงเองก็เหมือนกับคนทำสื่อ คือต้องผลงานของตัวเอง ให้สู้กับอัลกอริทึมให้ได้
คนทำเพลงต้องรู้ว่า เพลงของเราเหมาะกับแพลตฟอร์มไหน แล้วกลุ่มผู้ฟังแต่ละแพลตฟอร์มของเรา จะอยู่ที่แพลตฟอร์มอะไร หากอยากให้เพลงสำเร็จ คนทำเพลงก็ควรต้องทำเพลงให้ตอบโจทย์กับแพลตฟอร์ม
สำคัญคือ ‘Content Is The King’ ถ้าอยากให้เพลงของเรากระจายไปอยู่ในกลุ่มคนหมู่มาก เราจะทำให้เพลงเราอยู่แพลตฟอร์มเดียวไม่ได้ แต่ต้องมีการวาง Strategy ให้ได้ว่า เราจะลีดคนฟังจากแพลตฟอร์มนี้ ไปสู่อีกแพลตฟอร์มได้ยังไง
💫 รู้จัก Believe Music แพลตฟอร์มที่เกิดมาเพื่อคนที่ Born To Be Artist 💫
เมื่อก่อน ศิลปินจะทำเพลงหาเงินมักได้มาจากยอดขายแผ่นเป็นหลัก ทว่าการมาของแผ่นผีได้ทำให้แผ่นถูกดิสรัปต์ ด้วยการนั้นศิลปินจึงหันไปใช้สตรีมมิ่งในการเผยแพร่เพลงแทน ทว่าศิลปินหลายคนก็ไม่รู้ว่าตัวเองจะเอาเพลงเข้าสตรีมยังไง ต้องติดต่อบริษัทแบบไหน และหารายได้จากมันอย่างไร เพราะลำพังแค่ทำเพลงเองก็คิดหัวแทบแตกแล้ว ดังนั้น Believe จึงเกิดมาเพื่อเป็น Distributer โดยการเชื่อมศิลปินเข้าสู่ทุกแพลตฟอร์มสตรีมมิ่ง
ประเทศไทยมีศักยภาพเป็น Mutual Market เหมือนญี่ปุ่นกับอเมริกาในแง่ของ Music Indutry กล่าวคือทุกวันนี้เรามีนักร้องที่สามารถเติบโตขึ้นโดยไม่ต้องพึ่งค่ายใหญ่อยู่เยอะมาก ตั้งแต่ศิลปินระดับดีดกีตาร์ในห้องนอนแล้วอัดเพลงขาย ไปจนถึงคนที่พุ่งทะยานไปเป็น Super Star ได้โดยไม่ต้องพึ่งค่ายใหญ่ ด้วยการนี้ Believe จึงเป็น Distributer ให้กับศิลปินในทุกระดับ
👉 ระดับ 1: Tunecore
เป็นโมเดลที่ให้ศิลปินมา Subscription ซึ่งในระดับนี้ใครก็สามารถสมัครได้ แม้แต่คนที่แต่งเพลงดีดกีตาร์เล่นในห้องนอนนั้น ก็ยังสามารถเริ่มทำเงินได้จากส่วนนี้
👉 ระดับ 2: Believe Label & Artist Solution
โมเดลที่จะช่วยทำการโปรโมตให้ศิลปิน ก่อนที่จะไปโมเดลสุดท้าย ซึ่งระดับนี้จะให้ศิลปินเข้ามา Work กับทาง Believe มากขึ้น ว่าควรไปทางไหน ต้องโปรโมตยังไง รวมถึงช่วยป้องกันการโดนสวมสิทธิ์ ในยุคสมัยแห่ง AI นี้ด้วย
👉 ระดับ 3: Believe Artist Service
โมเดลที่จะเป็นการปั้นยูนิคอร์น หาก Believe มองเห็นว่าศิลปินคนไหน มีแววที่จะเป็น Super Star แพลตฟอร์มก็จะดึงศิลปินมาอยู่ที่ระดับนี้ โดยศิลปินมีหน้าที่แค่ทำเพลงให้เสร็จ ส่วนการโปรโมต แพลตฟอร์มก็จะมีทีม Marketing ดูให้ ว่าทำการตลาดยังไง ต้องพัฒนาเพลงแนวไหนออกมา อนาคตจะไปเป็นพรีเซนเตอร์อะไร กระทั่งต้องออกแบบคอนเสิร์ตแนวไหน (คุณสมวลียังแอบกระซิบเราด้วยว่า Believe ให้เงินศิลปินไปทำ MV ได้ตามใจเลย โดยมีข้อแม้ว่าพวกเขาต้องทำผลงานออกมาให้มีคุณภาพก็พอ)
ทั้ง 3 ระดับนั้น แค่ศิลปินทำเพลงได้ก็พอแล้ว ส่วนการจัดการเบื้องหลังนั้น Believe. จะดูแลให้ เพราะระบบ Backstage ของพวกเขา เป็นเทคโนโลยีที่ให้กล่าวได้ว่าโปร่งใสอย่างมาก เพราะทำให้ศิลปินเห็นว่า มีเงินเข้ามาขนาดไหน ต้องหักให้ระดับเท่าไหร่ ซึ่งท่อน้ำเลี้ยง และระบบจัดการเหล่านี้นี่แหละ ที่ทำให้ศิลปินอิสระเข้าร่วมกับ Believe จำนวนมาก
ท้ายที่สุด คุณสมวลีก็ได้ฝากบอกว่าในแง่การทำงาน ให้เราปฏิบัติกับ AI เหมือนคนไปเลย เพราะเขาก็คือสิ่งที่ตกผลึกจากการเรียนรู้เนื้อหามากมาย ถ้าเราเรียนรู้จากการใช้ AI ได้ เราก็จะสามารถสร้างผลงานที่มีคุณภาพ และตอบโจทย์ผู้ฟังในที่สุด
โฆษณา