11 ธ.ค. 2023 เวลา 23:44 • ธุรกิจ

“การแยกขังผู้บริสุทธิ์กับนักโทษ..”

หลายคนดูข่าวว่า รัฐเตรียมออกกฎกระทรวงตามปวิอ มาตรา 89/1 เพื่อให้มีการขัง ผู้ถูกขังระหว่างพิจารณา และศาลยังไม่ตัดสินว่าเขามีความผิด ออกจากการขังในเรือนจำกับนักโทษที่ศาลตัดสินเด็ดขาดว่ามีความผิดแล้ว..
ตามข่าว อ้างว่า เพื่อมิให้มีการปฏิบัติต่อบุคคลที่ศาลยังไม่ตัดสินว่าผิด เหมือนกับคนที่ศาลตัดสินแล้ว ตามหลักสันนิษฐานว่าบุคคลบริสุทธิ์จนกว่าจะมีคำพิพากษาว่าเขาผิด (presumption of innocence)..
บางคนฟังข่าวแล้วงงๆ.. ไม่ค่อยเข้าใจ แต่เหมือนจะดูดีนะ เพราะการทำตาม หลักสันนิษฐานว่าบริสุทธิ์เป็นเรื่องที่ดีและถูกต้อง..
เหมือนกับว่า..
“เขาเอาเพชรน้ำดีมาขาย.. เราเองก็ดูเพชรไม่เป็น.. แต่เขาบอกว่า เพชรแท้จากไนจีเรียเชียวนะ.. ถ้ามันจริง ก็ดีสินะ.. น่าเชื่อนะ.. ซื้อเลยนะ..”
ทุกวันนี้ สังคมเราขาดข้อมูลครับ..
บางที มีข้อมูล แต่ข้อมูลไม่ถูกต้อง..
หรือข้อมูลอาจจะถูกต้อง แต่เรื่องนี้ ไม่ใช่ข้อมูลนั้น..
วันนี้ ก็เลยอยากจะมาเล่าให้ฟัง สังคมจะได้เรียนรู้ แล้วเข้าใจสื่อ เข้าใจรัฐยิ่งขึ้น.. เป็นข้อๆนะครับ..
1. ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 89/1.. และมาตรา 89/2 มีการแก้ไขเพิ่มเติม หลายปีมาแล้ว ตั้งแต่ผู้เขียนยังทำงานอยู่สำนักวิชาการของศาล..
เนื่องจากตอนนั้น ปัญหา คุกแน่น มีจำนวนผู้ถูกขังมาก ทั้งผู้ต้องขังระหว่างศาลยังไม่ตัดสิน รวมกับนักโทษที่รับโทษจำคุกตามคำพิพากษา.. กระทรวงยุติธรรม จึงเสนอให้เพิ่มเติม 2 มาตราดังกล่าว โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อบรรเทาความแออัดของเรือนจำ..
2. สำหรับคนที่เรียนวิชาเบี่ยง ฯ ต้องเข้าใจว่า มาตราทั้งสองนี้.. ไม่ใช่แนวคิดการเบี่ยงเบนผู้กระทำผิดออกจากกระบวนการยุติธรรม (diversion)..
เพราะไม่ใช่ การเบี่ยงเบนเพื่อให้เกิดความเป็นธรรมกับผู้กระทำผิดบางกลุ่ม.. เพื่อมิให้เขาเรียนรู้การกระทำความผิดจากเพื่อนผู้ร้องขังในเรือนจำ และเพื่อมิให้เขาถูกตีตราจากสังคมเพราะเคยรับโทษจำคุก..
แต่เป็นการเบี่ยงผู้ต้องขังออกจากเรือนจำ เพียงเพื่อระบายคนออกจากเรือนจำ.. เพื่อให้การบริหารจัดการเรือนจำมีประสิทธิภาพมากขึ้น.. เรียกว่า เป็นเรื่องการบริหารจัดการแท้ๆ ไม่เกี่ยวกับแนวคิด ทฤษฎีกฎหมาย นิติศาสตร์ หรืออาชญาวิทยาแต่อย่างใด..
3. ทั้งสองมาตรา เป็นเรื่องที่มีคำร้องขอไปยังศาล เพื่อให้ขังหรือจำคุก ผู้ต้องขังนอกเรือนจำได้ หากมีเหตุจำเป็น..
มาตรา 89/1 คือ การยื่นคำร้องขอให้ศาลสั่ง ให้ขังผู้ต้องขังระหว่างพิจารณา นอกเรือนจำได้..
ส่วนมาตรา 89/2 คือ การยื่นคำร้องขอให้ศาลสั่ง ให้จำคุกนักโทษที่ศาลพิพากษาแล้วให้จำคุก นอกเรือนจำได้..
การที่ศาลจะสั่งได้ จะต้องมีเหตุจำเป็น..
4. เหตุจำเป็น คือ อะไร.. คณะทำงานที่ยกร่างเพิ่มเติมกฎหมายในยุคนั้น ไม่มีคำตอบให้..
และสถานที่ขังและจำคุกนอกเรือนจำ คือที่ใด.. ก็ยังไม่ชัดเจน.. แต่เพียงพอฟังได้ว่า.. สถานกักขัง โรงพยาบางบางแห่ง และที่บ้านของผู้กระทำผิด อาจเรียกได้ว่า เป็นสถานที่อาจขังหรือจำคุกนอกเรือนจำได้..
บางคนป่วย เช่น เป็นเอดส์ เป็นมะเร็งระยะสุดท้าย จะอยู่ในเรือนจำหรือนอกเรือนจำก็ต้องตาย.. ถือว่า เป็นเหตุจำเป็นมั้ย..
บางกรณี เรือนจำเล็ก ปริมาณผู้ต้องขังและนักโทษมีจำนวนมาก ทำให้อาจเกิดการแหกหักเรือนจำได้.. แบบนี้ เป็นเหตุจำเป็นที่ศาลจะสั่งได้มั้ย..
ความไม่ชัดเจนดังกล่าว.. ทำให้มีการยื่นคำร้องขอตามมาตราทั้งสองนี้ไม่มาก.. และส่วนใหญ่ ยื่นมาแล้ว ศาลก็ยกคำร้องเพราะถือว่า ไม่มีเหตุจำเป็น..
ผู้เขียนเคยสั่งอนุญาตให้จำคุกนอกเรือนจำได้ กรณีหนึ่ง คือ จำเลยหญิงที่ต้องโทษจำคุก กำลังตั้งครรภ์..
เรือนจำบอกว่า.. หากขังที่บ้าน ก็ไม่สะดวก เพราะการออกไปดูแลจำเลยที่บ้านอาจเป็นอันตรายกับผู้คุม และขาดแคลนงบประมาณ จึงไม่เห็นด้วยที่ศาลจะสั่งไปจำคุกนอกเรือนจำ..
แต่คดีนั้น โชคดีที่สถานกักขังแห่งหนึ่ง ที่อยู่ใกล้โรงพยาบาลเหมาะสมที่จะเป็นสถานที่ควบคุมจำเลยก่อนคลอดบุตร ศาลจึงสั่งให้จำคุกจำเลยที่สถานกักขังดังกล่าวระหว่างรอคลอดบุตรได้..
5. หลักสันนิษฐานว่า จำเลยบริสุทธิ์ (presumption of innocence) .. เป็นแนวคิดในการคุ้มครองสิทธิผู้ถูกกล่าวหา.. เพื่อให้มีการใช้กฎหมายและปฏิบัติต่อเขา ด้วยเคารพในสิทธิของผู้ถูกกล่าวหา มิให้ปฏิบัติต่อเขา เยี่ยงนักโทษ.. มิให้นำกฎหมายที่ใช้กับนักโทษมาใช้กับเขา..
ปัจจุบัน ผู้ถูกกล่าวหา เมื่อตกเป็นจำเลยในชั้นศาล ระหว่างสืบพยานยังไม่แล้วเสร็จ.. ถ้าไม่ได้ประกันตัว ต้องขังไว้ระหว่างพิจารณา ก็ควรขังไว้ในสถานที่ที่เหมาะสมกับ ผู้ถูกกล่าวหาดังกล่าว..
แต่เพราะเรือนจำมีน้อย ทำให้ประเทศเราไม่มีสถานที่ขังผู้ถูกกล่าวหาระหว่างพิจารณา.. ทำให้มีการนำตัวเขาไปขังรวมกับนักโทษในเรือนจำ.. และต้องใช้กฎระเบียบเดียวกับนักโทษเด็ดขาด และกฎของเรือนจำกับเขา..
อันเป็นการปฏิบัติต่อเขาเยี่ยงนักโทษ.. ขัดต่อหลักสันนิษฐานว่าบริสุทธิ์..
รายละเอียดผู้เขียนเคยโพสต์มาหลายครั้งแล้ว ในเรื่องที่ว่า การที่ศาลไม่อนุญาตให้ปล่อยชั่วคราว ไม่เกี่ยวกับหลักสันนิษฐานว่าบริสุทธิ์..
6. แนวคิดที่จะแก้ไขกฎหมาย เพื่อมิให้มีการขังผู้ถูกกล่าวหา รวมกับนักโทษในเรือนจำเดียวกัน…จึงเป็นเรื่องที่ถูกต้อง ทั้งตามทฤษฎีและตามความเป็นจริง..
นับว่า ควรสนับสนุนเป็นอย่างยิ่ง..
แต่การแก้ไขเรื่องนี้ ต้องแก้ไขพรบ ราชทัณฑ์.. โดยกำหนดสิทธิหน้าที่ของผู้ต้องขังระหว่างพิจารณา ให้แตกต่างกับสิทธิหน้าที่นักโทษเด็ดขาด.. รวมทั้ง สถานที่ และกฎระเบียบ..
เป็นอำนาจของกรมราชทัณฑ์ที่จะทำเองได้ ตามกฎหมายราชทัณฑ์..
ไม่เกี่ยวกับอำนาจศาลตามมาตรา 89/1 และ 89/2 ของประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา.. เพราะการที่ศาลจะสั่งไปขัง ไปจำคุกนอกเรือนจำได้ ก็เพราะมีเหตุจำเป็น.. ไม่ใช่เพราะเขาเป็นผู้ต้องขังระหว่างพิจารณา..
และไม่ใช่ ต้องแก้ไขประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา.. หรือแก้ไขกฎกระทรวง ที่ออกตามความในมาตรา 89/1..
ตามที่เป็นข่าว..
“เพราะข้ออ้างเป็นแนวคิดที่ดี.. แต่ใช้วิธีการไม่ถูกต้อง..”
เนื่องจาก เหตุกับผล เป็นคนละเรื่องกันเลย.. ก็ว่าได้..
คนที่ไม่เข้าใจที่มาที่ไปของมาตรา 89/1 .. หรือไม่รู้กฎหมาย.. แต่ชอบใจ และถูกใจกับแนวคิดเรื่อง สันนิษฐานว่าบริสุทธิ์..
ก็คงจะต้องเห็นด้วยกับข่าว การแก้ไขกฎกระทรวง ตามมาตรา 89/1..
เหมือนคนเห็นด้วยที่ควรอนุรักษ์ธรรมชาติ จึงสนับสนุนนโยบายให้ร้านค้างดแจกถุงพลาสติก.. โดยไม่ทราบว่า นโยบายนี้ จะช่วยลดโลกร้อนได้จริงมั้ย.. และทำไมเราต้องซื้อถุง หรือทำไมร้านค้าไม่แจกถุงกระดาษ หรือถุงพลาสติกย่อยสลายได้แทน..
ทุกวันนี้ องค์ความรู้และการสื่อสารเป็นเรื่องสำคัญนะครับ..
ความรู้ที่ถูกต้อง.. รู้กฎหมาย.. รู้ว่าอะไรตรงกับประเด็นปัญหา และการสื่อสารที่ถูกต้อง จะช่วยส่งเสริมให้สังคมเรามีความเข้าใจกันมากขึ้น..
ไม่ใช่การนำเสนอแนวคิด ทฤษฎี นโยบายที่สวยหรู.. มานำหน้าสิ่งที่ต้องการจะกระทำจริงๆ.. แล้วทำให้สังคมแบ่งเป็นฝักฝ่าย ที่เห็นด้วย ที่ไม่เห็นด้วย มาทะเลาะกันอีก..
สรุปว่า.. หลักสันนิษฐานว่าบริสุทธิ์เป็นเรื่องที่ดี.. ควรสนับสนุน.. แต่ต้องแก้ไขที่พรบ ราชทัณฑ์..
สรุปว่า หลักสันนิษฐานว่าบริสุทธิ์ไม่เกี่ยวกับการประกันตัว.. ไม่เกี่ยวกับมาตรา 89/1..
สรุปว่า มาตรา 89/1 และ มาตรา 89/2 .. ไม่ใช่ เรื่อง diversion ..
สรุปว่า.. กฎกระทรวงที่จะแก้ ไม่เกี่ยวกับหลักสันนิษฐานว่าบริสุทธิ์.. และไม่ทำให้ ผู้บริสุทธิ์ถูกขังนอกเรือนจำได้..
โฆษณา