13 ธ.ค. 2023 เวลา 05:27 • ความคิดเห็น

สงครามพระแม่ธรณี!

สงครามกลางเมือง บนถนนพระราม 6 ชวนให้นึกถึง LVMH ศึกชิงอำนาจบริหารองค์กร จากคนตระกูลเดียวกัน สู่มหาศึกล้างแผ่นดิน
บทสรุปเก้าอี้หัวหน้าพรรคฟ้า ที่เลื่อนลั่นสะเทือนดิน จบด้วยการ "ล้างบาง" อดีต เข้าสู่บทใหม่อย่างเต็มตัว โดยการครองอำนาจของ อดีตคนวางมือ ที่เสียสัตย์เพื่อพรรคคนล่าสุด จนส่งผลให้บรรดาคนเก่าคนแก่ ระดับอดีตผู้นำประเทศ ต้องเดินทางไปสักการะพระแม่ธรณีในวันหยุดพรรค แล้วกลับบ้านอย่างเดียวดาย สะท้อนภาพรอยร้าวที่ฝังลึกของการแก่งแย่งการนำในองค์กร จนอดคิดถึง การควบรวมกิจการของ Louis Vuitton และ Moët Hennessy ที่สงครามภายใน ชักศึกเข้าบ้าน จนทำให้ Bernard Arnault กลายเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ของ LVMH
เรื่องราวเกิดขึ้นโดย ตระกูล Chevalier หลังจากควบรวม 2 กิจการ เหล้าระดับ Super Luxury อย่าง Moët & Chandon กับ Jas Hennessy & Cie. ให้กลายเป็น Moët Hennessy โดยเมื่อเติบโตขึ้น ก็ไม่ต้องการให้ "สมบัติของตระกูล" ตกไปเป็นของ "คนนอก" (ฝรั่งเศส ก็ยังมีเงาของชนชั้นสูงอยู่ในสังคม แม้หน้าฉาก จะดูเปิดกว้างเพียงใดก็ตาม)
ตระกูล Chevalier จึงได้เชื้อเชิญ Henry Racamier ลูกเขยรุ่นที่ 4 ของตระกูล Vuitton ซึ่งประสบความสำเร็จอย่างสูงในการบริหาร แบรนด์ Louis Vuitton และเปลี่ยนจากธุรกิจเล็กๆ ในครอบครัว มี 2 สาขาใน Paris รายได้ราวปีละ 400 ล้านบาท (เล็กๆ แค่ 2 สาขาเอง) สู่การเป็น Global Brand มี 135 สาขาทั่วโลก มีรายได้เกือบ 90,000 ล้านบาท และจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ได้สำเร็จ โดยหวังว่า ด้วยอำนาจและทักษะการบริหารของทั้ง 2 ตระกูล จะทำให้ Moët Hennessy – Louis Vuitton เติบโตภายใต้การดูแลของพวกตนเท่านั้น
ตระกูล Chevalier และ ตระกูล Vuitton (โดย Henry Racamier) จึงตัดสินใจควบรวมกิจการกัน โดยทั้ง 2 ตระกูล ถือหุ้นใน LVMH บริษัทที่ตั้้งขึ้นใหม่ รวมกัน 51% ทำให้มีอำนาจบริหารเต็ม ภายใต้ 2 ตระกูลใหญ่
ย้อนกลับมาที่ พรรคฟ้า
เรื่องราวอาจจะไม่ใช่ 2 ตระกูล Montagues - Capulets ที่รบกันสนั่น เวโรน่า แต่เป็นเรื่องของ 2 กลุ่มอำนาจ ที่จำเป็นต้องพึ่งพากัน นั่นก็คือ กลุ่มนายหัว นำโดยอดีตนายกหนุ่ม ที่พึ่งเสียเลขาธิการขั้น "เทพ" ไปกับเกมชิงอำนาจเหนือเมือง จนฐานระส่ำ และต้องดึงกลุ่มอำนาจที่แม้จะไม่ลงรอยกันนัก แต่ก็ดีกว่าให้พรรคเข้าสู่ขาลงเพราะเลือดไหลออก และเปิดทางให้ผู้เสียสัตย์เพื่อพรรค เข้ามาเป็นเลขาธิการพรรค
ก็คล้ายๆ LVMH ที่อยากรักษาอำนาจให้คนในตระกูล ถึงกับยอมให้ "ชนชั้นเดียวกัน" เข้ามาแบ่งอำนาจ
ที่ริมฝั่งแม่น้ำแซน
หลังจาก "รวมครอบครัว LVMH" ไปได้พักเดียว สุดท้าย เสือ 2 ตัวก็อยู่ถ้ำเดียวกันไม่ได้ เมื่อผู้นำ ตระกูล Chevalier ซึ่งก็คือ Alain Chevalier กับ ผู้นำตระกูล Vuitton ซึ่งก็คือ Henry Racamier ต่างก็รู้แล้วว่า วิธีการทำงาน แตกต่างกันมากเกินไป และต่างก็เป็นพญาสิงห์มาก่อน การลงให้อีกฝ่าย ก็แทบจะเป็นการเสียหน้ากันเลยทีเดียว
สงครามกลางกรุงปารีส ก็เริ่มขึ้น
Chevalier ดึงกลุ่มธุรกิจ Guinness จากไอร์แลนด์ เข้ามาเป็นพวก
ในขณะที่..
Racamier ก็ดึง Bernard Arnault ที่เติบโตจากธุรกิจก่อสร้าง และนำเงินไปซื้อธุรกิจแฟชั่นจาก Willot Group ผู้ถือสิทธิ์แบรนด์ Christian Dior จนดูเป็นผู้มีวิสัยทัศน์ด้านแฟชั่น ให้เข้ามาร่วมถือหุ้น เพื่อแข่งกับ Guinness
ในขณะที่ Chevalier และ Racamier เชื่อว่าตัวเองมีพวก และพร้อมจะห้ำหั่นกัน สุดท้าย Bernard Arnault ก็ ทำตามฝันตัวเอง
การที่ Bernard ไปซื้อกิจการ Dior ก็เพราะเขาฝันว่า วันหนึ่ง เขาจะเป็นผู้รวบรวมแบรนด์หรูสัญชาติฝรั่งเศสมาไว้ด้วยกัน และเมื่อ Louise Vuitton กับ Moët Hennessy ยืนโอกาสทองคำฝังเพชรให้ขนาดนี้ มีหรือ Arnault จะปล่อย
ระหว่าง 2 ตระกูลฟัดกัน Arnault จึงไปจับมือกับ Guinness ไล่ซื้อหุ้นของ LVMH จนในที่สุด Arnault ก็กลายเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ LVMH ไปหน้าตาเฉย
ไหลมาตามแม่น้ำเจ้าพระยา...สู่ถนนพระราม 6
ค่ายอดีตนายก กับ ค่ายเลขาธิการพรรค ขบเฟืองกันในที ค่ายอดีตนายก สร้าง New Dem คนใหม่ๆ ขยายพื้นที่ ค่ายเลขาฯ ก็ดึง "คนนอก" เข้ามาเสริม โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คนนอกจากขั้วตรงข้าม ที่แทรกเข้ามาในพื้นที่พรรคฟ้า
ในขณะที่ ต่างฝ่าย ต่างเชื่อว่า พวกตน แข็งพอ ตรึงกำลังกันอย่างแข็งขัน คนหนึ่งที่ถูกดึงมาช่วยฝั่งค่ายเลขาฯ นั่นก็คือ "เดอะเดช" ก็เริ่มแสดงบทบาท "Arnault เมืองไทย" บินไปเจรจา Guinness ฮ่องกง ทันที แล้วแผน "สนิมเกิดแต่เนื้อในตน" ก็แสดงผล หักท่อนเหล็กพรรคฟ้า...จนหักกลาง
ณ ถนน Av. Montaigne, กรุงปารีส
2 ตระกูลที่คิดจะรักษาสมบัติเอาไว้ให้กับลุกหลานของตนเท่านั้น กลับต้องมอง ทรัพย์สินของตระกูลในมือคนอื่น โดยเฉพาะ Chevalier ที่ต้องหลุดไปเป็นเจ้าแรก หลังจากโดน Guinness เทจากถังไม้โอ้คแบบหมดรูป คงเหลือเพียง ผู้ชักนำอย่าง Racamier และ ผู้ถูกชักนำอย่าง Arnault ปกครองอาณาจักรต่อไป
ณ ถนนพระราม 6, กรุงเทพ
หลังฝุ่นควันจางลง หลังผ่านการล้มการประชุมมา 2 ครั้ง ค่ายอดีตเลขา ก้าวขึ้นมากุมอำนาจเบ็ดเสร็จ แม้จะพยายามส่งตัวแทนดาวรุ่ง หวังพุ่งทะลุเส้นชัยในไม้สุดท้าย ก็เข็นไม่เคลื่อน สุดท้ายฝั่งอดีตผู้นำ ก็ต้องออกนอกบ้านจนแทบสิ้นชาติ ชะตาเดียวกับตระกูล Chevalier
แต่....
ณ LVMH
ฝันของ Bernard Arnault ไม่ได้หยุดแค่การเป็น ผู้ร่วมก่อการปฏิวัติ แต่ Bernard อดีตเจ้าพ่ออสังหาริมทรัพย์ ต้องการเป็นเจ้าของแบรนด์ระดับ Super Luxury มากที่สุดในโลก แต่เพียงผู้เดียว เสี้ยนหนามสุดท้ายที่ต้องกำจัดคือ "คนที่ชวนเข้าสู่วงการ" นั่นก็คือ Henry Racamier
ทันทีที่ถือหุ้นใหญ่ Arnault ออกกฎให้ต้องเกษียณเมื่ออายุ 70 ปี ซึ่งแน่นอนว่า Henry อายุเกิน 70 ปีแล้ว เมื่อกฎนี้มีผลบังคับใช้ ก็เท่ากับว่า ทายาทรุ่นที่ 4 ของ Louis Vuitton ต้องเดินออกจากบริษัททันที!!
และหลังจากต่อสู้กันในชั้นศาล สุดท้าย LVMH ก็ตกไปอยู่ในมือของ Bernard Arnault ปิดฉาก ตระกูลใหญ่เจ้าของแบรนด์ในปี 1989
ณ พรรคฟ้า
เหตุการณ์ยังไม่สิ้นสุด เพราะตอนนี้คงเหลือ อดีตเลขาฯ ที่ปัจจุบัน กุมบังเหียรพรรค โดยมี "Arnault เมืองไทยบินไกลฮ่องกง" ขึ้นเป็นเลขาธิการพรรคแทน
ก็ไม่รู้ว่า ในอนาคตอันใกล้นี้ พรรคฟ้า จะมีบทสรุปเดียวกันกับ 2 ตระกูลใหญ่ คือ อยู่ได้ แต่ไม่มีตัวตน แล้วกลายเป็น รักไทย สาขา 2 (เขามาจากยุคนั้น) ไปในที่สุด เพราะคนที่ได้รับเชิญ หักคนเชิญชวนจนหมดหนทาง
หรือขั้วอำนาจสุดท้าย จะฟื้นฟูอำนาจกลับมาได้ และคงเหลือตระกูลใหญ่ในพรรคฟ้าครองอำนาจเบ็ดเสร็จเพียงตระกูลเดียว
คงต้องติดตามตอนต่อไป....
ภาพ แอนโทเนีย โพซิ้ว รำ "พระแม่ธรณีบีบมวยผม" ขอใช้ภาพประชาสัมพันธ์นี้ เพื่อสะท้อนภาพตราสัญลักษณ์พรรคการเมืองหนึ่งเท่านั้น
โฆษณา