16 ธ.ค. 2023 เวลา 12:03 • หุ้น & เศรษฐกิจ

Animal Spirits หรือคิดด้วยเหตุผล/ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร : สมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า (ประเทศไทย)

เคยสงสัยไหมว่าราคาหรือดัชนีตลาดหุ้นของแต่ละประเทศทำไมมีความแตกต่างกันมาก และการปรับตัวก็แตกต่างกัน อย่างตลาดหุ้นจีนนั้น ราคาก็ถูกมากไม่น่าเชื่อ ค่า PE ของตลาดถ้าเข้าใจไม่ผิดก็อยู่ที่ประมาณ 10 เท่าบวกลบ แต่พอเราซื้อเข้าไปเพราะคิด “แบบ VI” หรือคิดแบบวิเคราะห์พื้นฐานแล้วคุ้มค่าแน่นอน ราคาและดัชนีหุ้นกลับลดลงไปอีกมาก
1
ส่วนหุ้นอเมริกานั้น ค่า PE สูงกว่ามาก และราคาก็ขึ้นมาสูงจนเกือบ “All Time High” ที่ไม่น่าจะถูกเลย “VI พันธุ์แท้” ก็มักจะรับไม่ได้ แต่นักลงทุนซึ่งรวมถึง “VI รุ่นใหม่” ซื้อ หุ้นก็วิ่งต่อไปอีกมาก
ที่นักลงทุนเจ็บตัวหนักก็คือดัชนีตลาดหุ้นไทยที่ “ปรับตัวลดลงทุกวัน” หุ้นดี ๆ จำนวนมากตกลงมาต่ำกว่าอดีตมากมายและเราก็ไม่เห็นว่าบริษัทจะแย่ลง พวกเขาก็ยังอยู่อย่างแข็งแกร่ง มีกำไรที่ดีและจ่ายปันผลงดงามเมื่อเทียบกับดอกเบี้ยที่ไม่ว่าจะเป็นอย่างไรก็คงไม่สูงไปกว่า 1-4% อย่างที่เห็นในวันนี้ แต่พอเราซื้อไปหลังจากที่มันตกลงมามากและนานแล้ว ราคาหุ้นก็ไม่ไปไหนนอกจากตกลงต่อไปอีก
1
คำถามสำคัญก็คือ ตกลงราคาและดัชนีตลาดหุ้นในแต่ละแห่งนั้น มีความเหมาะสมหรือไม่ มันสะท้อนถึง “คุณค่าที่แท้จริง” ของกิจการโดยเฉลี่ยไหม? อะไรหรือปัจจัยอะไรเป็นตัวกำหนดราคาและดัชนีตลาดหุ้น
มีทฤษฎีสองเรื่องที่พยายามจะอธิบายเรื่องของเศรษฐกิจและตลาดหุ้น ซึ่งขัดแย้งกันอย่างสิ้นเชิง และคนที่เป็น “บิดา” ของทั้งสองทฤษฎีต่างก็ได้รับรางวัลโนเบลทั้งคู่
ทฤษฎีแรกนั้น เป็นของ Eugene Fama “ซือแป๋” ด้านตลาดหุ้นที่ได้สร้างทฤษฎีการลงทุนสมัยใหม่ที่เรียกว่า “Efficient Market Hypothesis” หรือ “ตลาดหุ้นที่มีประสิทธิภาพ” ที่บอกว่านักลงทุนทุกคนเป็นคนที่มีเหตุมีผลและมีข้อมูลสมบูรณ์ในการตัดสินใจลงทุน
เขาจะเลือกลงทุนตามพื้นฐานของธุรกิจ และเมื่อคนทุกคนหรือคนส่วนใหญ่คิดและทำแบบนี้ หุ้นก็จะปรับตัวไปตามแรงซื้อและแรงขายของแต่ละคนที่อาจจะคิดไม่เหมือนกัน แต่ในที่สุดราคาก็ปรับตัวจนสมดุลและตรงกับพื้นฐานทางธุรกิจที่แท้จริง และเมื่อมีข้อมูลใหม่ ราคาหุ้นก็จะปรับตัวไปอีก ทุก ๆ วินาที โดยที่เราไม่สามารถคาดได้ อย่างไรก็ตาม ราคาที่เราเห็นในกระดานจะสะท้อนราคาที่เหมาะสมเสมอ
และไม่ว่าใครจะอ้างว่าตัวเองเก่งแค่ไหนหรือใช้เทคนิคอะไร เช่น VI หรือเทคนิคอล ก็ไม่สามารถที่จะซื้อหุ้นถูก ขายหุ้นแพง ทำกำไรสูงกว่าที่ควรเป็นได้อย่างต่อเนื่องยาวนาน พูดง่าย ๆ ในบางช่วงบางตอนอาจจะกำไรสูงกว่าปกติได้ แต่ในระยะยาวแล้ว ผลตอบแทนก็มักจะกลับมาสู่ปกติ
เช่น ผลตอบแทนทบต้นในตลาดหุ้นอย่างอเมริกาในช่วง 30 ปี ก็คือ ไม่เกินปีละ 10% หรือพูดอีกอย่างหนึ่งก็คือ ไม่มีใครเป็น “เซียน” จริง มีแต่คนที่ “ฟลุ้ก” ในช่วงไม่กี่ปีและก็กลายเป็น “เซียน” เช่น เคที วูด จากกองทุน Ark Invest ที่ทำผลตอบแทนมหาศาลในช่วง 2-3 ปีแล้วก็ขาดทุนมหาศาลหลังจากนั้นที่ “โชคไม่ดี” เป็นต้น
ทฤษฎีที่สองนั้น จริง ๆ เสนอเป็นครั้งแรกโดย John Maynard Keynes “บิดาแห่งเศรษฐศาสตร์มหภาค” ซึ่งก็เป็นนักเล่นหุ้นตัวยง “ระดับเซียน” ด้วย
1
เคนบอกว่า คนตัดสินใจทางการเงินซึ่งรวมถึงการซื้อขายหลักทรัพย์หรือหุ้นในช่วงที่เกิดความเครียดหรือวิกฤติทางเศรษฐกิจหรือภายใต้ความไม่แน่นอนสูงด้วย “Animal Spirits” หรือ “สัญชาติญาณของสัตว์” นั่นก็คือการใช้อารมณ์ เช่น ความกลัว ความกล้าและพฤติกรรมอื่น ๆ ซึ่งการทำแบบนั้น ก็จะกระทบกับเรื่องของความมั่นใจของการบริโภค ซึ่งก็จะกระทบไปยังเศรษฐกิจโดยรวมในที่สุด
ตัวอย่างง่าย ๆ ก็เช่น ถ้าคน “กลัว” ว่าเศรษฐกิจจะแย่ ความมั่นใจของคนก็ลดลง และพวกเขาก็จะลดการใช้จ่ายลงตาม “Animal Spirits” เศรษฐกิจก็จะแย่ลงไปอีก ดังนั้น รัฐบาลก็ควรที่จะทุ่มการใช้จ่ายมากขึ้นเพื่อที่จะทำให้เศรษฐกิจดีขึ้นอย่างรวดเร็ว ซึ่งก็จะไปเปลี่ยนภาพหรืออารมณ์ของคนให้มีความมั่นใจ
2
และเมื่อมั่นใจพวกเขาก็จะกลับมาใช้จ่ายมากขึ้น เศรษฐกิจก็จะเดินหน้า หลังจากที่เคนเสนอไอเดียนี้ในปี 1936 รัฐบาลต่าง ๆ ที่ประสบกับภาวะเศรษฐกิจตกต่ำหลัง “มหาวิกฤติปี 1929 ในตลาดหุ้นสหรัฐ” ก็เริ่มเข้ามาแก้ปัญหาโดยการอัดฉีดเงินเข้าสู่ระบบอย่างมหาศาลและยังทำต่อเนื่องมาจนถึงทุกวันนี้
เมื่อประมาณกว่า 10 ปีมาแล้ว Robert Shiller ได้เสนอแนวคิดใหม่ที่อิงมาจาก เคน เรื่อง Animal Spirits และได้อธิบายเรื่องของราคาหลักทรัพย์หรือหุ้นใหม่ว่า ราคาของหุ้นนั้น ไม่ได้เป็นไปตามทฤษฎี Efficient Market ที่ว่านักลงทุนแต่ละคนตัดสินใจโดยอิสระและอิงจากการวิเคราะห์พื้นฐานเป็นหลัก หากแต่ตัดสินใจโดยใช้อารมณ์และอิงอยู่กับความคิดว่าคนอื่นคิดอย่างไร
โดยยกตัวอย่างเปรียบเทียบของเคนเรื่องการตัดสินในการประกวดนางงามที่อาศัยเสียงโหวตของคนที่เข้าร่วมการแข่งขัน และคนที่เลือกนางงามได้ถูกต้องก็จะได้รับรางวัล ซึ่งในกรณีแบบนี้ นางงามที่มีหน้าตารูปร่างสวยที่สุด “สำหรับเขา” ก็จะไม่ถูกเลือก แต่เขาจะเลือกผู้เข้าประกวดที่เขาคิดว่า “คนส่วนใหญ่” จะชอบและเลือกคน ๆ นั้นเป็นนางงามที่ “มงลง” เพราะนั่นจะทำให้เขาชนะและได้รางวัลในการเลือกนางงามครั้งนี้
และนั่นก็คือ “จิตวิทยา” ของการเลือกหุ้นลงทุนในตลาดหลักทรัพย์เช่นกัน และนั่นก็คือสิ่งที่กำหนดราคาของหุ้นไฮเทคในช่วงปี 2000 และอสังหาริมทรัพย์ที่เป็นฟองสบู่ในปี 2005 ก่อนที่จะเกิดวิกฤติซับไพร์มในปี 2008 นั่นก็คือ คนมักตัดสินการเลือกหุ้นลงทุนโดยใช้อารมณ์ซึ่งก็เป็นเรื่องของพฤติกรรมทางการเงินหรือ Behavioral Finance ที่ในระยะหลังกลายเป็นหัวข้อการเรียนและการวิจัยที่โดดเด่นเหนือแนวคิดเรื่องของ Efficient Market และก็มีส่วนทำให้ Robert Shiller ได้รับรางวัลโนเบลเช่นเดียวกับเคนและฟามาในสาขาเศรษฐศาสตร์
1
ความคิดของผมเองนั้น ผมคิดว่าจิตวิทยามีส่วนอย่างมากต่อการลงทุนในตลาดหุ้นโดยเฉพาะในช่วงเวลาสั้น ๆ ไม่กี่ปี ก็อย่างที่เราเห็นหุ้นบางกลุ่มโดยเฉพาะในหุ้นขนาดเล็กหรือกลางที่มีราคาปรับตัวขึ้นอย่าง “เวอร์สุด ๆ” และกลายเป็น “ขวัญใจ” ของนักลงทุนทั่วไปรวมถึง VI “ระดับเซียน” จำนวนมาก แม้ว่าในยามที่ตลาดหลักทรัพย์โดยรวมแทบจะไม่ไปไหนหรือลดลงด้วยซ้ำ ซึ่งผมคิดว่าการตัดสินใจของนักลงทุนแบบนั้นเป็นเรื่องของ Animal Spirits มากกว่าเรื่องของการวิเคราะห์และลงทุนด้วยเหตุผลแบบ VI
อย่างไรก็ตาม ก็อย่างที่กล่าว เมื่อความกลัวเข้ามาแทนที่ Animal Spirits ก็แสดงออกมาในด้านตรงกันข้าม หุ้นที่เคยขึ้นไปมากจนเกินพื้นฐานไปมากก็ตกลงมาแทบจะกลายเป็นหายนะ ทั้ง ๆ ที่บริษัทเหล่านั้นส่วนใหญ่ไม่ได้มีพื้นฐานอะไรที่เปลี่ยนไปอย่างมีนัยสำคัญอะไรเลย อาจจะมีบ้างที่กำไรลดน้อยถอยลง แต่นั่นก็เป็นเรื่องปกติสำหรับธุรกิจที่ไม่ได้แข็งแกร่งและเติบโตระยะยาวอยู่แล้ว ดังนั้น ผมจึงสรุปว่าคนที่เข้าไปเล่นหุ้นในกลุ่มที่มีอาการแบบนั้น ใช้อารมณ์มากกว่าเหตุผล และทุกคนก็คิดและทำตาม ๆ กัน และอาจจะ “กลัวตกรถ” เป็นต้น
1
ผมยังคิดว่าการอธิบายเรื่องราวต่าง ๆ ทั้งในตลาดหุ้นและเรื่องอื่น ๆ สำหรับคนที่เข้าไปทำหรือเข้าไปร่วมซื้อขายโดยอาศัยการวิเคราะห์ “ยีน” ของมนุษย์น่าจะดีและสะดวกยิ่งกว่าการวิเคราะห์ด้านของจิตวิทยาด้วย เหตุผลก็คือ ยีนนั้น อยู่เบื้องหลังอารมณ์และความคิดของเราในทุกสิ่ง การศึกษาและเข้าใจยีนจะทำให้เราเข้าใจพฤติกรรมอย่างลึกซึ้งและนำไปใช้ได้ทันที
ยิ่งไปกว่านั้น การลงทุนในหลาย ๆ กรณีนั้น การปล่อยให้เราปฏิบัติตาม “ยีน” โดยที่เราไม่ได้ตระหนัก มักจะเป็นข้อเสียหายของการลงทุน ตัวอย่างที่ชัดเจนก็เช่น เกิดเหตุการณ์ที่คนทั่วไปกลัวว่าจะเกิดวิกฤติและเรารีบขายหุ้นไปแต่มาพบภายหลังว่าเป็นการขายในราคาที่ต่ำเกินไปมาก เป็นต้น
ที่จริงเหตุผลหลักในการเรียนรู้เรื่องยีนและพฤติกรรมหรืออารมณ์ที่ตามมาก็เพื่อที่เราจะได้ปฏิเสธหรือฝืนความต้องการของยีน และใช้การคิดตรึกตรองของสมองและความเป็นเหตุเป็นผลมาแทนที่ในการลงทุน นั่นจะช่วยให้เราประสบความสำเร็จที่มากกว่า
2
ประชาสัมพันธ์ - ตอนนี้เว็บบอร์ด Thai VI เปิดให้สมัครสมาชิกและทดลองใช้ได้ฟรี 30 วันแล้ว! เข้าไปสมัครกันได้เลยครับที่ www.ThaiVI.org
โฆษณา