Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
Theerat Dol Bunnag
•
ติดตาม
17 ธ.ค. 2023 เวลา 11:59
“การรักษาศีล อย่างเคร่งครัด..”
มีเรื่องเล่าว่า ในอดีตหลายพันปีมาแล้ว.. ยังมีพระภิกษุรูปหนึ่ง เคร่งในศีล ในพระวินัยมาก..
เมื่อถึงคราวป่วย ใกล้มรณภาพ.. ท่านนั่งเรือในแม่น้ำโขง..
เรือกำลังจะจม.. ท่านตกใจ รีบคว้าเอาไม้ในน้ำ (น่าจะเป็นสาหร่ายประเภทหนึ่ง) ใบขาดติดมือ..
ตามพระวินัย พระภิกษุจะเด็ดใบไม้ไม่ได้.. แต่สามารถแก้ไขได้ ด้วยการปลงอาบัติ.. คือ เปิดเผย ยอมสารภาพความผิดกับพระที่อาวุโสสูงกว่า และตั้งใจจะไม่ทำผิดอีก..
ในสมัยนั้น พระภิกษุมีน้อย หาพระปลงอาบัติไม่ได้..
ยามป่วยจนจิตจะดับ ดวงสุดท้าย.. ท่านยังทุกข์ กับการที่ศีลไม่บริสุทธิ์เพราะอาบัติที่ยังไม่ได้ปลงดังกล่าว..
วิบากกรรมนำเกิด เป็นพญานาคในแม่น้ำโขงนั้น มาจนปัจจุบัน..
เรื่องนี้ สอนให้เรารู้ 2 เรื่อง คือ..
1) ถ้าต้องการบรรลุธรรมขั้นต้นโสดาบันนั้น ศีลต้องครบบริบูรณ์.. เพราะท่านจะไม่ลงอบายภูมิไปอีกไม่เกิน 7 ชาติ ก็จะถึงขั้นอรหันต์..
การถือศีล จึงต้องจริงจัง.. ไม่ใช่เล่นๆ ลูบคลำศีล.. ถือแบบพร่อง ขาด ทะลุ ด่างพร้อย..
2) จิตก่อนดับ สำคัญนัก เพราะเปรียบดั่งโคที่ปากคอก.. แม้จะแก่ กำลังน้อยกว่า โคหนุ่มที่มีกำลังมากกว่าตรงกลางคอก.. แต่เมื่อเปิดประตูคอก.. โคที่ปากคอก จะได้ออกมาก่อน..
จิตก่อนดับ.. จึงส่งผลบุญ ส่งผลบาปก่อน..
แม้ท่านไม่ตั้งใจผิดศีล.. แต่ท่านไม่ปล่อยวาง กลับยึดติดในอกุศลกรรมนั้น.. เป็นกรรมทำให้ท่านไปเกิดเป็นพญานาค..
พระสูตรตอนหนึ่งว่าด้วย.. ผลของการเคร่งครัดในศีลว่า.. คนใช้ในบ้านเศรษฐี เห็นเขาอดข้าวเย็น กินข้าวเช้าก่อนเที่ยงวันเพียงมื้อเดียว ก็สงสัยว่า..
“ทำไม คนในครอบครัวท่าน ต่างพากันไม่กินข้าวเย็นขอรับ ท่านเศรษฐี..”
ท่านตอบว่า..
“อ้อ.. พวกเราถืออุโบสถศีลกัน ศีล 8 น่ะ..”
คนใช้ ก็เกิดปิติว่า เออ เราน่าจะถือศีล 8 บ้าง.. เผื่อชีวิตในอนาคตจะดีขึ้น.. เขาเลยตั้งใจถือศีล 8 อย่างจริงจัง..
วันหนึ่ง เขาทำงานหนักมาก.. ไม่สบาย และไม่มีเวลาได้กินข้าวเช้า..
ตอนนั้น เป็นเวลาหลังเที่ยงแล้ว เขาหิวข้าวมาก แต่เลยเวลากินแล้ว..
เขาตั้งจิตว่า..
“เอาล่ะ เราตั้งใจมั่นว่าจะถือศีล.. แต่ตอนเช้า ไม่ทันตั้งใจถือ .. ทำงานจนเลยเที่ยงแล้ว..
บัดนี้ เราจะขอถือศีล 8 แค่ครึ่งวันหลังเที่ยงล่ะกัน.. เราจะยอมอด.. จนกว่าจะถึงเวลาพระอาทิตย์ขึ้น..”
คนใช้ไม่สบาย หิวข้าว.. ตกดึกทนไม่ไหว ขาดใจตายไปเลย..
กุศลจากการถือศีล 8 เคร่งครัด แม้เพียงครึ่งวัน.. ก็ส่งผลให้ท่านไปเกิดเป็นเทวดาบนสวรรค์..
แสดงว่า.. ศีลท่านบริบูรณ์.. และจิตสุดท้าย.. ยึดติดในกรรมดีที่ถือศีล. จิตสุดท้ายดับในขณะจิตเป็นกุศล.. จึงนำเกิดในสุขคติภูมิ..
เรื่องคนใช้นี้ ต่างกับเรื่องพระภิกษุที่เป็นพญานาค อย่างไร..
ทั้งสองท่าน ตั้งใจเคร่งครัดในศีลเหมือนกัน.. ทำไมผลกรรมจึงได้ตรงกันข้าม..
ตอนผู้เขียนบวชพระ.. ตั้งใจว่า..
“ชาตินี้อาจจะได้บวชครั้งเดียว ขอบวชเป็นพระป่า สายธรรมยุติ..
จะขอตั้งใจถือศีลไม่ให้ด่างพร้อย.. เพื่อความเป็นมงคลแก่ตนเอง เป็นกุศลแก่บิดามารดา และคนที่มาทำบุญใส่บาตรด้วย..”
ทุกวัน จะต้องปัดตาด กวาดบริเวณวัด วันละ 2 รอบ..
ในวัดเป็นดง.. พื้นดิน มีมดดำ อาศัยอยู่ทั่วไป..
กวาดพื้นทีไร.. ก็รู้สึกว่า จะโดนมดตายเสียทุกครั้ง.. เกรงว่า จะผิดศีล พระวินัยข้อห้ามฆ่าสัตว์.. เทียบกับกฎหมายบ้านเมือง แม้ไม่เจตนา แม้ประมาท ก็อาจรับผิดได้..
ทั้งที่ พระวินัยวินิจฉัยว่า..
“การผิดพระวินัย.. ต้องรู้ว่าสัตว์นั้นมีชีวิต.. มีเจตนาจะทำให้ชีวิตเขาล่วงไป.. ลงมือทำ.. สุดท้าย สัตว์ตายตามเจตนา..”
การไม่เจตนาให้เขาตาย จึงไม่ผิด..
แต่ก็ยังทุกข์ ไม่สบายใจ..
วันหนึ่ง จึงถามหลวงปู่ว่า..
“หลวงปู่ครับ.. ผมปัดตาดกวาดวัด ไปโดนมดตามพื้นดินทุกวัน.. มันจะตายมั้ยครับ..”
หลวงปู่หัวเราะ ก่อนตอบ..
“ไม่ตายดอก..”
แม้ท่านจะบอกว่า ไม่ผิด.. แต่ด้วยความโง่.. ในใจ ก็ยังไม่แน่ใจนัก..
ท่านคงพยายามบอกว่า.. ศีลที่บริบูรณ์คืออะไร.. การเคร่งในศีล ที่จะเป็นพื้นฐานบรรลุโสดาบันได้ มีความหมาย มีขอบเขตแค่ไหน..
อีกวันหนึ่ง.. ขณะผู้เขียนกำลัง หยิบฉันอาหารในบาตร..
พระวินัยห้ามทำอาหารที่เข้าปากแล้ว ตกลงในบาตร.. ไม่งั้น อาบัติ..
พระวินัยห้ามพูดคุยขณะฉัน.. ไม่งั้น อาบัติ..
พระวินัยห้ามมองออกนอกบาตร.. ไม่งั้น อาบัติ..
55 ระเบียบเยอะจัง.. ผู้เขียนอาบัติหลายรอบมาก.. เพราะเผลอมองนอกบาตร ตอนจะหยิบกระดาษเช็ดปาก..
นึกตำหนิตัวเองอยู่บ่อยๆ..
ขณะนั้น ด้วยความเขลาในการถือศีล.. ทำให้เกิดความลังเลสงสัยว่า..
“เอ.. เขาว่าหลวงปู่เป็นพระอรหันต์.. อยากรู้จังว่า.. พระอรหันต์นี่ ท่านเคร่งในศีลขนาดไหน.. คงจะต้องเคร่งมากๆ..
แล้วตอนฉันในบาตรนี่.. ท่านจะก้มดูแต่ในบาตร หรือจะมองออกนอกบาตรแบบเราบ้างมั้ย..”
ความโง่ ก็สั่งให้แอบชำเรืองตาดูหลวงปู่.. ภาพที่เห็นเต็มตา ก็คือ..
“ท่านฉันไป.. เงยหน้ามองโน่น นี่ไป..”
ความทึบของปัญญา ตอนนั้น ก็พาลให้สงสัยว่า..
“เอ.. พระอรหันต์ ไม่ต้องเคร่งในศีลแม้เพียงเล็กๆน้อยๆหรือ..”
ต่อมา.. เมื่อตรึกตรองทบทวน ปัญญาความเข้าใจ ค่อยๆเกิด..
ศีล 5 และพระวินัยนั้น.. มีวัตถุประสงค์หลักในการช่วยขัดเกลากิเลส..
ไม่ใช่ถือ เพื่อให้ได้บุญ.. ไม่ใช่ถือ เพื่อให้ตนเป็นผู้วิเศษ.. ให้เราเป็นผู้เคร่งในศีล.. ให้เราเป็นที่น่านับถือ..
ไม่ใช่ถือ แล้วทุกข์.. จนเป็นภาระ เป็นอุปสรรค ให้คอยต้องสงสัยในความบริสุทธิ์ของตนเอง.. สงสัยว่า ครบไม่ครบ.. ขาดไม่ขาด..
ถือศีล จนลืมไปว่า.. เราถือศีลเพื่ออะไร..
เมื่อตั้งใจถือ ก็ศึกษาจนเข้าใจแล้วว่า.. อย่างไรผิด อย่างไรไม่ผิดศีล..
ว่างๆ ลองนั่งตรวจตราศีลของตนเองว่า.. ครบถ้วนดีแล้วมั้ย..
ถ้าดีแล้ว ก็จงพอใจ.. แล้วปล่อยวาง..
ถือศีล ต้องเคร่งครัด.. ต้องศึกษาให้เข้าใจ.. จะได้ไม่เกิดมิจฉาทิฐิในการถือศีล.
อย่าถือเคร่งครัด จนเราเดือดร้อนเกินปกติ.. จนเป็นอุปสรรค ขัดขวางในการปฏบัติธรรม..
อย่าผ่อนปรน จนศีลขาด ก็ไม่รู้.. หรือถือแบบลูบๆ คลำๆ..
การถือศีล.. ไม่มีเจตนาฆ่าสัตว์ ไม่ได้ตั้งใจทำผิดศีลแล้ว.. ยังมานั่งลังเลสงสัยว่า.. เราผิดศีลมั้ย.. จนจิตขุ่นมัว..
แบบนี้ ไม่ได้.. เพราะมีตัวอย่างมาแล้วของพระภิกษุที่เป็นพญานาคในแม่น้ำโขง..
การถือพระวินัยแล้ว.. ต้องไม่มองออกนอกบาตรนั้น เมื่อยามจำเป็น.. ไม่ใช่มองออกไปเพราะกิเลส หรือเผลอ.. ก็ทำได้ ไม่น่าจะผิดศีล..
ยิ่งกรณีหลวงปู่นั้น..
“พระอรหันต์เป็นมนุษย์ประเภทพิเศษ.. จงอย่าได้เอาตัวเราที่มีกิเลสเต็มตัวไปเปรียบเทียบ เพื่ออธิบาย เป็นชี้วัดตัดสินคุณธรรมของท่าน..”
ความเป็นพระอรหันต์นั้น.. ไม่ติดยึดกับอะไรทั้งหมด แม้แต่ศีล พระวินัย..
เหมือนพระจี้กง ที่ฉันเนื้อสัตว์ ที่ดื่มสุรา.. แล้วบอกว่า ทำได้ เพราะพุทธะอยู่ที่ใจ..
พระวินัย มีไว้เพื่อประโยชน์ 2 ประการ..
1) เพื่อขัดเกลากิเลสเก่า.. ป้องกันกิเลสใหม่..
2) เป็นสัญญลักษณ์ ของพระธรรม (พระวินัย).. และพระสงฆ์อันเป็นองค์ประกอบหลักของพระรัตนตรัย..
พระอรหันต์นั้น.. คือ ผู้หมดแล้วซึ่งกิจที่จะทำ.. เมื่อกิเลสหมดแล้ว การถือศีล ถือพระวินัยเพื่อขัดเกลากิเลส จึงไม่จำเป็นอีกต่อไป..
พระอรหันต์นั้น แม้ไม่จำเป็นต้องถือพระวินัย.. แต่ท่านมักจะถือตามที่เห็นสมควร..
เพราะในเชิงสัญญลักษณ์นั้น.. ท่านยังเห็นความสำคัญในการสืบทอดพระศาสนา.. ในความเป็นพระสงฆ์ในสายตาของปุถุชน.. และการเคารพในพระธรรม.. เคารพในสิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงวางกฎเอาไว้..
“การถือศีล อย่างเคร่งครัดตามทางสายกลาง.. คือ ไม่เคร่งจนเสียการ.. และไม่หย่อนยาน จนขาดความสำรวม..”
เหมือนเราขับรถไปทำงานทุกวัน..
การถือศีลแบบเคร่งครัดเกินสมควร.. คือ ขับรถไป เครียดไป.. ขับช้าไป.. กลัวจะชนโน่น.. เกรงว่า จะเฉี่ยวนี่.. บางที ก็เลยเกิดอุบัติเหตุ.. หรือไปไม่ทันงาน.. เป็นการถือศีลแบบขาดสติ เป็นมิจฉาทิฐิ.. ไม่หลุดพ้น..
การถือแบบหย่อนยาน.. คือ ขับรถแบบเพลิดเพลิน ขาดความระมัดระวัง คึกคะนอง ประมาท.. ไม่สังวรในศีล จนเกิดอุบัติเหตุ.. จนตกนรก..
เพราะขาดความ “พอดี”..
การขับรถที่ดี คือ มีความระมัดระวัง ไม่ประมาท แต่ไม่เคร่งเครียด..
การถือศีลที่จะบรรลุธรรมขั้นต้นเป็นพระโสดาบันได้ แค่ศีล 5.. คือ มีความสำรวม เป็นปกติ.. ไม่ทำให้ศีลเป็นอุปสรรคในชีวิต..
ความมั่นใจในคำสอน.. ไม่ลังเลสงสัย.. ความเชื่อมั่นในพระรัตนตรัยว่าจริง.. สัมมาทิฐิในการนับถือศาสนาพุทธ ไม่สนใจสิ่งนอกศาสนา ก็จะตามมา..
การทำสมาธิเพียงเล็กน้อย ไม่ต้องถึงฌาน.. ทำความเข้าใจว่า.. กายไม่เที่ยง กายไม่ใช่เรา.. เราไม่ควรยึดมั่นถือมั่น ไม่มีอัตตา ไม่ยึดความเป็นตัวตน.. จนเกิดสภาวะดังกล่าวขึ้นจริง..
พระอริยะ.. ก็อาจเกิดขึ้นกับเรา ณ ภพนี้.. ไม่ต้องรอชาติหน้า หรือชาติไหนๆ..
ไม่ต้องสะสมบุญญาบารมีใดๆ.. ให้ครบให้เต็มก่อน จึงบรรลุธรรมได้..
ไม่ต้องรอให้ตายเสียก่อน.. แล้วค่อยเกิดเป็นพระโสดาบัน..
“ภพภูมิที่จะไปเกิดใหม่นั้น.. ถ้าเราต้องการให้ชาติหน้าเป็นอย่างไง..
เป็นสิ่งที่เราต้องทำ.. ต้องให้เกิด ให้มี ให้เป็น ตั้งแต่ในชาตินี้..
อย่าคิดว่า รอให้ตายเสียก่อน แล้วจะไปดี ค่อยไปสู่สุขคติ.. “
เพราะนั่นจะสายเกินไป..
บันทึก
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย