Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
รูปรูป คำคำ
•
ติดตาม
21 ธ.ค. 2023 เวลา 05:48 • นิยาย เรื่องสั้น
"คุณเคยเห็นผีไหมครับ"
วันนี้ผมเปิดเรื่องด้วยคำถามแบบขวานผ่าซาก ที่เราๆท่านๆอาจจะเคยถูกถามมาบ้าง อย่า่งน้อยก็ต้องมีสักครั้งในชีวิตล่ะครับ
ลูกสาววัยรุ่นของผม ถามคำถามนี้ใส่ผมแบบไม่ให้ตั้งตัว พร้อมกับสบตาจัง ๆ เพื่อทวงเอาคำตอบแบบเผาขน ค่าที่ผมบ่นเสียงดังไปหน่อย ว่าทำไมลูกสาวผมถึงได้ชอบดูแต่หนังผี ซึ่งเป็นรสนิยมที่พ่ออย่างผมไม่มีเอาซะเลย
คำว่าเคยเห็นผี นั้น น่าคิดตามนะครับ เคยเห็นก็ต้องหมายถึงรับทราบด้วยสายตา ไม่ใช่แค่เสียงลั่นจากไอ้นั่นไอ้นี่ ไม่ใช่แค่ลมพัดหน้าต่างปิด หรือบรรยากาศพาไปจนปักใจเชื่อ
ผมว่ามีคนจำนวนไม่น้อยเลยล่ะครับ ที่มักบอกว่า "เจอผี" โดยที่เกือบจะทั้งหมดไม่ได้เห็นด้วยสายตา แต่ฟันธงลงไปเพราะบรรยากาศรอบกาย และความหวาดผวาปนความเชื่อในหัวใจ จนทำให้สะกดจิตตัวเองอย่างสมบูรณ์ว่า "เจอผี" เข้าให้แล้ว แม้หลายเหตุการณ์นั้นจะสามารถอธิบายได้ด้วยวิทยาศาสตร์ง่าย ๆ ก็ตาม
ผมว่าความมืดนั้นเป็นบ่อเกิดของอาการกลัวผีครับ มันลึกลับ ชวนจินตนาการ โดยเฉพาะเรื่องอะไรที่มันมืด ๆ ตามสภาพ ผมโชคดีที่พ่อแม่ย้ายบ้านออกมาอยู่ชานเมือง ตั้งแต่ผมยังไม่ทันจะวัยรุ่น เติบโตมากับความไม่ค่อยเจริญรอบ ๆ ตัว ถนนมืดมิด ไม่มีไฟถนน รอบ ๆ ละแวกบ้านก็ยังเป็นทุ่งหญ้าทุ่งนา จนความมืดเป็นเพื่อนสนิทกับผมมาแต่เยาว์วัย
อีกเหตุผลที่ผมไม่กลัวความมืด ก็คงเพราะวิธีสร้างแรงจูงใจของคุณแม่ผม เมื่อตอนแยกห้องนอน ไม่ได้นอนร่วมห้องกับแม่ อาการหวาดผวาความมืดตอนปิดไฟนอน ก็ทำเอาเด็ก 7 ขวบอย่างผม งอแงได้ไม่น้อย ความที่อยากต่อรองให้เปิดไฟนอนตลอดคืน
แม่ผมให้เหตุผลกับผมว่า ถ้ากลัวผีก็ปิดไฟซะ ผีจะได้ไม่เห็น จะหลอกก็หลอกไม่ถูก ในหัวผมตอนนั้นมันนึกภาพเห็นผีเดินชนขอบประตู และเดินเตะโต๊ะเขียนหนังสือท่ามกลางความมืด เลยเบาใจ จนหลับตาคุ้นเคยไปในที่สุด นับว่าแม่ผมแยบยลมาก
ผมนับได้ว่าเป็นคนไม่กลัวผีครับ ในที่นี้ผมตีความรวมไปถึงการไม่กลัวความมืดด้วย ช่วงวัยเด็กต่อเนื่องมาจนถึงวัยเริ่มรุ่นของผมนั้น แคล้วคลาดการสัมผัสกับเรื่องลี้ลับนี้มาโดยตลอด ยิ่งเรียนในโรงเรียนคริสเตียนฯด้วยแล้ว บรรยากาศผี ๆ ยิ่งดูห่างไกลจนยากจะจินตนาการไปถึง
จนก้าวเข้าสู่วัยรุ่น แม้จะย้ายโรงเรียน เปลี่ยนกลุ่มเพื่อน ๆ เริ่มมีเพื่อนจากหลายจังหวัด หลายวัฒนธรรม แต่เราก็ห่างไกลจากการทำกิจกรรมในที่ ๆ ใกล้ความลึกลับ วังเวง จนแทบจะไม่มีเรื่องผี ๆ หรือเรื่องอาถรรพ์อะไรใกล้ตัวเอาซะเลย
.... สายตาลูกสาวผม ยังจ้องรอคำตอบอยู่ครับ ....
ผมจำความกลัวครั้งนั้นได้แม่นเชียวครับ เหมือนเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวานนี้ ถ้าใครมาถามผมว่าเคยกลัวที่สุดตอนไหน ผมให้คะแนนเต็มร้อยกับเหตุการณ์นี้ได้เลย ดีไม่ดีอาจมีแถมให้เป็นร้อยกว่า ค่าที่ทำเอาเด็กหนุ่มหัวใจปกติเกือบหัวใจวาย ...
ราวปลายเดือนมีนาคม หลังสอบปลายภาคเสร็จ นักศึกษาปีหนึ่งอย่างผมและเพื่อนๆ ก็พากันเตรียมตัวที่จะได้เป็นรุ่นพี่เสียที เพราะอีกไม่นาน เราจะมีน้องใหม่มารับภาระการเป็นเฟรชชี่แทน และเฟรชชี่หน้าเก่าอย่างเราๆ ก็จะกลายเป็นรุ่นพี่ป้ายแดง โดยมีภาระกิจที่รอคอย นั่นคือเทศกาลรับน้องใหม่
ไฮไลท์ ของเทศกาลรับน้องของคณะผมนั้น คือการไปเที่ยวต่างจังหวัดร่วมกันครับ แต่เราไม่มีการรับน้องต่างจังหวัดนะครับ เพราะรับกันเสร็จสรรพที่กรุงเทพแล้ว ถือว่าไปเที่ยวร่วมกันเฉยๆ ไปกินไปดื่มไปนอนเล่น เปลี่ยนบรรยากาศก่อนจะกลับมาตั้งหน้าตั้งตาเรียนกันต่อ
ก่อนหน้าที่จะได้น้องใหม่ รุ่นพี่ป้ายแดงอย่างพวกผม ก็ต้องเตรียมงานกันวุ่นวายทีเดียวครับ ทั้งเตรียมกิจกรรม เตรียมระดมทุน และเตรียมนั่นนี่กันจิปาถะ แต่หน้าที่ๆผมสมัครใจไปทำนั่นก็คือ การเซอร์เวย์หาที่พักต่างจังหวัด ที่คณะเราจะไปเที่ยวกัน
เค้าแบ่งเป็นทีมย่อยๆครับ สามคนบ้าง สี่คนบ้าง กระจายตัวกันไปหาที่ โดยปักหมุดไว้รอบๆกรุงเทพไม่เกินสองชั่วโมงเดินทาง แม้งบสนับสนุนการเซอร์เวย์จะน้อย แต่มันก็มาพร้อมโอกาสที่จะได้เดินทาง ผมกับเพื่อนอีกสองคน รวมเป็นสามหนุ่ม เลยไม่ลังเลที่จะอาสาไปหาที่เที่ยวเอาดาบหน้าในคราวนั้น
เราเดินทางตามเข็มทิศของรุ่นพี่ท่านหนึ่ง ที่ให้แผนที่แบบปากเปล่า พร้อมชื่อที่พักในจังหวัดกาญจนบุรี ความที่แกเคยมาเที่ยวกับครอบครัวเมื่อหลายปีก่อน แล้วประทับใจกลับไป
หลังจากเดินทางมากันอย่างยากลำบาก เราดั้นด้นมาถึงที่หมายตอนเกือบๆจะห้าโมงเย็น เพราะระยะทางปากเปล่านั้น สั้นกว่าความจริงหลายเท่าตัว จากที่เราคาดว่าจะหาได้โดยง่าย กลับกลายเป็นการเดินทางหาขุมทรัพย์ จนนึกอยากโทรถามทางจาก อินเดียน่า โจนส์
เราได้เห็น ป้าย "เคียงแคว รีสอร์ต" พร้อมๆกับป้ายไม้ขนาดใหญ่พอๆกันที่วางพิงอยู่ข้างๆ โดยมีข้อความลายมือโย้ๆว่า "ปิดปรับปรุง" เป็น ข้อความต้อนรับผู้มาเยือนยามใกล้วิกาล เล่นเอาเด็กหนุ่มสามคน ยืนหน้าโง่อยู่บนไหล่ถนนเงียบ ๆ โดยมีเสียงต้นไผ่ลั่นดังออดแอดเป็นเพื่อน
แต่โลกก็ไม่ใจร้ายกับเรามากไปหรอกครับ เพราะนอกจากคนงานจำนวนหนึ่งแล้ว พี่ที่เป็นผู้จัดการที่นี่ ก็เดินออกมาทักทายเรา ความที่หน้าตาเราตอนนั้น เหมือนเด็กหลงทางอย่างที่สุด
แกอัธยาศัยดีครับ จำไม่ได้เสียแล้วว่าแกชื่ออะไร จำได้แต่เพียงว่าแกจบจากพระนครเหนือ แล้วมาทำหน้าที่ผู้จัดการที่นั่น เพราะเป็นกิจการของเมียแก เหมือนแกจะเหงา ๆ หรือไงเนี่ยล่ะครับ แกเลยชวนกินเบียร์เป็นเพื่อนกับแก เล่นเอาเพื่อน ๆ ผมลืมหน้าที่ นั่งดวดเบียร์กับเพื่อนใหม่อย่างเต็มใจ และเต็มที่
ความที่ผมไม่ดื่ม เลยต้องนั่งหาวดูเขาดื่มอยู่เป็นนาน ยิ่งฝนเริ่มตกพรำ ๆ ยิ่งน่าง่วงซะเหลือเกิน จนออกอาการล้าอย่างออกนอกหน้า
แกก็ใจดีให้ที่พักเราครับ แต่ก็ออกตัวว่าเป็นเรือนพักคนงาน ไม่ได้สะดวกสบายนัก ซึ่งเราก็ไม่ได้หวังความสบายอะไรแล้วล่ะครับ ที่สำคัญคือฟรี ..
มันเป็นเรือนแถวที่ปลูกด้วยไม้ครับ ลักษณะคล้ายแฟลตชั้นเดียว มีห้องเรียงหน้ากระดานอยู่ประมาณห้าห้อง แต่ละห้องหน้ากว้างไม่เกินสามเมตร เล็กทีเดียวครับ เราได้นอนห้องริมซ้่ายสุด เพราะห้องที่เหลือ เขามีเจ้าของแล้ว เป็นคนงานที่มาปรับปรุงที่นี่ล่ะครับ เพียงแต่วันนี้ไม่มีใครอยู่เลย เพราะเขากลับเข้าเมืองกันหมด ความที่รุ่งขึ้นเป็นวันหยุด ทำให้บรรยากาศเงียบเชียบเกินจำเป็น
เปิดห้องเข้าไปก็พบว่า ห้องมีขนาดประมาณสามคูณสี่เมตรเห็นจะได้ มีเตียงสองชั้นแบบเตียงทหารขนาดพอดีตัว วางชิดผนังทั้งสองด้าน สามารถนอนได้สี่คน มีหน้าต่างอยู่ปลายห้อง มีหลอดไฟขนาด 25 แรงเทียนห้อยอยู่กลางห้อง และพื้นเป็นพื้นดินธรรมชาติ และตอนนั้นมันเริ่มเปียกจากน้ำฝน ที่สามารถไหลผ่านเข้ามาได้
จังหวะนั้น ไม่มีใครบ่นอะไรหรอกครับ มีที่นอนก็บุญแล้ว ยิ่งได้เบียร์ในปริมาณเกินพอดี ยิ่งทำให้เพื่อนทั้งสองของผมจับจองที่นอนก่อนจะทันได้พูดอะไร
ผมนอนเตียงล่างทางด้านขวาของห้อง โดยมีเพื่อนอีกคนนอนเตียงบน ส่วนอีกคนนั้นนอนเตียงล่างทางด้านซ้าย โดยใช้เตียงบนเป็นที่เก็บสัมภาระของเรา เพราะพื้นเปียกจนไม่น่าไว้ใจ
พอนอนลงผมถึงได้สังเกตุว่า ทางด้านข้างขวาของผม มีสวิทช์ไฟติดอยู่บนผนัง แค่เอื้อมมือไปหน่อยผมก็ปิดไฟกลางห้องได้โดยไม่ต้องลุกขึ้น พอเข้าที่เข้าทางแล้ว ผมก็ปิดไฟ แล้วนอนฟังเสียงฝน เสียงต้นไผ่ลั่น เสียงกบเสียงเขียด พร้อมกับเสียงกรนเบา ๆ จากเพื่อนสักคน จนผมหลับไป ....
หลับไปนานแค่ไหนผมก็ไม่รู้ แต่อากาศเย็นมากจนขอบเตียงที่เป็นโลหะ เย็นเจี๊ยบจนผมสะดุ้งเมื่อพลิกตัวไปโดนเข้า พร้อม ๆ กับรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ
เสียงฝนเงียบไปแล้ว เสียงต้นไผ่ก็เงียบลง พร้อมกับที่ไม่มีกบหรือเขียดสักตัวที่ส่งเสียง มันเงียบจนเกินไปครับ ผมเงี่ยหูฟังอยู่ในความมืดนั้น พยายามฟังว่า ยังมีเสียงกรนเบา ๆ ของเพื่อนๆผมอยู่ไหม
ตอน นั้นเองที่ผมรู้สึกอึดอัดเล็กน้อย เหมือนมีอะไรมาทับหน้าอกผมอยู่ ความที่มันหลับตาปนง่วงอยู่นั้น ผมเลยเอามือขวาทาบลงไปบนหน้าอกตัวเอง แล้วก็ต้องสะดุ้งเฮือก ..
ผมวางมือลงบนหน้าอกตัวเอง แต่สิ่งที่ผมสัมผัสนั้นไม่ใช่หน้าอก แต่เป็นอะไรบางอย่างที่เย็นยะเยือก จนผมต้องชักมือกลับ
บอกอย่างไม่อายเลยครับว่า ตอนนั้นผมไม่กล้าลืมตาเพราะกลัวว่าจะเป็นสัตว์เลื้อยคลานที่มีพิษ แต่ด้วยความอยากรู้ ผมเลยเอามือวางลงไปอีกที คราวนี้ผมพบว่าสิ่งนั้นไม่ใช่สัตว์ครับ แต่มันเป็นมือ ใช่ครับมือนี่ล่ะ แต่มันเย็นมาก และใหญ่ ๆ หนา ๆ และไม่ไหวติง
สัมปชัญญะของผมเริ่มตื่นขึ้นมา ภายใต้เปลือกตาที่ปิดสนิทนั้น ผมประมวลตรรกะที่เป็นไปได้ ไม่มีทางเป็นมือของเพื่อนทั้งสองได้ เพราะอยู่ห่างเกินกว่าจะเอื้อมมาวางบนหน้าอกผมได้ ที่นอนก็นอนได้คนเดียว ไม่มีใครมานอนข้างผมได้ และผมก็นอนอยู่บนเตียง ถ้าใครสักคนมานอนที่พื้นข้าง ๆ มันก็เอื้อมมือมาไม่ถึง ...
ตอนนั้นเองครับที่ผมเข้าใจอย่างชัดเจนว่า ขนหัวลุกมันเป็นยังไง รู้สึกว่ามันเย็นวาบแถวต้นคอ จนขนลุกไปทั้งตัว ผมกลัวมากจนร้องไม่ออก
มืออะไรกัน ใหญ่ หนา และเย็นขนาดนั้น จะมาวางอยู่บนอกผม ... ไม่มีตรรกะข้อไหนอธิบายได้เลย
วินาทีนั้น ผมนึกขี้นได้ว่า สวิทช์ไฟอยู่ทางขวาแค่เอื้อมนี่เอง ผมสามารถเปิดไฟได้โดยไม่ต้องลุก
มันเป็นช่วงเสี้ยววินาที และเกิดขึ้นเร็วมาก ๆ ครับ
ผมเอื้อมมือขวาไปเปิดสวิทช์ไฟแล้วลุกขึ้น พร้อมกับเอามือขวาผลักมือปริศนาบน อกผมออกไปอย่างแรง หัวใจผมเต้นแรงที่สุดเท่าที่มันจะทำได้ นี่ถ้าผมเป็นผู้หญิง ผมคงกรี๊ดเสียงดังข้ามจังหวัดแน่ ๆ ไอ้เจ้ามือปริศนา ตกแป็กลงข้าง ๆ ตัวผม ....
................................
คุณเคยนอนทับแขนตัวเองจนชาไหมครับ ผมนอนทับแขนซ้ายจนชา และไอ้มือปริศนานั้น มันก็คือมือซ้ายที่ชาจนไม่รู้สึกของผมเอง
เวลามันชาสุด ๆ เนี่ย เราจะไม่รู้สึกเลย และมันก็จะมีอุณหภูมิต่ำลงจนเย็นเมื่อไปจับเข้า
ขำก็ขำครับ แต่ตกใจมากกว่า นี่ดีนะที่ผมไม่หัวใจวายตายไปซะก่อน ไม่งั้นอายเขาแย่ ถ้าตายเพราะกลัวมือตัวเอง
นั่นเป็นการตกใจกลัวที่สุดในชีวิตเลยก็ว่าได้ เหตุคราวนั้นสอนให้ผมรู้จักการควบคุมสติไม่ให้เตลิด และพร้อมกับสร้างภูมิคุ้มกันความกลัวอย่างไม่มีเหตุผลให้ผมมาจนทุกวันนี้
..... สายตาลูกสาวผมยังรอคำตอบอยู่ เพราะผมยังไม่ได้ตอบว่า ผมเคย "เห็น"
ผี หรือไม่ .....
ผมเคยเห็นครับ ตลอดระยะเวลาตั้งแต่ลืมตาดูโลกมานี้ ผมเคยเห็นสิ่งที่ใคร ๆ เขาเรียกว่า ผี มาหนึ่งครั้งถ้วน เห็นจัง ๆ จะ ๆ เป็นตัวเป็นตน ไม่วูบไปวูบมา ไม่ลับ ๆ ล่อ ๆ เหมือนเล่นซ่อนแอบ ครั้งแรกและขอให้เป็นครั้งเดียวเท่านั้น
"เห็นยังไงคะ"
ลูกสาวผมกระเถิบเข้ามาใกล้อีก ไม่แน่ใจว่าเพราะอยากรู้จริง ๆ หรือว่าเริ่มอยากหาไออุ่นไว้เป็นภูมิคุ้มกันความอ่อนไหว
ใครจะเชื่อหรือไม่ ผมก็ไม่ขัดศรัทธา
เรื่องมันยาวครับ ไว้คราวหน้า ผมจะมาเล่าให้ฟัง ....
บันทึก
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย