23 ธ.ค. 2023 เวลา 13:29

“พยานหลักฐาน.. แสงซิงโครตรอน..” (repost เมื่อ 2564)

หลายคนดูข่าวคดีเด็กอายุ 3 ขวบเศษที่หายไปในป่า และพบเป็นศพในเวลาต่อมา.. ตำรวจเก็บหลักฐานและรวบรวมพยานหลักฐานนานนับปี ก็ยังไม่ทราบตัวคนร้าย..
จนในที่สุด เมื่อ 2 วันก่อน.. ตำรวจก็นำหลักฐานที่ได้ไปขอศาลออกหมายจับผู้ต้องหาได้ 1 คน..
หลายคนสงสัยว่า ใครคือผู้ต้องสงสัย ใครคือผู้ต้องหา และใครคือจำเลย..
ผู้ต้องสงสัย คือ คนที่ตำรวจสงสัยว่ากระทำผิด แต่หลักฐานยังไม่พอจับกุม..
ผู้ต้องหา คือ ผู้ต้องสงสัยที่ได้ตัวมา และตำรวจแจ้งข้อหาดำเนินคดีแล้ว..
จำเลย คือ ผู้ต้องหาที่พนักงานอัยการส่งฟ้องต่อศาลแล้ว.. ถ้าขังในเรือนจำเรียกว่า ผู้ต้องขัง..
จำเลย ที่ศาลตัดสินแล้วว่า มีความผิด คือ ผู้กระทำความผิด.. ในเรือนจำเรียกว่า นักโทษ..
ส่วน การที่ศาลจะออกหมายจับผู้ต้องหาให้ตำรวจนั้น ต้องมีเหตุอันควรเชื่อ (probable cause) ว่า เขาเป็นคนทำผิด..
เหตุอันควรเชื่อนั้น ต้องมีน้ำหนักมากกว่า “เหตุอันควรสงสัย” ที่จะทำให้ตำรวจจะมีอำนาจตรวจค้นตัวผู้ต้องสงสัยได้..
แต่เหตุอันควรเชื่อให้ศาลออกหมายจับนั้น.. ยังไม่มีน้ำหนักมากพอที่จะตัดสินว่าเขาเป็นผู้กระทำผิด..
การจะพิพากษาว่า ใครเป็นคนทำผิด ต้องใช้พยานหลักฐานที่น่าเชื่อถือมากๆ.. มากจนศาลมั่นใจและไม่สงสัยเลยว่าเขาเป็นคนร้าย..
55 อันนี้ทบทวนให้ฟังนะครับ.. เป็นสิ่งที่เคยเล่าไปแล้วในโพสต์ก่อนๆ..
ในโพสต์นี้จะกล่าวเรื่อง นิติวิทยาศาสตร์และการชั่งน้ำหนักพยานทางวิทยาศาสตร์ของศาลครับว่า..
“ศาลท่านดูตรงไหนว่า เทคโนโลยีใหม่ๆ ที่จะมานำสืบในศาลนั้น มีความน่าเชื่อถือหรือไม่อย่างไร..”
ตามข่าวหลายช่อง บอกว่า สภาพศพในที่เกิดเหตุของน้องชมพู่..(ขออนุญาตเอ่ยนามผู้ตาย) พบว่า เส้นผมถูกตัดหลายเส้น..
และภายในรถยนต์ของผู้ต้องหา ก็พบเศษเส้นผมที่ตัดแล้วของน้องชมพู่..
คงมีหลายคนที่ตำรวจสงสัยว่าเป็นคนร้าย.. แต่เพียงแค่ความสงสัยของตำรวจที่เห็นพิรุธ.. ยังไม่ใช่เหตุที่จะขอศาลออกหมายจับได้..
เพราะยังไม่มี “เหตุอันควรเชื่อ”..
แต่เส้นผมที่พบในรถของผู้ต้องหา.. ตรวจสอบแล้ว น่าจะเป็นเส้นผมของผู้ตาย.. ประกอบกับคงจะมีพยานหลักฐานอื่นที่ไม่เปิดเผยด้วยนี่ล่ะครับ..
ที่ตำรวจนำไปให้ศาลไต่สวนเพื่อขอออกหมายจับ..
และศาลท่านคงเห็นว่า มี “เหตุอันควรเชื่อ” หรือมีพยานหลักฐานตามสมควรเพียงพอให้ศาลออกหมายจับผู้ต้องหาได้แล้ว.. จึงออกหมายจับให้..
ข่าวเล่าว่า.. เส้นผมของศพ และเส้นผมที่พบในรถของผู้ต้องหา.. มีการตรวจด้วยวิธีการ “ใช้แสงซิงโครตรอน” แล้ว.. น่าเชื่อว่าเป็นของคนเดียวกัน..
อืม.. หลายคนเคยได้ยินแต่ วิธีการตรวจหากลุ่มเลือด.. ตรวจหาลายนิ้วมือ.. ตรวจดีเอ็นเอ..
แล้วเจ้า.. “แสงซิงโครตรอน” นี่ มันคืออะไร..
แสงซิงโครตรอน (Synchrotron Radiation).. คือ แสงที่ค้นพบใหม่.. มีความสว่างมากๆกว่าเวลากลางวันเป็นล้านเท่า.. ลำแสงมีขนาดเล็กระดับไมโคร..
เป็นแสงที่เป็นพลังงานคลื่นแม่เหล็กกับไฟฟ้า.. กับคล้ายแสงอาทิตย์..
เราสร้างให้เกิดขึ้นได้ด้วยการเร่งอนุภาคของอิเลคทรอน.. ให้วิ่งในแนวตั้ง.. ด้วยความเร็วสูงเกือบเท่าแสง..
แล้วใช้พลังแม่เหล็กบังคับให้มันเปลี่ยนทิศทาง.. อนุภาคอิเลคทรอนที่เบนออกไป จะปล่อยพลังงานออกมาเห็นเป็นแสง เรียกว่า..
“แสงซิงโครตรอน”
แสงซิงโครตรอนนี้ นำมาใช้ตรวจหาโครงสร้างของโปรตีน และไวรัสในเซลล์ หรือโมเลกุลได้.. จึงเปรียบเทียบโครงสร้างที่เหมือน หรือต่างกันได้..
เทคโนโลยี่นี้ ค้นพบและใช้มาหลายสิบปีแล้ว.. มีการพัฒนาตลอดเวลา และนำมาใช้กับงานด้านต่างๆมากมาย..
เมื่อมีการนำมาใช้ในวงการนิติวิทยาศาสตร์.. มักใช้ตรวจพิสูจน์หลักฐานเพื่อหาโครงสร้างของโปรตีนผู้ต้องสงสัยกับหลักฐานที่พบในที่เกิดเหตุ เช่น ในลายนิ้วมือ..
คดีนี้ เข้าใจว่า มีการใช้แสงซิงโครตรอนตรวจโครงสร้างโปรตีนในเส้นผมของน้องชมพู่ กับเส้นผมที่พบในรถยนต์ของผู้ต้องหาว่า มีโครงสร้างเหมือนกัน จนเชื่อว่าเป็นของบุคคลคนเดียวกัน..
นิติวิทยาศาสตร์ เป็นการนำความรู้ทางวิทยาศาสตร์มาใช้เพื่อช่วยศาลค้นหาความจริงในคดี..
พยานหลักฐานที่ใช้เทคโนโลยี่และวิทยาศาสตร์ จนทำให้ศาลรับรู้ข้อเท็จจริงเพิ่มเติมมากกว่าเห็นด้วยตาเนื้อนี้ เรียกว่า..
“พยานหลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์”
เวลานำพยานหลักฐานนี้เสนอต่อศาล.. จะต้องมีพยานบุคคลที่เป็นคนจัดทำและมีความรู้ ไปเบิกความเป็นพยานต่อศาลด้วย..
พยานบุคคลประเภทนี้.. ไม่ใช่ประจักษ์พยานที่เกี่ยวข้องรู้เห็นเหตุการณ์โดยตรง.. และไม่ใช่พยานแวดล้อมที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์โดยอ้อม..
แต่เรียกพยานประเภทนี้ว่า..
“พยานผู้เชี่ยวชาญ”..
พยานผู้เชี่ยวชาญคือ บุคคลที่มีความรู้เฉพาะด้านที่สามารถให้ข้อมูลกับศาลเพื่อช่วยยืนยันว่า เกิดความผิดขึ้น และจำเลยเป็นคนร้าย..
เช่น แพทย์ผู้ตรวจบาดแผล.. ผู้ตรวจสภาพศพ.. ผู้ตรวจดีเอ็นเอ.. ผู้ตรวจความเร็วรถและร่องรอยการชน.. ผู้ตรวจลายพิมพ์มือ.. ผู้ตรวจระยะเวลาการเน่าของศพ.. ผู้ตรวจวิเคราะห์ข้อมูลคอมพิวเตอร์.. เป็นต้น
เวลาที่พยานผู้เชี่ยวชาญมาเบิกความ จึงไม่มีสิทธิบอกศาลว่า ใครเป็นคนร้ายที่แท้จริง.. เพราะตนเองไม่อยู่ในเหตุการณ์.. ไม่เห็น.. ไม่รับรู้.. ไม่เกี่ยวข้องอะไรเลย..
เช่น พบอสุจิมีดีเอ็นเอของคนร้ายอยู่ในช่องคลอดของผู้ตาย.. พยานผู้เชี่ยวชาญการตรวจดีเอ็นเอ บอกศาลได้ว่า ดีเอ็นเอที่พบตรงกันกับของจำเลยหรือไม่ เท่านั้น..
แต่จะบอกว่า จำเลยเป็นคนข่มขืนแล้วฆ่าผู้ตายไม่ได้..
ศาลเอง เมื่อพยานมาเบิกความ โดยทั่วไป จะดูว่า สิ่งที่พยานพูดเป็นความจริงมั้ย..
ภาษาชาวบ้านเรียกว่าเรียกว่า.. จับโกหก.. ภาษาตำรวจเรียกว่า.. หาพิรุธ.. ภาษากฎหมายเรียกว่า.. ชั่งน้ำหนักความน่าเชื่อถือของพยาน..
หากเป็นพยานบุคคลที่เป็นประจักษ์พยาน เช่น ผู้เสียหาย หรือผู้เห็นเหตุการณ์..
ศาลจะดูว่า ร่างกาย จิตใจ ความคิด อารมณ์ การรับรู้ในอายตนะทั้งหมดของพยานมีข้อบกพร่องอะไรมั้ย..
สอดคล้อง หรือขัดแย้งกับพยานบุคคล พยานวัตถุ พยานเอกสารอื่น หรือความเป็นธรรมชาติอย่างไร..
ถ้าเช่นนั้น การชั่งน้ำหนักความน่าเชื่อถือของคำพูดของพยานผู้เชี่ยวชาญซึ่งไม่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ และให้ข้อเท็จจริงที่รู้เห็นไม่ได้นั้น..
ศาลดูตรงไหน..
ที่สำคัญคือ สิ่งที่พยานผู้เชี่ยวชาญอธิบายนั้น มักเป็นความรู้ทางวิทยาศาสตร์.. ยิ่งถ้าเป็นเรื่องใหม่..
เช่น การตรวจลายฝ่าเท้า การตรวจลายพิมพ์หู การตรวจแมลงในศพ.. การตรวจด้วยแสงซิงโครตรอนแล้ว..
ศาลจะรู้มั้ย.. ทนายจำเลยจะรู้มั้ยว่า.. ความรู้ที่พยานอธิบายให้ฟัง ถูกต้อง น่าเชื่อถือหรือไม่..
น่าเสียดายที่กฎหมายไทยไม่ได้บัญญัติไว้อย่างชัดเจน.. ทำให้ทนายจำเลยที่ต้องการซักค้านพยานผู้เชี่ยวชาญเป็นไปได้ยากยิ่ง..
แต่หลักการสากลของการชั่งน้ำหนักพยานผู้เชี่ยวชาญนั้นมีอยู่ครับ..
คือ นอกเหนือจากการชั่งน้ำหนักพยานบุคคลโดยทั่วไปแล้ว..
ศาลจะต้องเห็นได้ว่า..
1. ข้อเท็จจริงที่พยานเบิกความต้องเป็น องค์ความรู้ทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี่..
ไม่ใช่ความเชื่อ ความรู้ใหม่ที่ยังไม่มีการยืนยัน หรือเป็นความรู้ทั่วไป..
2. ข้อเท็จจริงที่เบิกความต้องเป็นองค์ความรู้ของพยานจากการศึกษาเอกสารทางวิชาการของพยานเอง..
ไม่ใช่เป็นความรู้ที่ได้จากการพูดคุย จากสื่อมวลชน หรือค้นจากสื่อสารสนเทศ..
3. องค์ความรู้ใหม่นั้น ได้รับการยอมรับในวงการสาขานั้นๆแล้ว..
เช่น มีงานวิจัย มีเปอร์เซ็นต์ความแม่นยำ ผิดพลาด และมีการเผยแพร่เป็นเอกสารตำราทางวิชาการที่ได้รับการยอมรับ..
ไม่ใช่ความรู้ที่ยังจำกัดในวงแคบ.. และไม่การพิสูจน์ยืนยันจนยอมรับในวงการ..
เช่น เครื่องไม้ชี้หาระเบิดที่เคยมีปัญหาในอดีต.. การใช้เครื่องจับเท็จ.. หรือการใช้แสงซิงโครตรอนตรวจดูโครงสร้างของพืชในสภาพแวดล้อมต่างๆ เป็นต้น
4. ถ้าเป็นเรื่องขั้นตอนการตรวจพิสูจน์.. ต้องปรากฎชัดว่า..
ผู้เก็บตัวอย่างพยานวัตถุในที่เกิดเหตุ.. ผู้เก็บรักษาพยานวัตถุหลังเกิดเหตุ... และผู้วิเคราะห์ ผู้ตรวจพิสูจน์หลักฐานได้ใช้เครื่องมือ โปรแกรม แอพพลิเคชั่นใช้สารเคมี น้ำยา หรืออุปกรณ์ที่มีมาตรฐาน..
โดยทำตามกระบวนการเก็บรวบรวม ดูแลรักษา และวิเคราะห์ด้วยขั้นตอน และวิธีการที่ได้มาตรฐาน เป็น best practice ที่ได้รับการยอมรับ..
และกระบวนการเคลื่อนย้ายเปลี่ยนมือของวัตถุพยานนั้น.. ตั้งแต่เกิดเหตุ.. เก็บรวบรวม.. ดูแลรักษา.. วิเคราะห์.. จนถึงการทำรายงานการตรวจพิสูจน์...
ไม่มีบุคคลอื่นใดที่ไม่เกี่ยวข้องมาแทรกแซงการทำงาน หรือยุ่งเกี่ยวกับวัตถุพยานหรือผลการตรวจพิสูจน์นั่น..
ภาษาอังกฤษเขาเรียกว่า ..
“Chain of custody” (CoC)
นี่คือ วิธีการชั่งน้ำหนักความน่าเชื่อถือของพยานผู้เชี่ยวชาญและพยานหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ทุกประเภทโดยศาล..
ถ้าศาลพิจารณาตามหลักเกณฑ์ที่กล่าวมาแล้ว.. ผ่านทั้งหมด ก็ถือว่า พยานผู้เชี่ยวชาญ และผลการตรวจพยานทางวิทยาศาสตร์นั้น มีความน่าเชื่อถือ รับฟังได้..
แต่จะน่าเชื่อจนรับฟังถึงขั้นตัดสินได้หรือไม่นั้น ยังไม่แน่..
ถ้าพิจารณาแล้ว พยานผู้เชี่ยวชาญ หรือพยานทางวิทยาศาสตร์นั้น.. ขาดตก ไม่ตรงตามหลักเกณฑ์ดังกล่าว..
ก็มีความเป็นไม่ได้มาก ที่ศาลจะไม่เชื่อคำเบิกความของพยานผู้เชี่ยวชาญ และไม่ให้น้ำหนักพยานทางวิทยาศาสตร์ที่ได้..
หลักเกณฑ์ที่ผู้เขียนนำมาเล่าให้ฟังนี้.. ใช้ได้กับเกือบทุกคดีในปัจจุบัน.. ผู้อ่านลองนำไปเทียงเคียงกับคดีต่างๆเอาเองนะครับ..
เช่น คดีน้องชมพู่ คดีคุณบอส คดีหวย 30 ล้าน..
ที่เล่าให้ฟังเป็นเรื่องวิชาการนะครับ.. ส่วนผลคดีต่างๆจะเป็นอย่างไรนั้น ก็ขึ้นอยู่กับพยานหลักฐานและการชั่งน้ำหนักพยานเป็นคดีๆไป..
เพราะนิติวิทยาศาสตร์นั้น.. มีความแม่นยำสูงมาก.. เมื่อพัฒนาการก้าวหน้ามากเท่าไหร่.. ความชัดเจนและน่าเชื่อถือในงานวิจัยยิ่งมากขึ้น..
แต่อย่าลืมว่า.. พยานทางวิทยาศาสตร์ แม้จะแม่นยำเพียงใด.. ก็ยังไม่ใช่คำตอบสุดท้ายในทุกคดี..
เพราะการที่ศาลจะตัดสินผิดถูกนั้น.. ต้องมีพยานหลักฐานที่มีคุณค่าในเชิงพิสูจน์ที่ชี้ความจริงเข้ามาถึงศาลก่อน..
จากนั้นศาลต้องชั่งน้ำหนักอย่างถูกต้องว่า มีความน่าเชื่อถือเพียงใด..
พยานที่เกี่ยวข้องทั้ง พยานบุคคล พยานวัตถุ และพยานเอกสารมีความสำคัญทั้งสิ้น..
การรับฟังพยานให้สิ้นสงสัยนั้น.. จึงต้องรับฟังพยานที่มีอยู่ทั้งหมดว่า มีความสอดคล้องกันในสาระสำคัญ.. จนเชื่อได้ว่า เกิดความผิดตามฟ้อง และจำเลยเป็นผู้กระทำจริง.. จึงลงโทษจำเลยได้..
หากพยานโจทก์ที่ตำรวจรวบได้ และอัยการเอามานำสืบ ไม่มีคุณภาพ.. มีข้อพิรุธ หรือขัดแย้งกันในสาระสำคัญ.. พยานโจทก็เบิกความเจือสมเข้าข้างพยานจำเลย.. พยานผู้เชี่ยวชาญ หรือพยานทางวิทยาศาสตร์ไม่เป็นไปตามหลักเกณฑ์..
ล้วนเป็นเหตุให้ศาลยกฟ้องได้ทั้งสิ้น.. เพราะแม้เพียงแค่สงสัย.. ก็ต้องยกประโยชน์ให้แก่จำเลยไปแล้ว..
ตามนิติคติที่ว่า..
“พิพากษาปล่อยคนร้ายไป 10 คน.. ก็ยังดีกว่าพิพากษาลงโทษคนบริสุทธิ์เพียงคนเดียว..”
เอวัง.. ก็มีด้วยประการฉะนี้..
โฆษณา