Year End List อัลบั้มสากลแห่งปี 2023 ปีนี้อาจจะน้อยหน่อย แต่มั่นใจได้ถึงคุณภาพและการเข้าถึงความรู้สึกได้อย่างท้าทาย ส่วนตัวผมคัดกรองได้ทั้งสิ้น 12 อัลบั้มครับทุกท่าน บางอัลบั้มที่ไม่ได้รีวิวลงเพจ เราขอเขียนถึงยาวหน่อย(แค่บางอัลบั้ม) หวังว่าทุกคนจะเอ็นจอยกับอัลบั้มที่เราแนะนำส่งท้ายปี
-อาจจะเป็นเพราะความจริงอันน่าเจ็บปวดในการได้เห็นด้านที่อ่อนแอเกินกว่าจะมูฟออน มันเลยทำให้ผมรู้สึกอินไปกับการต่อสู้ของชาวคณะ ไม่ว่าจะเป็น แทร็คเปิดสุดแข็งแรงอย่าง Rescued ความเปราะบางใน The Glass การ throwback สู่ความออริจนอลจนอดนึกถึงเฮีย Taylor Hawkins ไม่ได้ในเพลง Under You ไม่ใช่แค่เพื่อนร่วมวงที่จากไป การสูญเสียแม่ของเฮีย Dave Grohl กลับเป็นสิ่งที่ขยี้บ่อน้ำตาผมหนักมาก โดยเฉพาะเพลง Beyond Me, The Teacher และแทร็คปิดท้าย Rest ที่เหมือนเป็นเพลงงานศพประจำวง
-ไม่ว่าจะเป็น โฟล์คสายเปี่ยมหวังอย่าง Each Side of Sorrow ร็อคแบบ Fear and Friday บัลลาดเปียโนอันหักแน่นใน Jake’s Piano การระลึกถึงกำพืดใน Oklahoman Son ถ้าว่ากันตามตรงจากเพลงแจ้งเกิดอย่าง I Remember Everything ต่อให้ไม่มี Kacey Musgraves เขาก็ถ่ายทอดออกมาได้สมบูรณ์พอกัน เอกลักษณ์แน่นขนาดนี้ จดไว้เป็นศิลปินที่ต้องติดตาม
7. The Land Is Inhospitable and So Are We - Mitski
-ตัวอย่างอัลบั้มที่เล่นกับ full band แล้วรู้จักรวบรัด มันเลยง่ายเป็นพิเศษในการเผยแพร่พลังงานความแช่มช้าที่เป็นพลังงานงดงามและ mature ยิ่งขึ้น การค่อยๆเรียนรู้ปรับตัวในการค้นหาแก่นแท้ของตัวเองเพื่อรักตัวเองมากขึ้น ภายใต้ full band โหมโรงประโลมจิตด้วยความละเมียดละไม
-ไม่แปลกที่เพลงขึ้นต้น Bug Like Angel จะทำให้เราขนลุกตั้งแต่เนิ่นๆ ไม่แปลกที่ My Love My All Mine คือเพลงที่ประสบความสำเร็จที่สุดในปีนี้อย่างไม่ฟลุ๊คด้วยความต้องมนต์บางอย่างที่สะกดคนฟังภายในเสี้ยวนาที ซึ่งถือว่าเก่งมาก Love Me After You เป็นเพลงปิดท้ายอัลบั้มที่แสนสั้นเช่นกัน แต่กลับให้ความสุดขีดแห่งการระลึกถึงความรักอันท้ายสุดที่จบด้วยตัวเอง ช่างเป็น 30 กว่านาทีที่เต็มอิ่มและจบงานได้เก่งกาจ พรรณนาได้อย่างไม่มากความ
-สิ่งที่ผมชอบในอัลบั้มนี้คงเป็นความสดใหม่ทางไอเดีย เพราะนี่คืออัลบั้มแรปเพื่อชีวิตการเดินทางของนักดนตรีและศิลปินที่พรรณนาอะไรได้ก็เขียนลงจดลงระหว่างเดินสายออกทัวร์แม่งเลย เป็นการหยิบประเด็นปลายจมูกที่หลายแรปเปอร์ต่างมองข้ามเพราะมัวแต่ flex หรือน้อยใจสาวน้อยใจเพื่อนปลอมเสียจนมองข้ามความเหนื่อยหน่ายระหว่างการเดินทาง และไม่ค่อยเห็น deep conversation แบบนี้มากเท่าไหร่นัก
-ทั้งอัลบั้มมีการคุมตีมแห่งบรรยากาศการเดินทางได้อย่างดี ผมจึงบอกไงว่าถ้าอาศัยการจินตนาการไปตามปกอัลบั้ม คุณจะลิ้งค์กับเรื่องราวการเดินทางโดยอัตโนมัติ อีกทั้งภาคดนตรีไม่ได้ซัดบีทหนักหน่วง experiment จัดจ้านขนาดนั้น ยังมีจุดที่รื่นรมย์มากพอสมควร ความโฉ่งฉ่างอย่างมากสุดเลยก็คงเป็นการโผล่มาของ Danny Brown ในเพลง Year Zero ที่เป็นตัวขโมยซีนสร้างความปั่นป่วนดุจร่างเดิมได้กลับมาแล้ว เป็นคู่หูดูโอ้แรปเปอร์และโปรดิวซ์เซอร์ที่เต็มเปี่ยมความคิดสร้างสรรค์ไม่แพ้ใครเลยครับ
-การโหยหาความรักแบบไม่มีเงื่อนไข Will Anybody Ever Love Me? เป็นความนุ่มนวลที่แอบซ่อนความเคว้งคว้าพอสมควร เหมาะเหม็งพอที่จะเป็น centerpiece ที่สามารถ capture ความรู้สึกส่วนลึกของอัลบั้มนี้ การดีลกับความสัมพันธ์ที่อยู่ในโลกความเป็นจริงมากสุดอย่าง So You Are Tired ที่นับวันยิ่งถึงทางตัน มีจุดที่พร้อมจะเบื่อหน้ากันตลอดเวลา
-Shit Talk แทร็ครองสุดท้ายที่ขยี้ได้หนักมากในแง่ของการยอมรับสภาพ การกอดที่เริงรำก่อนที่จะสลาย คอรัสที่ประสานเสียงกันอย่าง festive แต่ outro กลับหนักอึ้งเอาเรื่อง ภาษาเพลงของสตีเวนส์แทบจะไม่มีการประดิษฐ์ buzz word ยากๆ หรือการเปรียบเปรยที่ซับซ้อนจนต้องตีความหลายชั้น แต่ทำไมถึงจี้จุดได้จึ้งหนักขนาดนี้ อาจจะเป็นเพราะการทะนุถนอมท่วงทำนองที่มากพอเสียจนความเจ็บปวดเหล่านั้นเป็นเรื่องที่มองข้ามอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้