28 ธ.ค. 2023 เวลา 06:04 • ดนตรี เพลง

Top 12 International Albums of 2023 by FPFM

Year End List อัลบั้มสากลแห่งปี 2023 ปีนี้อาจจะน้อยหน่อย แต่มั่นใจได้ถึงคุณภาพและการเข้าถึงความรู้สึกได้อย่างท้าทาย ส่วนตัวผมคัดกรองได้ทั้งสิ้น 12 อัลบั้มครับทุกท่าน บางอัลบั้มที่ไม่ได้รีวิวลงเพจ เราขอเขียนถึงยาวหน่อย(แค่บางอัลบั้ม) หวังว่าทุกคนจะเอ็นจอยกับอัลบั้มที่เราแนะนำส่งท้ายปี
12.But Here We Are - Foo Fighters
-นานๆทีจะมีอัลบั้มร็อคโรงเรียนเก่าติดท็อปลิสท์ที่สุดแห่งปี อัลบั้มของเหล่าน้าๆลุงๆที่โคตรส่วนตัว และดีที่สุดในแง่ของการกลั่นความรู้สึกโศกอันเป็นสัจธรรมแห่งการสูญเสียที่เข้มข้น หนักแน่น และสตรองในการประคับประคองสานต่อเจตนารมย์ของวงต่อไป ในอัลบั้มก่อนหน้านั้นที่ปล่อยออกมาหลังจาก Wasting Light ผมแอบรู้สึกเฉยชาในความร็อคเหมือนๆกันหมด ไม่รู้ทำไม แต่พอเป็นอัลบั้มแห่งความสูญเสียกลับเป็นความโชคร้ายอย่างประหลาดในการรังสรรค์จนได้ความหนักแน่นที่เป็นชิ้นเป็นอันกว่าครั้งไหนๆ
-อาจจะเป็นเพราะความจริงอันน่าเจ็บปวดในการได้เห็นด้านที่อ่อนแอเกินกว่าจะมูฟออน มันเลยทำให้ผมรู้สึกอินไปกับการต่อสู้ของชาวคณะ ไม่ว่าจะเป็น แทร็คเปิดสุดแข็งแรงอย่าง Rescued ความเปราะบางใน The Glass การ throwback สู่ความออริจนอลจนอดนึกถึงเฮีย Taylor Hawkins ไม่ได้ในเพลง Under You ไม่ใช่แค่เพื่อนร่วมวงที่จากไป การสูญเสียแม่ของเฮีย Dave Grohl กลับเป็นสิ่งที่ขยี้บ่อน้ำตาผมหนักมาก โดยเฉพาะเพลง Beyond Me, The Teacher และแทร็คปิดท้าย Rest ที่เหมือนเป็นเพลงงานศพประจำวง
-ถ้าไม่นับเรื่องคอนเซปต์แห่งการสูญเสีย ภาคดนตรี progressive กว่า ลูกเล่นในการขยี้ที่หนักกว่า ชนิดที่สามารถกระทุ้งอารมณ์แห่งความหนักอึ้งที่คนรุ่นใหญ่วัยเก๋าอาจมีเสียน้ำตาได้เหมือนกัน ผมอาจจะไม่มีประสบการณ์ร่วมมากนัก แต่ก็อดคิดถึงคนใกล้ตัวไม่ได้เหมือนกัน และจะพยายามไม่ปฏิเสธสัจธรรมบั้นปลายชีวิตด้วย
11.Lahai - Sampha
-อัลบั้มแห่งการมูฟออนและค้นหาทางสงบแห่งจิตใจที่เราเชื่อได้เลยถึง mindset อันหลักแหลมของเขาคนนี้ในการก้าวข้ามผ่านเพื่อการทะนุถนอมความเป็นปัจจุบันได้อย่างมั่นคงยิ่งขึ้น ความโฉ่งฉ่างที่ลดทอนลงจาก Process แต่ความสบายใจที่ได้ละเลียดผลงานของ Sampha มันได้บังเกิดขึ้นไปเรียบร้อยแล้ว
10.Zach Bryan - Zach Bryan
-เพิ่งได้ทำความรู้จักจากเพลง I Remember Everything เนี่ยแหละครับ เห็นกระแสตอบรับดีมาก เลยกดฟังทั้งอัลบั้ม ค้นพบทันทีว่า นี่คือคันทรี่ที่ถูกจริตผมเต็มๆ โดยเฉพาะสไตล์อันหยาบกร้าน เป็นความขี้เหล้ากรึ่มๆที่โคตรเท่ห์ชิบหาย ต่อให้จะวนอยู่กับอคลูสติคกีตาร์โปร่งอันเป็นสูตรคันทรี่ก็ตาม แต่นาย Zach เนี่ยเค้าถ่ายทอดมุมมองส่วนตัวได้เก่ง เข้าถึงความปลงโศกได้อย่างลงล็อคกับแนวเพลงแขนงอื่นเหมือนกัน
-ไม่ว่าจะเป็น โฟล์คสายเปี่ยมหวังอย่าง Each Side of Sorrow ร็อคแบบ Fear and Friday บัลลาดเปียโนอันหักแน่นใน Jake’s Piano การระลึกถึงกำพืดใน Oklahoman Son ถ้าว่ากันตามตรงจากเพลงแจ้งเกิดอย่าง I Remember Everything ต่อให้ไม่มี Kacey Musgraves เขาก็ถ่ายทอดออกมาได้สมบูรณ์พอกัน เอกลักษณ์แน่นขนาดนี้ จดไว้เป็นศิลปินที่ต้องติดตาม
9.That! Feels Good! - Jessie Ware
-ตั้งแต่ What's Your Pleasure? ที่เพิ่งจับทางดิสโก้จนรู้สึกว่า เจ๊แกไม่ได้มาเล่นๆ แทบจะคารวะเลยล่ะ จนเป็นจุด turning point ในอาชีพเธอ อัลบั้มนี้เป็นการตอกย้ำความเป็นเจ้าแม่ดิสโก้อีกคราที่สัมผัสได้ถึงพลังงานความเปี่ยมสุข สายตาที่เปล่งประกาย
-ตอนผมฟัง Begin Again เป็นความ cinematic ชวนขนลุกเลย shine bright มาก Hello Love ก็อบอุ่นเปี่ยมด้วยความหวัง Free Yourself, Beautiful People จริตมากพอจะเป็น anthem ในชุมชน LGBTQ+ ถึงแม้ว่าจะปูความพาสเทล แต่ก็ไม่ปิดบังความรักแบบผู้ใหญ่ โดยที่ความสองแง่สองง่ามนั้นไม่โฉ่งฉ่างเกินเหตุ ดูได้จากไตเติ้ลแทร็ค That! Feels Good! ที่ยั่วได้ไม่เกินงาม
-เป็นการสานต่อความ pleasure ที่ไม่รู้ว่าจะขยับบาร์ไปมากกว่านี้หรือไม่ เพราะนี่คือการ repeat disco จากอัลบั้มก่อนเลยด้วยซ้ำ แต่ถ้าหากเจ๊รู้สึกดีอย่างไม่ฝืน คนฟังอย่างผมก็ไม่รู้สึกตะหงิดเลยด้วยซ้ำ สัมฤทธิ์ผลในแง่ของการพาสู่จุดที่เปี่ยมสุขได้ก็เป็นพอ
8.This Is Why - Paramore
-เขียนถึงในช่วงที่โซเชียลมีเดียของวงโดนล้างไพ่พอดี ไม่แน่ใจว่าเกิดอะไรขึ้น ยิ่งมี statement ที่บอกว่า อนาคตของวงไม่ค่อยแน่นอนหรือมั่นคงเท่าไหร่ ใครจะไปอดคิดในแง่ร้ายได้ไง ที่แน่ๆการกลับมาในรอบ 5 ปีเป็นอะไรที่รู้ใจตัวเองดีที่สุด พร้อมกับสุ้มเสียงที่โคตรจะอินดี้ที่มีแต่จะเติบโตขึ้นเรื่อยๆ
7. The Land Is Inhospitable and So Are We - Mitski
-ตัวอย่างอัลบั้มที่เล่นกับ full band แล้วรู้จักรวบรัด มันเลยง่ายเป็นพิเศษในการเผยแพร่พลังงานความแช่มช้าที่เป็นพลังงานงดงามและ mature ยิ่งขึ้น การค่อยๆเรียนรู้ปรับตัวในการค้นหาแก่นแท้ของตัวเองเพื่อรักตัวเองมากขึ้น ภายใต้ full band โหมโรงประโลมจิตด้วยความละเมียดละไม
-ไม่แปลกที่เพลงขึ้นต้น Bug Like Angel จะทำให้เราขนลุกตั้งแต่เนิ่นๆ ไม่แปลกที่ My Love My All Mine คือเพลงที่ประสบความสำเร็จที่สุดในปีนี้อย่างไม่ฟลุ๊คด้วยความต้องมนต์บางอย่างที่สะกดคนฟังภายในเสี้ยวนาที ซึ่งถือว่าเก่งมาก Love Me After You เป็นเพลงปิดท้ายอัลบั้มที่แสนสั้นเช่นกัน แต่กลับให้ความสุดขีดแห่งการระลึกถึงความรักอันท้ายสุดที่จบด้วยตัวเอง ช่างเป็น 30 กว่านาทีที่เต็มอิ่มและจบงานได้เก่งกาจ พรรณนาได้อย่างไม่มากความ
6.Maps - billy woods & Kenny Segal
-มีคนแนะนำอัลบั้มนี้เยอะเหมือนกัน ฟังครั้งแรกไม่เก็ต เพราะผมก็ไม่รู้จัก billy woods เลยด้วยซ้ำ นี่จึงเป็นอัลบั้มแรกที่เปิดโลกซีนอินดี้แรปที่ต้องใช้เวลาพอสมควรในการเข้าไปสำรวจโลกของแรปเปอร์ที่ชอบปิดหน้าค่าตาคนนี้อ่ะครับ
-ถึงจะเป็นงานเพลงที่ไม่ได้เน้น catchy phrase ไม่ได้โฉ่งฉ่างมุทะลุแบบ SCARING THE HOES แต่การอาศัย feeling และการจินตนาการไปตามภาพปกอัลบั้มที่ล้อ safety instruction บนเครื่องบิน น่าจะเพียงพอต่อการซึมซับอัลบั้มนี้โดยไม่จำเป็นต้องแตะไปถึงแก่นอะไรมากมาย (ถ้าหากใครรู้แก่นอัลบั้มนี้ก็แชร์มาได้)
-สิ่งที่ผมชอบในอัลบั้มนี้คงเป็นความสดใหม่ทางไอเดีย เพราะนี่คืออัลบั้มแรปเพื่อชีวิตการเดินทางของนักดนตรีและศิลปินที่พรรณนาอะไรได้ก็เขียนลงจดลงระหว่างเดินสายออกทัวร์แม่งเลย เป็นการหยิบประเด็นปลายจมูกที่หลายแรปเปอร์ต่างมองข้ามเพราะมัวแต่ flex หรือน้อยใจสาวน้อยใจเพื่อนปลอมเสียจนมองข้ามความเหนื่อยหน่ายระหว่างการเดินทาง และไม่ค่อยเห็น deep conversation แบบนี้มากเท่าไหร่นัก
-ทั้งอัลบั้มมีการคุมตีมแห่งบรรยากาศการเดินทางได้อย่างดี ผมจึงบอกไงว่าถ้าอาศัยการจินตนาการไปตามปกอัลบั้ม คุณจะลิ้งค์กับเรื่องราวการเดินทางโดยอัตโนมัติ อีกทั้งภาคดนตรีไม่ได้ซัดบีทหนักหน่วง experiment จัดจ้านขนาดนั้น ยังมีจุดที่รื่นรมย์มากพอสมควร ความโฉ่งฉ่างอย่างมากสุดเลยก็คงเป็นการโผล่มาของ Danny Brown ในเพลง Year Zero ที่เป็นตัวขโมยซีนสร้างความปั่นป่วนดุจร่างเดิมได้กลับมาแล้ว เป็นคู่หูดูโอ้แรปเปอร์และโปรดิวซ์เซอร์ที่เต็มเปี่ยมความคิดสร้างสรรค์ไม่แพ้ใครเลยครับ
5.SOS - SZA
-นี่คือตัวอย่างอัลบั้มจำนวน 20 กว่าแทร็คที่น่าจะสร้างมาตรฐานใหม่ให้วงการอาร์แอนด์บีที่ตัดความยืดยาดด้วยความยาวเพลงที่รวบรัดตัดความ หลีกเลี่ยงความซ้ำซากด้วยการ switch beat ในช่วงท้ายเพลงให้ได้อีกมิตินึง อันเป็นส่วนช่วยให้เกิดความสนุกอย่างไหลลื่น การถ่ายทอดที่น่าฟังของตัว SZA ยังคงต้องมนต์ในการ connect กับผู้ฟังเพื่อเกิดความรู้สึกร่วมโดยอัตโนมัติ ราวกับว่าเธอได้สะกิดแผลใจที่เราเคยเจอมาโดยไม่รู้ตัว และที่สำคัญความเป็น hitmaker ที่เต็มเปี่ยมพอจะตอกย้ำ breakout success ได้อีกครา
4.Javelin - Sufjan Stevens
-นี่คือการกลับมาที่แกตั้งใจเยียวยาตัวเองด้วยการแต่งแต้มสีสัน ตัดแปะเศษเสี้ยวความทรงจำลงบนผืนผ้าได้อย่างละเอียดลออมากๆ แอบจินตนาการไปตามปกอัลบั้มที่มีภาพทรงจำของผู้คนที่ทับซ้อนมากมายเสียจนพวกเขาเหล่านั้นเป็นสีสันแห่งความทรงจำของพี่สตีเฟนส์ไปโดยปริยาย ละเมียดละไมไปกับโหมด singer-songwriter ที่ชวนไหลไปกับคลื่นชีวิตอันขมขื่น ซึ่งนั่นทำให้ภาพตัดแปะเหล่านั้นก็เป็นแค่เศษเสี้ยวที่ตั้งใจจะปะติดปะต่อเผื่อระลึกถึงเพื่อการมูฟออนต่อไปอย่างอ่อนโยนที่สุด
-เปิดหัวตั้งแต่การสูญเสียแฟนหนุ่มผู้เป็นที่รักในเพลง Goodbye Evergreen ถึงแม้ว่าจะเป็นเพลงที่แต่งลำดับหลังสุดชนิดที่เพิ่งเกิดแผลสดเมื่อต้นปี แต่การเลือกที่จะเปิดด้วยการสูญเสียก็ลิ้งค์เข้ากับชุดเพลงที่ว่าด้วยการเสาะหาความหมายชีวิตเช่นกัน
-การโหยหาความรักแบบไม่มีเงื่อนไข Will Anybody Ever Love Me? เป็นความนุ่มนวลที่แอบซ่อนความเคว้งคว้าพอสมควร เหมาะเหม็งพอที่จะเป็น centerpiece ที่สามารถ capture ความรู้สึกส่วนลึกของอัลบั้มนี้ การดีลกับความสัมพันธ์ที่อยู่ในโลกความเป็นจริงมากสุดอย่าง So You Are Tired ที่นับวันยิ่งถึงทางตัน มีจุดที่พร้อมจะเบื่อหน้ากันตลอดเวลา
-Shit Talk แทร็ครองสุดท้ายที่ขยี้ได้หนักมากในแง่ของการยอมรับสภาพ การกอดที่เริงรำก่อนที่จะสลาย คอรัสที่ประสานเสียงกันอย่าง festive แต่ outro กลับหนักอึ้งเอาเรื่อง ภาษาเพลงของสตีเวนส์แทบจะไม่มีการประดิษฐ์ buzz word ยากๆ หรือการเปรียบเปรยที่ซับซ้อนจนต้องตีความหลายชั้น แต่ทำไมถึงจี้จุดได้จึ้งหนักขนาดนี้ อาจจะเป็นเพราะการทะนุถนอมท่วงทำนองที่มากพอเสียจนความเจ็บปวดเหล่านั้นเป็นเรื่องที่มองข้ามอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
3.Did you know that there’s a tunnel under Ocean Blvd - Lana Del Rey
-น่าจะเป็นอย่างที่ Billie Eilish เคยพูดไว้กับลาน่าใน interview ว่า “คุณแลดูสบายอกสบายใจขึ้นกว่าแต่ก่อน และแวดล้อมรอบด้วยคนดีๆเจ๋งๆมากมาย” ซึ่งมันส่งผลต่อ process ของการไม่ใส่ความกดดันหรือเค้นความพยายามในการยึดติดอะไรมากมาย ผลลัพธ์ที่ได้กลับเป็นเรื่องที่น่าทึ่งเหมือนกันในการตอกย้ำความเป็นนักร้องสาว Americana เจ้าบทเจ้ากลอนที่มีคลังคำและ pop culture ในยุคเรโทรที่เธอล่วงรู้อยู่ในหัวอีกมากมายจนสามารถพ่นในสิ่งที่ใครๆก็คาดไม่ถึงได้ ฟีลความพิศวงในความไม่รู้หรือตามไม่ทันคงบังเกิด ณ จุดนี้ก็เป็นได้
2.SCARING THE HOES - JPEGMAFIA & Danny Brown
-ผลงานซ่องแตกแห่งปีจากแรปเปอร์ผู้มีอุดมการณ์พร้อมแหกกระแสมากสุดเท่าที่จะแหกได้ พวกเขาไม่ใช่ Drake พวกเขาไม่เป็นเพื่อชีวิตแบบ J .Cole พวกเขาไม่ใช่ซักอย่างที่สาวๆหลงไหล แต่พวกเขาคือพวกบ้าพลังที่ทำเพลงห่าไรฟังไม่รู้เรื่องให้ได้ตื่นเต้นเสมอ
1.Desire, I Want to Turn Into You - Caroline Polachek
-หากใครชอบแนวป็อปโฉบเฉี่ยว นี่คือแนวทางคุณเลยครับ ด้วยท่วงท่าอันชดช้อย empowerment ก็เข้าที เซ็กซี่ที่ไม่ได้มาพร่ำเพรื่อ พร้อมตกคนฟังด้วยน้ำเสียงแหลมอันเป็นเอกลักษณ์แบบจับตัวได้ยากจริงๆ เหมือนสวรรค์ประธานพรมาให้ โดยไม่ต้องพึ่ง FX board ใดๆเลยด้วยซ้ำ
-เป็นผลงานป็อปทางเลือกที่โคตรสนุกมากมาย ไม่ได้เป็นป็อปสมัยนิยมด้วยนะ ป็อปที่เธอเสิร์ฟมา unique แปลกใหม่หลากหลายเหลือเกิน มีทั้ง UK Garage, R&B , Latin, Electronica, New Age ไปจนถึง Trip-Hop ที่เชือดเฉือนกรีดกรายเอาเรื่อง โดยไม่ต้องเค้นพลังงานให้เปลืองเปล่าแต่อย่างใด
-หลายคนคงรู้จักเธอจากการร่วมไปแจมกับ Charli XCX ผู้ซึ่งเป็นเจ้าแม่ PC Music เหมือนกัน ถ้าในแง่ของชื่อเสียง Caroline ก็คง underrated จริงจัง การส่งต่อพลังงานสัมผัสได้ถึงความอาร์ตที่เฉียบคมกว่า Pang และแลดูเฟรช ราวกับเธอปลดล็อคตัวเองจากการเลิกรากับอดีตสามีได้แล้ว มีอยู่เพลงนึงที่เชื้อเชิญ Dido ที่ไม่ค่อยได้เห็นมานานแล้ว มาเป็นแขกรับเชิญเนี่ย กลายเป็นความเก๋าในความโมเดิร์นโดยอัตโนมัติ นี่คืออัลบั้มที่ปลุกไฟปราถนาได้อย่างมีชีวิตชีวา และเป็นอัลบั้มป็อปขึ้นหิ้งลำดับต้นๆของผมเลย
โฆษณา