1 ม.ค. 2024 เวลา 15:22 • สุขภาพ

"ไม่ว่าจะสูง แค่ไหนก็ไปถึง

(จะหนาวเหน็บหนาวเพียงไหนจะฝ่าไป)
ไม่มีคำว่าสูง วัดได้หากใจถึง
(ร้อนเป็นฟืนเป็นไฟจะฝ่าไป)"...
ท่อนหนึ่งของเพลงวัดใจของวง ซิลลี่ ฟูลส์ ที่ใช้ปล่อยตัวนักวิ่งที่ลงแข่งขันเพียงระยะเดียวคือ มาราธอน 42K เท่านั้นในงาน บางแสน 42 เป็นเพลงที่ทีมงานช่างเลือกเพลงปล่อยตัวถูกใจจริงๆ เพราะงานนี้มันวัดใจผมจริงๆเหมือนกันเพราะถ้าวิ่งไม่จบงานนี้ก็คงเจ็บเหมือนงานครั้งก่อน ที่สำคัญไปกว่านั้น สิ่งที่ผมมีความเชื่อว่าจะทำได้ มันคงเป็นไปได้แค่ความฝันเท่านั้นเอง เอาตามความจริงแค่ออกมาวิ่ง และวิ่งได้เกินห้าโลครั้งแรกเมื่อสามปีที่แล้ว ผมก็คิดว่ามันดีกว่าที่คิดไปมากแล้ว
ภาพตัดกลับมาที่บางแสน ผมมองไปเส้นทางวิ่งข้างหน้าในช่วงเวลาตีสามนับจากจุดสตาร์ทจุดนี้ จะเป็นเส้นทางที่ผมจะวิ่งให้ได้ไกลมากที่สุดในชีวิต โดยมีความเชื่อว่าฝันของผมต้องเป็นจริง
ผมเริ่มสตาร์ทด้วยการวิ่งแบบไม่เร่งความเร็วมากเกินไปนัก และเป็นการวิ่งที่ปล่อยให้ร่างกาย โดยเฉพาะขาทั้งสองข้าง และจิตใจประสานเข้ากันอย่างลงตัวแบบละมุนละไมเพราะเกรงว่าจะมีส่วนใดส่วนหนึ่งมีอาการรวนเรเหมือนคราวที่บุรีรัมย์อีก จึงค่อยๆวิ่งไปเรื่อยๆแบบคำนวณเวลาไม่ให้โดนตัดตัว (Cut off ) เท่านั้นก็เพียงพอแล้ว
จนเมื่อวิ่งผ่านกิโลที่ 30 ได้เท่านั้นแหละครับ ขาทั้งสองข้างก็เริ่มขบถแสดงความเจ็บปวดอย่างมากออกมาจนวิ่งไม่ออกเพราะมันแข็งทื่อ(ตะคริวกิน) ทั้งสองข้างแบบสั่งการไม่ได้ แถมสั่งให้ไม่เจ็บไม่ปวดก็ไม่ได้เหมือนกัน สภาพในตอนนั้นต้องบรรยายต่อไปเลยว่าต้องฝืนวิ่งไปเดินไปตลอดทาง และหยุดให้ทีมงานแพทย์ พยาบาลสนามช่วยนวด ทาน้ำมัน พ่นสเปรย์เกือบทุกจุดที่มี
แต่จิตใจตอนนั้นมันยังพยายามฝืนอดทนต่อความเจ็บปวดแบบเหงื่อที่ไหลจนท่วมตัวมันกลายเป็นน้ำทิพย์ชะโลมใจให้ยิ้มได้ทั้งๆที่ความเจ็บปวดก็ยังคงอยู่ จนสุดท้ายความฝันก็กลายเป็นจริงเมื่อค่อยๆวิ่งเหยาะผ่านเส้นชัยที่เวลา 5 ชั่วโมง 50 นาที ส่วนเวลา cut off อยู่ที่ 7 ชั่วโมง ผมวิ่งจบไม่โดนตัดตัวอย่างแน่นอน ผมก้าวผ่านเส้นชัยได้ก็พุ่งเข้าโผกอดพี่รัฐ Race Director ของงาน บางแสน42 นี้แบบดีใจเหมือนได้เหรียญทองโอลิมปิคเลย
เล่ามาถึงตอนนี้คงบอกทุกๆท่านที่ติดตามมาโดยตลอดว่า เรื่องราวที่ผ่านมาในชีวิตของคนเรานั้นมันมักมีเหตุการณ์ที่ทั้งสุขทั้งทุกข์สลับกันเข้ามาหาเราตลอด อย่างชีวิตของผมตอนเบญจเพสก็ป่วยเป็นโรคประหลาดที่สมัยโน้นไม่รู้ว่าเป็นโรคอะไรจนเวลาล่วงเลยผ่านมาถึงปัจจุบันกลับกลายเป็นโรคท็อบฮิตที่ป่วยเป็นกันหลายคน ส่วนที่จะบอกว่าผมป่วยเป็นโรคอารมณ์สองขั้ว หรือหลายขั้วนั้นก็ไม่รู้ว่าจริงหรือเปล่า สุดท้ายคงต้องยกคำสอนสุดท้ายขององค์พระศาสดาที่ว่า "จงอย่าประมาทในการดำเนินชีวิต" เท่านั้นเอง
โฆษณา