3 ม.ค. 2024 เวลา 13:12

“ยึดเอาสัตว์เดียรัจฉานเป็นที่พึ่ง : ปฏิบัติธรรมแบบสุนัข แบบวัว..” #มิจฉาทิฐิ

สมัยที่ศาสนาพุทธเริ่มแพร่หลายในประเทศอินเดีย.. ในขณะนั้น มีศาสนาพราหมณ์เกิดก่อนแล้ว..
ยังมีอีกหลายนิกาย ลัทธิ ความเชื่อ ที่มุ่งสู่ทางหลุดพ้นของผู้ที่ออกบวช หรือปฏิบัติตามความเชื่อของตนว่า เป็นวิธีละกิเลสได้..
สมัยนั้น มีนักบวชหนุ่ม 2 คน ที่ไม่ได้นับถือศาสนาพุทธ.. เป็นเพื่อนกัน..
ปุณณะ เชื่อว่า.. การประพฤติตน กิน อยู่แบบวัว.. จะทำให้ตนบรรลุธรรมได้ ตายไปสู่สุขคติภูมิ จึงตั้งใจจะปฏิบัติตลอดชีวิต..
เสนิยะ เชื่อว่า.. การครองตนเป็นนักบวช อยู่อย่างเรียบง่าย ใช้ชีวิตแบบสุนัข กินอาหารตามพื้น.. ตั้งใจบำเพ็ญเพียรเพื่อกำจัดกิเลสตนเองมาตลอด จะทำให้ไปสวรรค์ มีชีวิตนิรันดร์ได้..
วันหนึ่ง ได้ข่าวว่า พระพุทธเจ้า ศาสดาของศาสนาพุทธ ที่อ้างว่า บรรลุธรรมหลุดพ้นแล้วเข้ามาในเมือง.. ทั้ง 2 คนจึง เข้าไปกราบพระพุทธเจ้าเพื่อสอบถาม..
ปุณณะทำท่าเหมือนวัว.. ส่วนเสนิยะะขุ้ยดินแบบสุนัข ก่อนนั่งลง..
ปุณณะถามว่า..
“พระพุทธเจ้า เพื่อนผมชื่อเสนิยะ.. เขาบำเพ็ญตนเยี่ยงสุนัข ทุกข์แค่ไหนก็ทน เพื่อหาทางพ้นทุกข์..
ขอถามว่า.. เขาตั้งใจปฏิบัติธรรมแบบนี้ จนวันตาย.. เมื่อเขาตายลง จะไปเกิดในภพภูมิไหนขอรับ..”
พระพุทธเจ้าตอบว่า..
“คำถามแบบนี้ อย่าถามเลยนะ.. เราไม่อยากตอบ..”
ปุณณะไม่ยอม.. ถามคำถามเดิมอีกเป็นครั้งที่ 2.. ท่านก็ตอบแบบเดิมอีก.. จนปุณณะถามเป็นครั้งที่ 3 .. ท่านจึงตอบว่า..
“เสนิยะ ตายแล้วจะไปเกิดเป็นสุนัข.. หลังจากนั้น จะไปเกิดในนรก..”
เสนิยะได้ยิน ก็ร้องห่มร้องไห้ ด้วยความผิดหวัง.. จนคลายโศกแล้ว ก็ถามพระพุทธเจ้าบ้างว่า..
“กระผมไม่ได้อยากจะถามเรื่องการปฏิบัติของผม.. แต่เมื่อท่านตอบมาแล้ว กระผมก็อยากจะถามแทนเพื่อนว่า ปุณณะเพื่อนผม เขาตั้งใจปฏิบัติตน เป็นอยู่แบบวัว เมื่อตายแล้ว เขาจะไปเกิดที่ไหน..”
พระพุทธเจ้าเลี่ยงคำตอบอีก.. แต่เสนิยะก็ยืนยันจะเอาคำตอบให้ได้ ถามถึง 3 รอบ.. พระพุทธเจ้าจึงตอบว่า..
“เอาล่ะ.. พวกท่านอยากรู้เองนะ.. เราก็จะตอบว่า.. ปุณณะตายแล้ว จะไปเกิดเป็นวัว.. วัวตายแล้ว จะไปเกิดในนรกภูมิ..”
ปุณณะได้ยิน ก็ร้องไห้โห.. แหมม.. อุตส่าห์ตั้งใจประพฤติพรตมานาน คิดจะทำตลอดชีวิต.
ทำไมมันไม่เป็นไปตามที่คิด ตามที่เชื่อหนอ..
พอหายโศก ก็ถามเหตุผลกับพระพุทธเจ้าว่า.. อะไร ทำให้ตายแล้ว ไปเกิดเป็นสุนัข เป็นวัว.. ทำไมไม่ไปสวรรค์..”
ท่านอธิบายว่า..
“บุคคลที่มีมิจฉาทิฐิ ปฏิบัติธรรม ถือพรต ครองตน ดำเนินชีวิตเพราะความเข้าใจผิดนั้น.. ตายไปแล้ว จะไปเกิดในนรก.. ไม่ก็ในเดียรัจฉานภูมิ..”
“การที่เราฝักใฝ่ ในเดียรัจฉาน เข้าใจผิดว่า.. ทำตามนั้น ประพฤติตนแบบนั้น จะเป็นการละะกิเลส จะเป็นบุญเป็นกุศล..
ทำให้จิตใจยึดมั่นในเพศสัตว์เดียรัจฉานที่ยึดครองใจอยู่.. มีความทุกข์ ตายไป ก็ไปเกิดในกลุ่มของเดียรัจฉานนั้นๆ..”
“กรรม มี 4 จำพวก.. ได้แก่..
1) กรรมดำ
2) กรรมขาว
3) กรรมดำปนกรรมขาว
4) กรรมไม่ดำไม่ขาว..”
“ก่อกรรมดำ กรรมชั่วด้วยกาย วาจา ใจ อย่างเดียว.. ความทุกข์เกิดขึ้น.. นำเกิดไนนรกภูมิ..
ก่อกรรมขาว กรรมดีด้วยกาย วาจา ใจ อย่างเดียว.. ความสุขเกิดขึ้น.. นำเกิดในสุขคติ เช่น เป็นพรหมประเภทที่มีแต่ความสุข.. (สุภกิณหะพรหม)
ก่อกรรมทั้งดำและขาว.. ทำทั้งดีและชั่วปนกัน.. มีทั้งความสุข มีทั้งความทุกข์.. ก็ไปเกิดเป็นมนุษย์ เป็นสัตว์เดียรัจฉาน และเปรตบางประเภท..
ก่อกรรมที่มีเจตนาละกรรมดำ.. ละกรรมขาว.. ละกรรมดำปนขาว.. นั่นคือ กรรมไม่ดำไม่ขาว.. ทำให้พ้นวิบากกรรมเหล่าได้.. นั่นคือ ทางนิพพาน..
ประกอบเหตุอย่างใด.. ก็ได้ผลอย่างนั้น..”
ปุณณะกับเสนิยะ ได้ฟังก็เข้าใจ.. ขอรับเอาพระรัตนตรัยมาเป็นที่พึ่งว่า..
“พุทธัง สรณัง คัจฉามิ.. ธัมมัง สรณัง คัจฉามิ.. สังฆัง สรณัง คัจฉามิ..”
กลายเป็นพุทธมามกะ เปลี่ยนมานับถือศาสนาพุทธ..
และขอบวชเป็นพระภิกษุ แต่พระพุทธเจ้าบอกว่า.. นักบวช หรือผู้นับถือศาสนาอื่น จะต้องเข้าปริวาสกรรม ถูกจำกัดสิทธิ จำกัดพื้นที่เป็นเวลา 3 เดือน.. จนพระสงฆ์พอใจแล้ว จึงบวชให้ได้นะ..
ปุณณะกับเสนิยะ บอกว่า..
“กระผมขอเข้าปริวาส 4 ปีเลยขอรับ.. หากพระสงฆ์พอใจแล้วว่าละมิจฉาทิฐิ ประพฤติเหมาะจะเป็นพระภิกษุแล้ว ก็จะขอบวช..”
ทั้งสองคน.. เข้าปริวาสกรรมอยู่ 4 ปี.. ก็ได้รับอนุญาตให้บวชเป็นพระภิกษุได้..
ต่อมา พระปุณณะและพระเสริยะ ทั้ง 2 รูป ก็ปฏิบัติธรรมจนบรรลุ สำเร็จเป็นพระอรหันต์ทั้ง 2 องค์..
ที่เล่าให้ฟังนี้ มาจากพระสูตรหนึ่งในพระไตรปิฏก..
 
ชื่อกุกกุโรวาทสูตร (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๑๓ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๕ มัชฌิมนิกาย มัชฌิมปัณณาสก์)..
จะได้เห็นความเชื่อนอกศาสนา.. เห็นมิจฉาทิฐิและผล..
เห็นวิธีการตอบคำถาม.. เห็นการอธิบายธรรมของพระพุทธเจ้า..
การรับว่าจะนับถือพุทธ.. รวมทั้ง วินัยสำหรับคนนอกศาสนาที่จะเข้ามาบวชพระ..
น่าจะเป็นประโยชน์ เป็นข้อคิดให้ผู้สนใจอยู่บ้าง.. เอวัง..
โฆษณา