“ฉิบหายแน่”

บทสรุปสุดท้าย (19/3)
ในช่วงแรก ของการทำสงครามโลก ครั้งที่ 2 …
คือ ก่อนที่เยอรมัน จะเอาชนะฝรั่งเศสไปได้แบบเคี้ยวหมู
ภายใน 6 สัปดาห์ ในกลางปี คศ 1940 นั้น
ในช่วงนั้น …บ้านปากเหม็นตกลงสนับสนุนเกาะนิ้วก้อย
ในการทำสงครามกับเยอรมัน ทางด้านอาวุธยุทโธปกรณ์
ในรูปแบบ cash & carry…
คือ ผู้ซื้อ จ่ายเงินก่อน แล้วจึงขนเอาสินค้าไป
ไม่ใช่เป็นการให้ยืมทุน เหมือนสมัยสงครามโลกครั้งที่ 1
ที่ไอ้นิ้วก้อยเอาทุนเขาไปรบชนะ ได้ขนมเค้กออตโตมาน
มาก้อนใหญ่เบ้อเริ่ม แล้วไอ้นิ้วก้อยก็สวาปามขนมเค้กไปเอง
จนเกือบหมดก้อน…เหลือแบ่งให้พวกร่วมรบ เล็กน้อยพอหอมปากหอมคอ
แต่…ไม่มีแบ่งให้นายทุนเงินกู้ แม้แต่คำเดียว…
1
แบบนั้น นายทุนอย่างบ้านปากเหม็น ก็คงเข็ดไม่มีวันลืม
บอกไม่เอาแล้วเว้ย เราไม่ชอบโง่ซ้ำซาก
การใช้ระบบ cash & carry ระหว่างบ้านปากเหม็นกับเกาะนิ้วก้อย
น่าสนใจไม่น้อย …เรื่องมันคือเศรษฐกิจของไอ้เกาะนิ้วก้อยในช่วงนั้น
ก็ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ แต่มันก็ยังอยากจะทำสงครามกับเยอรมัน “อีก”
(ความคิดและสันดานแบบนี้ ไอ้นิ้วก้อย …มันคงฝังใน
แก้ไม่หาย รักษาไม่ขาดจริงๆ)
เกาะนิ้วก้อยก็เลยไปตกลงกับบ้านปากเหม็น …
ขอซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์ต่างๆ จากบ้านปากเหม็น
บ้านปากเหม็นบอกว่า อย่าว่าเราใจดำเลยนะเพื่อน
นโยบายของประเทศเราน่ะ ยังเป็นพวก isolationism
รักสันโดษ ไม่ยุ่งกับใคร …และ ยังดันมีกฏหมาย The Neutrality Act
ซึ่งมีผลเป็นการห้ามสนับสนุนการทำสงครามอีกด้วย
ซึ่งกฏหมายนี้ มันมีมาตั้งแต่ปี คศ 1935 โน่นแล้ว
และ ก็ต่ออายุมาเรื่อย จนถึง ปี คศ 1939 อีกด้วย
ใครอยากทำสงครามก็ทำไป …
แต่เราให้เงินกู้ไปทำสงครามไม่ได้หรอก มันผิดกฏหมายของเรา…
ที่เราทำได้ คือแค่ “ขายของ” …เป็นการค้าขายกัน
คือ เพื่อนอยากได้ของอะไรก็บอกมา เราก็จะจัดให้
เพื่อนก็จ่ายตังค์มา …แล้วเพื่อนก็ขนไป
แบบ cash & carry น่ะ เข้าใจไหม
1
ไม่รู้ใครในบ้านปากเหม็น มันคิดกฏหมายนี้ ไว้ “ล่วงหน้า”
ก็ต้องนับว่า ไอ้ 2 ชั่ว นี่ …มันแสนแสบพอกันจริงๆ
ในการ cash & carry ตอนแรกๆ ในช่วง ปี คศ 1939
ถึง คศ 1941 ช่วงต้นๆ… เกาะนิ้วก้อยเอาเงินดอลในกองทุนสำรอง
ของตัวไปจ่ายให้บ้านปากเหม็น แล้วก็รับสินค้ามา
ต่อมามีข่าวลือ หรือ ข่าวรั่ว …
บอกว่ากองทุนสำรองของเกาะนิ้วก้อย
แทบจะเกลี้ยงเกลาแล้ว…เกาะนิ้วก้อย รีบวนอ้อมสนามหลวง
กับบ้านปากเหม็น ทำทีว่าจะขอติดหนี้หน่อยนะ
เพราะทุนสำรองของเราใกล้จะแห้งขอดแล้ว
1
แต่บ้านปากเหม็นกลับทำเสียงเข้ม…
ถ้าอย่างนั้น…เกาะนิ้วก้อยก็ขายทองแท่งของตัวออกไปสิ
แล้วก็เอาเงินที่ได้จากการขายทองแท่ง มาจ่ายเราก็แล้วกัน
ดูเผินๆ ก็เหมือนตรงไปตรงมา ก็ค้าขายกันนี่
แต่จริงๆแล้ว ดูเหมือนบ้านปากเหม็น มันมีแผนโหดคอยอยู่
แล้วก็มีข่าวรั่วมาอีก ว่า ทองแท่ง ของธนาคารกลาง
ของเกาะนิ้วก้อย ก็ใกล้จะเหลือเท่าก้อนกรวดไปแล้ว
ก็เลยมีข่าวลือ ว่า เกาะนิ้วก้อยก็เลย “ขอยืม” เอาทองแท่ง
ของพวกนายทุนรายใหญ่ ที่ฝากเก็บไว้ในธนาคารกลางของตัว
เอาไปขายก่อน …โดยเกาะนิ้วก้อยออกพันธบัตรเงินกู้ของรัฐบาล
ให้นายทุนรายใหญ่เป็นหลักฐานไว้
และนั่น ก็เป็นที่มาของรายการคุย ว่าเรา “ใหญ่กว่า”
เราคือ “ตัวจริง” …ที่ช่วยให้เกาะนิ้วก้อยไม่ล่ม…
วันดีคืนดี ครึ้มขึ้นมา ก็ลุกขึ้นทวงบุญคุณ
เอานิ้วจิ้มพุงกษัตริย์โชว์ชาวบ้าน …
ชาวบ้านก็พากันเชื่อว่า นายทุนใหญ่นั้น ยิ่งใหญ่กว่ากษัตริย์
ก็คิดกันเองแล้วกันครับ จริงๆ แล้วใครใหญ่กว่าใคร
การรักษาแผ่นดิน…มันแค่เพียงใช้ทองแท่ง …อย่างนั้นหรือ
1
ขณะเดียวกัน บ้านปากเหม็นแอบไปสืบ ได้ความมาว่ายังมีทองแท่ง
ของเกาะนิ้วก้อย ที่กำลังเตรียมส่งมาจาก Cape Town …
คิดคำนวณแล้วเป็นจำนวน ประมาณ 42 ล้านดอลเชียว…
ฝ่ายการเงินของบ้านปากเหม็นที่ ดูแลเรื่อง cash & carry
จึงแจ้งท่าน ปธน FDR …ให้ช่วยบอกให้เกาะนิ้วก้อย …
จ่ายค่าสินค้าที่ค้างนั้น จากทองที่ Cape Town มาเสียดีๆ …
กว่าทองจะมาถึงบ้านปากเหม็น …เรื่องราวก็อื้อฉาว
ลือกันไปลั่นทั้ง 2 ฝั่งแอตแลนติก …
และเกาะนิ้วก้อย ก็คงรู้สึกเหมือนใคร (แกล้ง)ทำแกงหก
ใส่หัวมันกลางตลาด …เพราะมีคนช่วยย้ำไม่หยุด
บอกว่าเพราะบ้านปากเหม็นต้องการ “แน่ใจ”
ว่าเกาะนิ้วก้อย “ไม่ได้แอบเม้มซ่อนทองไว้ตรงไหน…อีก”
เรื่องนี้แสดงถึงความเค็มจัด เหี้ย มจริง… ของบ้านปากเหม็น
ที่น่าศึกษามาก…เพราะมันสามารถทำกับผู้ที่เสมือนเป็นมิตรสนิท
ที่สุดของมัน แต่มันก็ทำได้…เพราะว่าตอนนั้น บ้านปากเหม็น
เตรียมพร้อมที่จะออกกฏหมายฉบับหนึ่ง ซึ่งทำให้เกาะนิ้วก้อย
อาจไม่ต้องพึ่งวิธีการ cash & carry …
แต่มันต้องแน่ใจในสถานะการเงินอัน “แท้จริง” ของเกาะนิ้วก้อยก่อน
แต่ในที่สุดแล้ว กฏหมายฉบับนั้น มันจะเป็นคุณ
หรือ เป็นโทษ กับเกาะนิ้วก้อย ก็ช่วยอ่านนิทานต่อไปนะครับ
แต่ที่น่าสังเกตไม่น้อย …คือว่า ตอนนั้น …บ้านปากเหม็น
ก็มีกฏหมายกำหนดให้บ้านปากเหม็นต้องเป็นกลาง ใช้บังคับอยู่ …
แปลว่า บ้านปากเหม็นไม่(ควร) สนับสนุนการทำสงคราม
แต่นายทุนใหญ่ของบ้านปากเหม็น เหมือนมีตาทิพย์
ล่วงรู้เหตุการณ์ล่วงหน้า…เพราะได้ทุ่มเททำการผลิต
อาวุธยุทโธปกรณ์อย่างเต็มที่ “ล่วงหน้า” มาเป็นเวลาหลายปี…
ก่อนที่สงครามโลก ครั้งที่ 2 จะเกิดขึ้น
เกาะนิ้วก้อย จึงไม่เหนื่อยในเรื่องการหาอาวุธ …
แต่เหนื่อยในเรื่องการหาเงิน มาซื้ออาวุธ จากบ้านปากเหม็น
และบ้านปากเหม็น ยังมีอาวุธยุทโธปกรณ์ให้พรรคพวกขอยืม
เอาไปใช้อีกมากหลายสิบประเทศในภายหลังอีกด้วย
(ซึ่งผมจะเล่าขยายต่อไป)
แต่พอเจอ เรื่องฮิตเล่อร์ ขม้ำไอ้หรั่งเศสแพล๊บเดียว
ถึงกับแผลกระจุยจนขนร่วงกราว…
เรื่อง cash & carryก็เลยฝ่อไปโดยปริยาย
เพราะ ฝ่ายพันธมิตร ตั้งแต่หัวหน้าใหญ่อย่างเกาะนิ้วก้อย
ต่างพากันช๊อกแดก เดินไม่ออกไปไม่เป็นกันเป็นแถว
คราวนี้ ก็ถึงจังหวะที่พระเอกหน้าใหม่ จะได้เข้าฉากเสียที
และมาแบบ หน้าหล่อดอกใหม่เอี่ยมอ่อง ตามแผนที่แอบวางกันไว้
โปรดทราบ โปรดทราบ …บ้านปากเหม็น
ไม่ใช่ผู้รักสันโดษ (isolationism) แล้วนะจ๊ะ
แต่บ้านปากเหม็น ได้เปลี่ยนเป็น ผู้แทรกแซง หรือ เสือกทุกเรื่อง
(interventionism) ตามการบ้านสุดยอดเจ๋งเป้ง
ของพวก CFR เรียบร้อยแล้ว
โดยรัฐบาลของท่าน ปธน FDR …ได้มีการนำร่างกฏหมาย
ที่เรียกว่า Lend Lease หรือ ให้ยืมให้เช่า …
นำเสนอ เข้าสู่สภาสูงของบ้านปากเหม็น
ในวันที่ 11 มีนาคม คศ 1941
จริงๆ แล้ว ท่าน ปธน FDR ไม่ใช่เป็นพวกรักสันโดษ
มาแต่ไหนแต่ไร.…แถมเป็นพวกสนับสนุนการแทรกแซง (หรือเสือกทุกเรื่อง)
มานานแล้วด้วย …โดยเฉพาะเมื่อ กลุ่ม CFR กับ ฝ่ายการเมือง
ได้แอบประชุมหารือมาตั้งแต่ ปี คศ 1939 เกี่ยวนโยบายและแผน
ของบ้านปากเหม็นที่จะใช้ …”ภายหลัง” จากที่สงครามโลกจบสิ้นลง
และ เมื่อข่าวเยอรมันเคี้ยวไอ้หรั่งเศสได้ ภายใน 6 สัปดาห์
ดังกระฉ่อนโลก …กลุ่ม CFR กับ ฝ่ายการเมือง ก็ได้มีปรับแผน
ของตัว อีกหลายรอบอย่างเงียบเชียบ
จนในที่สุด กลุ่ม CFR ที่กำกับโดยนายทุนใหญ่
ของบ้านปากเหม็น…ก็ได้มีการเปลี่ยนแปลงแผนใหม่…
สรุป กลายเป็นแผนใหญ่ในการครองโลก…
ของบ้านปากเหม็นได้ลงตัว เมื่อปลายปี คศ 1940 นั่น…
โดยร่างกฏหมาย Lend Lease …ที่กำลังเสนอเข้าสู่สภาสูงนั้น
จะเป็น “เครื่องมือสำคัญที่สุด” ที่จะทำให้ความปรารถนา
ในการครองโลกแต่ผู้เดียว ของบ้านปากเหม็น
ภายใต้การกำกับ หรือ ในกำมือของนายทุนใหญ่
ของบ้านปากเหม็น…เป็นความจริง
ทั้งนี้ ท่าน ปธน FDR …ได้พยายามเกลี้ยกล่อม …
บรรดานักการเมืองและชาวบ้านของบ้านปากเหม็น
ว่าสิ่งที่เรากำลังจะทำ ภายใต้กฏหมาย Lend Lease (ให้ยืมให้เช่า) นั้น
ก็คือ เรา “ให้ขอยืมของ” ของเรา …แก่บรรดาประเทศ ที่กำลังประสบภัย…
จากการทำสงครามโดยตรง หรือแก่เพื่อนมนุษย์ที่ต้องเผชิญกับภัยสงคราม
มันเป็นเรื่องของมนุษยธรรม …และ มันเป็น”หน้าที่ …
ของประเทศที่เป็นประชาธิปไตย สมควรจะต้องกระทำ
เพื่อช่วยกันรักษาความเป็นประชาธิปไตยไว้… ฯลฯ
โฮ้ยยย…ช่าง ซาบซึ้ง พระเอ้ก พระเอก…
สากกะบวย จริงๆ
และ ร่าง กม Lend Lease ก็ผ่านสภาสูง ในวันที่ 11 มีนาคม คศ 1941
โดยสภาสูงยังให้อำนาจ แก่ ท่านปธน FDR ในการพิจารณา
ว่าจะให้ความช่วยเหลือตามกฏหมายดังกล่าว แก่ประเทศใด
ในรูปแบบใด และในจำนวนเท่าใดอีกด้วย …
แปลว่า ทางโล่ง ผ่าน ตลอด
ขณะเดียวกัน ฝ่ายที่ไม่เห็นด้วยในบ้านปากเหม็น ก็บอกว่า
มันเป็นเรื่องตอแหล เรื่องจอมปลอม …
มันก็เหมือนกับบ้านปากเหม็นเข้าไปร่วมทำสงคราม
กับพวกยุโรปนั่นแหล่ะ …
ซึ่งจริง ๆมันก็เริ่มมาแล้วนี่นะ
ตั้งแต่ตอนใช้ระบบ cash & carry โน่น
และก็มาแปลงเป็น Lend Lease!
แต่ผู้ที่ดีใจไม่น้อยกว่า ปธน FDR (และพวก CFR)
เมื่อร่าง กม Lend Lease ผ่านสภาสูงของบ้านปากเหม็น
คือ ท่านหลอด Churchill …นายกรัฐมนตรี ของเกาะนิ้วก้อย…
ที่บอกว่า กฏหมายนี้ มันก็คือการประกาศ…
ว่าบ้านปากเหม็นนั้น ได้ “สละ” ความเป็นกลางแล้ว…
และชาวเกาะนิ้วก้อย ต่างก็พากันยินดีไชโยโห่ร้องกันอื้ออึง
ที่บ้านปากเหม็น ได้มาร่วมลงเรือลำเดียวกัน กับพวกเขาแล้ว
และประเทศ ที่ได้รับอานิสงค์ของ Lend Lease รายแรก
ก็ คือ เกาะนิ้วก้อย (แน่นอนอยู่แล้ว)
และ กรีซ ที่กำลังโซ้ยกับอิตาลี (ฝ่ายอักษะ)
ตามมาด้วย จีน… ที่กำลังสู้แบบหืดขึ้นคอ อยู่กับญี่ปุ่น
และสหภาพโซเวียต …ที่ต้องรับศึกหนักในการรับมือ
กับกองทัพของฮิตเล่อร์
ขณะเดียวกัน เมื่อฝ่ายอักษะ รู้เรื่องบ้านปากเหม็นผ่านกฏหมาย
Lend Lease เรียบร้อยแล้ว …ก็บอกว่า ดีแล้ว …
และกฏหมายนี้แหล่ะ…ที่จะทำให้เกิดสงครามโลกของจริง …
เพราะเท่ากับบ้านปากเหม็น “เปิดหน้า”
ที่จะร่วมทำสงครามแล้ว …เลิก ลับๆล่อๆ แล้ว
และในวันที่ 17 มีนาคม คศ 1941… ฝ่ายอักษะ โดยหัวหน้าใหญ่ทั้ง 3
คือ เยอรมัน อิตาลี และ ญี่ปุ่น…ก็ออกประกาศอย่างเป็นทางการ
ว่า Lend Lease Act ของบ้านปากเหม็น …
คือ การนำไปสู่สงครามโลกอย่างแท้จริง
และ บัดนี้ สงครามโลก ก็ได้เกิดขึ้นแล้ว
และ เรื่อง Pearl Habour …จริงๆ แล้ว อาจไม่ใช่สาเหตุ…
ที่ทำให้บ้านปากเหม็นเข้าสู่สงครามโลก …
มันอาจจะกลับกันด้วยซ้ำ ว่า เรื่อง Pearl Habour
อาจจะมีที่มา…จากการออกกฏหมาย Lend Lease
ของบ้านปากเหม็นก็เป็นได้
และสงครามที่กำลังต่อสู้กันอย่างหนัก ทางด้านยุโรป
ก็ขยายวงกว้างขึ้นไปอีก อย่างรวดเร็ว
และในที่สุด ก็กลายเป็นสงครามโลกเต็มรูปแบบ
และการสู้รบ ก็ ขยายตัวมาถึงเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ …
บริเวณที่มีแหล่งวัตถุดิบ ที่บ้านปากเหม็นต้องการมากที่สุด
ในขณะนั้น …คือ ยางดิบ สังกะสี และ แร่ทังสเตน
ซึ่งเป็นส่วนสำคัญ …สำหรับการใช้ผลิตยางรถ ส่วนประกอบ
และอุปกรณ์อื่นในยามสงคราม… และเครื่องยนตร์ เครื่องใช้อื่นๆ
อีกมากในยามที่สงครามจบสิ้นลง …
การออกกฏหมาย LendLease ทำให้ประเทศฝ่ายพันธมิตร
อย่างน้อย 30 กว่าประเทศ …ได้ใช้บริการ ของ Lend Lease
ทรัพย์สินที่ใช้มากที่สุด คือ ประเภท อาวุธยุทโธปกรณ์
หรือ อาวุธ และ เครื่องมือ เครื่องใช้ในการรบ …ประมาณ 54 %
ประเภท วัสดุ อุปกรณ์ เครื่องมือ เครื่องใช้อื่นๆ ในการใช้ผลิต
อาวุธ เครื่องหนัง ชุดรบ เครื่องแบบ รองเท้า หมวก ถุงมือ รวมทั้งน้ำมัน
การสร้างถนน สร้างรางรถไฟเพื่อขนส่ง (กรณีของ สหภาพโซเวียต)
รวมทั้ง อุปกรณ์ ทางการแพทย์ …ประมาณ 21 %
1
ประเภท อาหาร และ ผลิตภัณท์ด้านการเกษตร สำหรับทหาร
และพวกแนวหน้า …ประมาณ 13 %
ค่าซ่อมแซมสถานที่ส่วนที่จำเป็นในการรบ เช่น ซ่อมเรือ ซ่อมท่าเรือ
ซ่อมเรือขนส่งเฟอรรี่ สร้างฐานริมหาด สำหรับเรือและเครื่องบิน …
ประมาณ 12 %
เงื่อนใข ของการ “ชดใช้ ทรัพย์สิน ผ่าน Lend Lease
คือ ถ้าเป็น อาวุธยุทโธปกรณ์ ที่ใช้ในการสู้รบ …
หากชำรุดแล้ว “ ไม่ต้องใช้คืน” ไม่ว่าในรูปแบบใด
ถ้าอาวุธนั้น ไม่ชำรุด …ถ้าบ้านนั้น ยังต้องการเก็บไว้ ก็จ่ายราคา
ตามค่าสึกหรอทางบัญชี แต่ไม่เกิน 10% ของราคา
ถ้าเป็นประเภทอุปโภคบริโภค เช่น อาหาร ยารักษาโรค …”ไม่ต้องใช้คืน”
สรุป ค่าใช้จ่ายทั้งหมดของบ้านปากเหม็น ตามโครงการ Lend Lease
ตั้งแต่ต้น จนถึง ปีปลายปี คศ 1945… เป็นจำนวน 50.1 พันล้านเหรียญ (billion)
หรือ ประมาณ 773 พันล้านเหรียญ (คิดตามค่าเงินเฟ้อในปี คศ 2022)
1
ประเทศ ที่ได้รับการสนับสนุนตามโครงการ Lend Lease
เป็นจำนวนมากที่สุด :
อันดับ 1: เกาะนิ้วก้อย… จำนวน ประมาณ 31 พันล้านเหรียญ
อันดับ 2: สหภาพโซเวียต จำนวน ประมาณ 10 พันล้านเหรียญ
อันดับ 3: ฝรั่งเศส จำนวน ประมาณ 3 พันล้านเหรียญ
เกี่ยวกับเรื่อง การชดใช้ หรือ ใช้คืน ตามสัญญา Lend Lease นั้น
บ้านปากเหม็น สุดแสนฉลาดล้ำ…ในการตอแหล
ท่านปธน FDR บอกว่า …เราจะเรียกคืนจากอะไรกัน นับจากอะไร
วิธีการอะไร… เกือบทุกประเทศ ได้เข้าสู่สงครามก่อนเรา …
เขามีคนเจ็บคนตายมากกว่า บางบ้านเมืองฉิบหายหมด
เราไม่ได้เข้าร่วมทำสงคราม เพื่อจะทำลายหรือเอาชนะ…
เราคิดเรื่อง Lend Lease ขึ้นมา เพื่อมาช่วยบรรเทาความเดือนร้อน
ของเพื่อนเรา เท่าที่เราจะสามารถทำได้
แต่มันไม่ได้ส่งผลอย่างนั้น …สถานการณ์ยิ่งเลวร้ายลง …
เราจึงต้องเข้ามาร่วมเพื่อให้สงครามจบ
และ สันติภาพจะได้เกิดขึ้นแทน
สิ่งที่ประเทศต่างๆ จะสามารถชดใช้ได้ …คือ การร่วมมือกัน
ในการสร้างสันติภาพให้เกิดขึ้นในโลก …ผ่านองค์กรต่างๆ
ที่เราจะจัดตั้งขึ้น เพื่อสร้างความเป็นธรรมให้เกิดในโลก …
เช่น สหประชาชาติ …ที่จะทุกประเทศที่เป็นสมาชิก
จะมีส่วนร่วมในการตัดสินเรื่องราวในโลกนี้
เช่นข้อตกลง GATT …ที่จะช่วยให้การค้าขาย
ระหว่างประเทศ มีความเป็นธรรม
เช่น World Bank และ IMF …ที่สามารถจะช่วยเหลือทุกประเทศ
ในการพัฒนาประเทศของตัว ในเงื่อนไขที่เท่าเทียมกัน ทั้งโลก ฯลฯ
ครับ ผมขอบรรยาย เพียงเท่านี้ …
น่าจะเพียงพอให้ท่านผู้อ่าน มองเห็นภาพ
ของหม้อต้ม สาระพัดแบบ สาระพัดขนาด
เรียงกันเป็นตับ ชัดเจนขึ้น
1
และด้วยโครงการ Lend Lease ของบ้านปากเหม็น
ที่กลุ่ม CFR ช่วยกันทำการบ้านคิดวิเคราะห์มากว่า 20 ปี
ในการสร้าง Grand Area …
ก็สามารถทำให้บ้านปากเหม็น มีครบถ้วนสมบูรณ์
ทั้งด้านอำนาจ และ ทุน
“เพียงพอ” สำหรับการครองโลกมานานกว่า 75 ปี แล้ว
นานพอไหม …พอหรือยัง
(หมายเหตุ: นิทานเรื่องนี้ยังไม่จบนะครับ…
ความล้ำลึกและชั่วร้าย ของ CFR และ บ้านปากเหม็น
ที่ทำชาวโลกมีความเข้าใจผิดบิดเบี้ยว และประเมินเรื่องราว
ในโลกนี้ รวมทั้งในบ้านเราผิดไปแยะ …ยังมีอีกมากมาย…
พบกันหลังปีใหม่ครับ…
ขอให้ทุกท่านโชคดีมีสุขไร้ทุกข์โศกโรคภัยอันตรายทั้งปวงนะครับ)
1
สวัสดีครับ
จาก คนเล่านิทาน
31 ธันวาคม 2566
เชิญแชร์กันตามสบาย ถ้าไม่ใช่เพื่อการค้า และโปรดให้เครดิตด้วย
ภาพประกอบจากกูเกิล
โฆษณา