20 ม.ค. 2024 เวลา 01:30 • กีฬา

คุยกับสเคอร์เทล ปราการเหล็กสโลวะเกียของหงส์แดง

มาร์ติน สเคอร์เทล กองหลังที่อยู่กับลิเวอร์พูลมานานถึง 9 ปี ร่วมงานกับโค้ช 5 คน มาเยือนไทยครับ
เขาไม่ได้มาคนเดียว แต่มาพร้อมนาตาชา ดาววี่ นักฟุตบอลหญิงทีมชาติอังกฤษ ที่เล่นกับลิเวอร์พูล 4 ปีด้วย
โดยทีมงานผู้จัดได้อนุญาตให้วิเคราะห์บอลจริงจัง เข้าไปสัมภาษณ์ทั้ง 2 คนแบบเอ็กซ์คลูซีฟครับ ประมาณ 20 นาที ผมเอามาแชร์ให้ทุกคนฟังนะครับ ว่าคุยอะไรกันบ้าง
มาร์ติน สเคอร์เทล คือกองหลังทีมชาติสโลวะเกีย เขามีประสบการณ์ที่ดีในประเทศไทย เคยคว้าแชมป์คิงส์คัพ ที่ราชมังคลากีฬาสถานได้สำเร็จในปี 2018 ขณะที่ในสีเสื้อลิเวอร์พูล สเคอร์เทลเคยได้แชมป์ 1 รายการ คือลีกคัพ ในปี 2012 ยุคเคนนี่ ดัลกลิช
ในฤดูกาล 2011-12 สเคอร์เทล เล่นได้ดีจนได้รับรางวัลนักเตะยอดเยี่ยมแห่งปีของสโมสรด้วย เป็นเกียรติประวัติที่เขาจดจำได้ไม่ลืม
แฟนบอลหงส์แดงยังจำเขาได้ดี จากสไตล์การเล่นที่ดุดัน เป็นฮาร์ดแมน พร้อมกับเสื้อเบอร์ 37 ที่เขาไม่เคยเปลี่ยนเลย ตั้งแต่วันแรกที่เล่นให้หงส์แดง จนถึงวันที่ย้ายออกไป
คำถามแรกที่ผมถามก่อนเลย คือ "ทำไมต้องเบอร์ 37" มันมีความหมายพิเศษอะไรหรือเปล่า
สเคอร์เทลตอบว่า "ในตอนเริ่มต้นอาชีพ ผมใส่หมายเลข 3 ส่วนภรรยาของผมเธอเป็นนักกีฬาแฮนด์บอล และเธอใส่เบอร์ 7 ผมก็เลยตัดสินใจเอา 3 กับ 7 มารวมกัน กลายเป็นเบอร์ 37 คือถ้าเป็นในทีมชาติผู้เล่นจะเลือกเบอร์ได้แค่ 1 ถึง 23 ผมก็ต้องใช้เบอร์อื่น แต่ถ้าเป็นระดับสโมสร ผมจะใช้เบอร์ 37 เสมอ เพราะมันเป็นลักกี้นัมเบอร์ของผม"
สเคอร์เทลเริ่มเป็นที่รู้จักในวงการฟุตบอล เมื่อลงเล่นกับสโมสรเซนิต เซนต์ ปีเตอร์สเบิร์ก และคว้าแชมป์ลีกรัสเซียได้สำเร็จในปี 2007 ทำให้มีหลายสโมสรสนใจ โดยเฉพาะลิเวอร์พูล, เอฟเวอร์ตัน และ บาเลนเซีย
"ตอนนั้น ลิเวอร์พูลคุมทีมโดยราฟาเอล เบนิเตซ เขาส่งแมวมองมาดูฟอร์มผม 2-3 เกม แต่ช่วงปลายปี 2007 ราฟามาดูเกมทีมชาติ ที่สโลวะเกีย เจอกับสาธารณรัฐเช็ก เกมนั้นผมต้องลงปะทะกับแยน โคลเลอร์ กองหน้าร่างยักษ์ของเช็กตลอด 90 นาที และผมคิดว่าตัวเองเล่นดีนะ จากนั้นฝั่งลิเวอร์พูลก็เริ่มคุยกับเอเยนต์ของผม ว่าต้องการดึงตัวมาเล่นในพรีเมียร์ลีก"
"ความยาก คือการดีลกันของลิเวอร์พูล กับ เซนิต ที่ตกลงตัวเลขไม่ได้เสียที ตัวผมตอนนั้นตกลงสัญญาส่วนตัวได้ทุกอย่างแล้ว ผมบินไปอยู่ที่ลิเวอร์พูลเตรียมพร้อมจะเปิดตัว สโมสรใช้เวลาเจรจากันนานถึง 5 วัน แต่สุดท้ายก็ลุล่วง ผมดีใจมากที่มันเกิดขึ้น"
1
ในข้อเท็จจริงของการซื้อขายช่วงนั้น คือ เอฟเวอร์ตัน ก็ยื่นข้อเสนอมาให้พร้อมกันพอดี
"ในฤดูกาล 2007-08 ในรายการยูโรป้าลีก เซนิต เจอกับเอฟเวอร์ตันในรอบแบ่งกลุ่ม ผมลงเล่นที่กูดิสัน พาร์ก พอจบเกมเอฟเวอร์ตันสนใจมาก และอยากดึงผมมาอยู่ด้วย แต่สุดท้ายผมเลือก ย้ายไปทีมคู่ปรับของพวกเขาแทน"
คือก็เข้าใจได้ เอฟเวอร์ตันช่วงนั้นก็เป็นทีมที่โอเค มีนักเตะอย่างทิม เคฮิลล์, เลห์ตัน เบนส์, มิเกล อาร์เตต้า แต่ลิเวอร์พูลคือทีมอีกระดับหนึ่ง ได้แชมป์ยุโรป และ เอฟเอคัพ ติดๆ กัน ดังนั้นในมุมของนักเตะคนหนึ่งก็ย่อมย้ายไปทีมที่มีแนวโน้มประสบความสำเร็จง่ายกว่าอยู่แล้ว
สเคอร์เทล เล่นในยุคราฟา เบนิเตซ ได้แค่ 3 ปี ก็เปลี่ยนโค้ชใหม่เป็นรอย ฮอดจ์สัน ตามด้วยเคนนี่ ดัลกลิช, เบรนแดน ร็อดเจอร์ส และ เจอร์เก้น คล็อปป์
โค้ชที่เชื่อใจเขามากที่สุด และทำให้เขาเก่งขึ้นจริงๆ คือ เคนนี่ ดัลกลิช โดยสเคอร์เทลเล่าว่า "เคนนี่ ดัลกลิช คือตำนานของสโมสรนี้ สิ่งสำคัญอันดับหนึ่งที่เขาย้ำเตือนนักเตะทุกคนคือ มันมีคุณค่าแค่ไหน ที่คุณได้สวมเสื้อลิเวอร์พูล"
ผมถามเขาต่อว่า แล้วเจอร์เก้น คล็อปป์ล่ะ สเคอร์เทลร่วมงานด้วยในซีซั่นสุดท้ายก่อนย้ายไปเฟเนร์บาห์เช่ สไตล์การทำงานของคล็อปป์จริงๆ เป็นอย่างไร
"ผมได้ร่วมงานกับคล็อปป์แค่ 7-8 เดือนเท่านั้นเอง แต่ก็พอเห็นสไตล์ของเขาอยู่นะ นั่นคือ 'เฮฟวี่เมทัลฟุตบอล' เกมรุกขั้นสมบูรณ์ ตั้งแต่วันแรกที่เขามาเหยียบสโมสร ก็ต้องการเปลี่ยนแนวคิดของนักเตะ ให้โฟกัสการเล่นฟุตบอลที่สวยงาม มีประสิทธิภาพ นอกจากนั้น ผู้เล่นต้องเชื่อมั่นว่าตัวเองทำได้ ปีแรกของเขา และปีสุดท้ายของผม เราเข้าชิงยูโรป้าลีกกับเซบีญ่าด้วย เกมนั้นผมมีชื่อเป็นตัวสำรอง แต่ไม่ได้ลงเล่น ก็น่าเสียดายที่เราไม่ได้แชมป์ แต่วันนั้นทุกคนรู้ว่าภายใต้เจอร์เก้น คล็อปป์ เราจะไปได้ไกลแน่ๆ"
หลังจากอยู่ลิเวอร์พูลมา 9 ปี สเคอร์เทลหมดสัญญา ตอนนั้นเขาอายุ 32 ปี มีทางเลือกว่าจะอยู่ต่อ เซ็นสัญญาระยะสั้น เพื่อให้ครบ 10 ปี และจะได้สิทธิ์เตะเทสติโมเนียล แมตช์ หรือย้ายออกไปทันที สุดท้ายสเคอร์เทลเลือกย้ายไปเฟเนร์บาห์เช่ ผมถามว่า ทำไมเขาตัดสินใจแบบนั้น
"การย้ายออกจากสโมสรไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ผมคิดว่าได้เวลาแล้วที่ตัวเองต้องอำลาทีม"
ความหมายของสเคอร์เทลคือในเกมยูโรป้าลีกนัดชิง เขาเป็นตัวสำรองของเดยัน ลอฟเรน และ โคโล ตูเร่ ถ้าเขาอยู่ต่อ ด้วยวัยที่เพิ่มขึ้นอีก ก็คงยากที่จะแย่งตัวจริงมาได้
"สุดท้ายผมจึงย้ายออกจากลิเวอร์พูล ไปอยู่เฟเนร์บาห์เช่แทน ซึ่งผมก็แฮปปี้นะ 3 ปีที่เฟเนร์บาห์เช่ ผมลงเป็นตัวจริงสม่ำเสมอ จากนั้นผมย้ายไปเล่นที่อิสตันบูล บีบี อีก 2 ซีซั่น ช่วยทีมคว้าแชมป์ลีกได้ด้วย ก็ถือว่าปิดฉากอาชีพของผมได้โอเคเลยทีเดียว"
สเคอร์เทล เคยเล่นร่วมกับเฟร์นันโด ตอร์เรส ในยุคพีกที่สุด คว้าแชมป์ยูโร - แชมป์โลก มาแล้ว และเคยเล่นร่วมกับหลุยส์ ซัวเรซ ในช่วงพีกที่สุดเช่นกัน คว้าดาวซัลโว และ นักเตะยอดเยี่ยม PFA ผมถามว่า 2 คนนี้ใครเก่งกว่า
"เลือกไม่ได้จริงๆ ตอนผมย้ายมาลิเวอร์พูลใหม่ๆ เฟร์นันโด ตอร์เรส คือหนึ่งในกองหน้าที่เก่งที่สุดในโลก เขาเคยติดท็อปทรีบัลลงดอร์มาแล้ว เขาคือมาตรฐานสูงสุดที่กองหน้าสักคนควรจะมี วิ่งเร็ว ยิงคม เข้าใจเกม ส่วนซัวเรซ เป็นผู้เล่นที่คาดเดาไม่ได้เลย คุณไม่รู้ว่าเขาจะเล่นอะไร ยิงตรงไหน เป็นคนบ้าๆ บอๆ ในทางที่ดีนะ"
"คนภายนอกเห็นซัวเรซ จะรู้สึกว่า เป็นคนอารมณ์ร้อน แต่จริงๆ ตอนอยู่ลิเวอร์พูล เราสองคนอยู่บ้านติดกันเลย ไปซ้อมด้วยกันก็บ่อย ซัวเรซเป็นแฟมิลี่แมน รักครอบครัวมาก เรื่องในสนามกับนอกสนาม ไม่เหมือนกันเลย"
แล้วโมฮาเหม็ด ซาลาห์ล่ะ ผมถามต่อ ถ้าเทียบกับสองคนนั้น
"ซาลาห์ นำไปเทียบได้ยากหน่อย เพราะเขาเล่นคนละตำแหน่ง ซาลาห์เป็นปีกขวา ส่วนตอร์เรส กับ ซัวเรซ เป็นกองหน้าตัวเป้า"
ผมให้สเคอร์เทล ลองจัด ผู้เล่นดีที่สุดตลอดกาลในความคิดของเขา BEST XI ให้เลือกใครก็ได้ สเคอร์เทลขอใช้แผน 4-3-3 จัดทีมมาแบบนี้ครับ
ผู้รักษาประตู : จานลุยจิ บุฟฟ่อน
แบ็กขวา : มาร์กอส คาฟู
แบ็กซ้าย : โรแบร์โต้ คาร์ลอส
เซ็นเตอร์แบ็ก : เวอร์จิล ฟาน ไดค์
เซ็นเตอร์แบ็ก : ฟาบิโอ คันนาวาโร่
กองกลางตัวรับ : สตีเว่น เจอร์ราร์ด
กองกลางตัวรุก : ซีเนอดีน ซีดาน
กองกลางตัวรุก : ลีโอเนล เมสซี่
ปีกซ้าย : คริสเตียโน่ โรนัลโด้
ปีกขวา : หลุยส์ ฟิโก้
กองหน้าตัวเป้า : หลุยส์ ซัวเรซ
จริงๆ ก่อนจะจัด 11 ตัวนี้ สเคอร์เทลแอบหยอกว่า "ผมใส่ชื่อตัวเองไปด้วยได้ไหมเนี่ย" ผมตอบว่า "เอาเลย ถ้าคุณคิดว่าเป็น Best XI" แต่สเคอร์เทลก็หัวเราะแล้วบอกว่า "โอ๊ย ไม่ดีกว่า"
จากนั้นก็มาถึงช่วงท้ายๆ ครับ ผมถามสเคอร์เทลต่อว่า ตลอดชีวิตของเขา ที่เล่นฟุตบอลมา 20 ปี ให้เลือกโมเมนต์ดีที่สุดเพียงอย่างเดียว คือช่วงเวลาไหน
สเคอร์เทลตอบว่า "วันที่เซ็นสัญญากับลิเวอร์พูล เพราะนี่คือจุดเปลี่ยนในอาชีพของผม ผมได้เล่นเกมฟุตบอลที่ยอดเยี่ยม ด้วยการเล่นกับสโมสรแห่งนี้ จริงๆ การเล่นกับทีมชาติก็เป็นความทรงจำที่ดี แต่ถ้าให้เลือกโมเมนต์ดีที่สุดเพียงอย่างเดียว ก็ต้องเลือกการเซ็นสัญญากับสโมสรในปี 2008 ชีวิตผมไม่เหมือนเดิมอีกเลยจากวันนั้น"
ก่อนจะอำลากันไป ผมถามสเคอร์เทลข้อสุดท้ายว่า ทำไมตอนเล่นฟุตบอล เขาโกนหัวตลอดเลย แต่พอรีไทร์แล้ว ไว้ผมยาว
"ตอนผมเป็นนักเตะ ผมต้องการทำให้คู่แข่งกลัว เลยโกนหัวขู่ ฮ่าๆ ไม่หรอก ผมล้อเล่น จริงๆ ผมมาโกนหัวแบบถาวร ตอนย้ายมาอยู่ลิเวอร์พูลนี่เอง เพราะที่ลิเวอร์พูลเป็นเมืองที่ฝนตกตลอดเวลา ผมเบื่อกับการต้องมานั่งสระผมทุกวัน ก็เลยคิดว่าโกนหัวให้มันจบๆ ไป ทำความสะอาดง่ายดี ทีนี้พอโกนหัวปั๊บ แฟนๆ กลับชอบคาแรคเตอร์ใหม่ของผม ผมก็เลยไว้ทรงนี้มาเป็นสิบปี"
"แต่พอผมย้ายไปตุรกี ภูมิอากาศใดๆ ก็ไม่เหมือนที่อังกฤษอีกแล้ว อีกอย่างผมก็อายุมากขึ้นแล้วด้วย หักลบเหตุผล ก็เลยตัดสินใจกลับมาไว้ผมดีกว่า"
นี่คือบทสนทนาที่ผมคุยกับมาร์ติน สเคอร์เทลครับ ขณะที่กับนาตาชา ดาววี่ ก็ได้คุยกันนิดหน่อย เธอเป็นผู้เล่นที่ย้ายจากเอฟเวอร์ตัน มาลิเวอร์พูล โดยตรง ผมก็ถามไปว่า มันไม่มีดราม่าอะไรหรอ นาตาชาตอบว่า ฟุตบอลหญิงกับฟุตบอลชาย เรื่องความแค้นระหว่างสองทีม มันรุนแรงต่างกัน ก็เลยย้ายมาได้สบายๆ ครับ
เราจะสังเกตว่าในรอบ 1 ปีที่ผ่านมา นักเตะในอดีตของสโมสรต่างๆ เดินทางมาที่ไทยเพียบเลย พอนักเตะรีไทร์ไปแล้ว เรื่องราวต่างๆ ในสมัยเป็นผู้เล่น ก็สามารถเปิดเผยได้หมดเลยครับ ดีเนอะ
รอบปีที่ผ่านมา ผมคุยกับนักเตะหลายคน เช่น เดิร์ก เคาท์, รุด กุลลิท, คาร์ล-ไฮนซ์ รีดเล่, กาอิซก้า เมนดิเอต้า, แพทริก แบร์เกอร์, เอ็มมานูแอล เปอตีต์ ฯลฯ ขอบคุณผู้จัดทุกท่านที่ให้ความเชื่อใจวิเคราะห์บอลจริงจังนะครับ
จะว่าไปแล้ว ผมเพิ่งมาเข้าใจตัวเองว่า การได้คุยกับนักกีฬา ไม่ว่าจะเป็นผู้เล่นในยุคอดีตหรือยุคปัจจุบัน เป็นสิ่งที่ผมทำ แล้วมีความสุขมากๆ เลยครับผม
โฆษณา