20 ม.ค. เวลา 06:35 • ความคิดเห็น

สมัยผมเรียนมหาลัย ผมพักที่หอใน ตลอดเลย

เคยนึกย้อนไปสมัยเรียนมหาลัย ตอนนั้นไม่ค่อยมีเงินค่าหอพักนอกมหาลัยก็แพง ต้องหาหอพักในมหาลัยถูกกว่าหอนอก เรียกว่าถูกกว่า สองเท่าเลยที่เดียว ดังนั้นสำหรับนักศึกษาใหม่อย่างผม ที่มาจากต่างจังหวัดแล้วละก็ต้องพยายามหาโควต้า เข้าไปอยู่หอในให้ได้เลย (เพื่อประหยัดเงิน)
แต่ก็อย่างว่าแหละหอไหนมันก็มีกฎระเบียบค่อนข้างเยอะอยู่ไม่เหมือนหอนอก ที่สะดวกสบายกลับกี่โมงก็ได้เพราะอยู่หอ นอก
ส่วนใหญ่ยอมเสียเงินแพงๆเพราะว่าจะได้ออกไปเที่ยวท่องเที่ยวตามที่เที่ยวราตรีได้โดยเฉพาะผับเทคเมื่อตอนที่ตัวเองเป็นเด็กมัธยมไม่ได้มีโอกาสเข้าไปผับมากนักเมื่อโตแล้วอายุถึงก็อยากจะออกไปเที่ยวตามผับต่างๆที่เค้าเปิดไว้ให้สำหรับเด็กอายุมากกว่า 20 ปีเข้าไปได้นั่นแหละ
ใครๆก็ต้องอยากจะลองส่วนผมที่อยู่หอในนั้นคงไม่ได้มีโอกาสออกไปได้ง่ายนอกจากจะแอบไปอยู่กับหอพักเพื่อนที่อยู่เป็นหอนอก (ฮา) เพราะปกติแล้วหอในจะปิดประมาณสี่ทุ่มครับ และถ้าปิดแล้ววิธีเดียวก็คือปีนหอนั่นเองมันถึงจะเข้าไปได้
อันที่จริงก็ใช่ว่าจะไม่เคยปีนหรอกเพราะว่าหอพักที่ผมอยู่เนี่ยมันจะมีส่วนหนึ่งที่เป็นโซนห้องน้ำ ซึ่งมันจะเป็นอิฐบล็อกที่เป็นรูเพื่อระบายอากาศ ดังนั้นจึงเป็นช่องว่างที่เราสามารถปีนขึ้นไปได้โดยแอบย่องๆ ไปตรงโซนที่เป็นห้องน้ำแล้วก็แอบปีนขึ้นไปตั้งแต่ชั้นหนึ่งขึ้นชั้นสอง …หอผมอยู่ชั้นสามก็ค่อนข้างจะสูงพอสมควร หอมีทั้งหมดสี่ชั้นถ้าจำไม่ผิด
ตอนนั้นจำได้ว่าออกไปเที่ยวกับเพื่อนข้างนอกหลังจากที่ผับปิดแล้วก็ประมาณตีสองออกไปกินยาดองต่ออีกซึ่งยาดองก็อยู่ไม่ไกลจากมหาลัยนัก สมัยก่อนยังไม่มีโครงการมหาลัยสีขาวยังไม่มีมีการโซนต่างๆทำให้ร้านเหล้า สามารถที่จะเปิดติดกับมหาลัยได้ หลังจากนั้นผมก็ไปนั่งกินกับพี่ที่คณะสถาปัตย์ ซึ่งมันจะเป็นร้านยาดองเล็กๆเครื่องเคียงก็จะมีพวกมะม่วงเปรี้ยวมะขามดองอะไรประมาณนี้
ที่จริงก็กินเอาสนุกเอาเพื่อนไปยังงั้นแหละจำได้ว่าครั้งหนึ่งมันมีชาร้อนให้ด้วยจำไม่ได้ว่าเป็นชาเขียวหรือว่าชาจีน ตอนเมาเมาก็เทพลาด เอาน้ำร้อนไปโดนใส่มือพี่เค้าซะงั้น ตอนนั้นก็ขำแทบแย่เมาก็เมากะก็ไม่ถูก
เอาละนอกเรื่องไปตั้งไกลกลับมาที่ตอนปีนหอดีกว่าตอนนั้นจำได้ว่าก็ปีนขึ้นไปไปเรื่อยๆ จนไม่ถึงชั้นสาม ตรงนั้นมันจะมีที่แปรงฟันพอดี เพื่อนมันก็กำลังแปรงฟันอยู่ พอเราปีนขึ้นมามันก็ตกใจร้องเสียงดัง เราเองก็ตกใจเพราะอยู่ดีไ เพื่อนมันจะมาแปรงฟันตอนตีสามตีสี่
เกือบตกหอ ดีนะว่าจับไว้แน่นรีบบอกเพื่อนให้หุบปากแล้วก็ปีนเข้าไป นั่นแหละครับประสบการณ์ปีนหอครั้งแรก และก็ครั้งเดียวนั่นแหละ เพราะว่าหลังจากนั้นก็ไม่เข้าหอ ไปนอนหอเพื่อนข้างนอกเลยกลับอีกทีตอนเช้า ตอนที่พี่ประจำหอเค้ามาเปิดประตูนั่นแหละก็ค่อยเข้าไป
ตอนนั้นหอหนึ่งจะอยู่กันประมาณสี่คน จำไว้ได้เตียงแบบสองชั้นคือมันจะมีชั้นหนึ่งชั้นสองหนึ่งเตียงแล้วก็เตียงชั้นหนึ่งชั้นสองอีกหนึ่งเตียง อยู่ตรงข้ามกัน เราก็เลือกอยู่ชั้นหนึ่งเพราะผมขี้เกียจปีน
แต่มันก็จะเสียงดังหน่อยนะ จากไอ้คนข้างบน แล้วมันก็จะมีโต๊ะให้ซึ่งก็เป็นโต๊ะไม้เก่าๆ เอาไว้ตั้งคอม ส่วนใหญ่ก็เอาไว้เล่นเกม แล้วก็เอาไว้เปิดเพลง ปกติแล้วเราจะเสียค่าไฟถูกมาก ตอนแรกแรกไม่ได้แยกค่าไฟค่าหอ มันจะคิดรวมรวมกันเราเลยเปิดคอมพิวเตอร์ทิ้งไว้ทั้งวันทั้งคืนใครอยากจะเล่นเกมก็มาเล่น แถมค่าอินเตอร์เน็ตก็ไม่ต้องเสีย
อยู่หอนายมันสนุกก็ตรงที่ปกติแล้วแต่ละห้องก็จะแบ่งเป็นคณะแต่ละคณะอย่างคณะวิทยาศาสตร์ก็จะอยู่กับคณะวิทยาศาสตร์ด้วยกัน ส่วนใครอยู่คณะวิศวะก็จะอยู่กับวิศวะ แต่บางครั้งมันก็สลับกันการบ้าง
ส่วนใหญ่พวกเราก็จะมาแจมๆกัน บางทีก็ต้มมาม่าร่วมสาบานก็มี(ฮา) และก็ด้านบนก็จะมีลานเอาไว้ตากผ้า ซึ่งนอกจากจะเอาไว้ตากผ้าแล้วก็ยังเอาไว้กินเหล้าได้ด้วย เมื่อก่อนก็ยังไม่มีโครงการมหาลัยสีขาว การจะซื้อเหล้าเข้ามากินในหอพักก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร ขอแค่อย่าส่งเสียงดังหนวกหูห้องอื่นก็พอ
บางครั้งพวกเราก็เอาเหล้ามากินดิดกีตาร์เล่นข้างบนนี้แล้วแล้วแต่ว่าใครจะจองก่อนหลัง ถ้าขึ้นมาแล้วมีคนตั้งวงอยู่ก่อนแล้วเราก็จะถอยไปกินกันในห้องแทน
นอกจากที่หอพักแล้วสถานที่กินเหล้าที่เป็นที่นิยมอีกที่หนึ่งก็คือตรงบริเวณสระกลางมหาลัย เพราะบริเวณนั้นจะมีสะพานข้ามสระอยู่ซึ่งเป็นสะพานไม้ มักจะมีรุ่นพี่คณะต่างๆมาตั้งวงกินเหล้ากันเต็มสะพาน แบ่งเป็นหัวสะพานท้ายสะพาน กลางสะพาน ไม่แบ่งแยกคณะ กินกันแบบฉันมิตร ไม่ค่อยเห็นทะเลาะกันเท่าไหร่ นอกจากนี้แล้วยังมีศาลาริมน้ำ ที่มักจะถูกจับจองเป็นจุดตั้งวงด้วยเช่นกัน
จำได้ว่าครั้งหนึ่งกินเหล้าที่ศาลาริมน้ำแล้วก็อ้วกทิ้งลงไปตรงนั้นเลยตอนเมา เพื่อนบางคนพอเมาแล้วร้องไห้ เพ้ออกหักอะไรประเภทนั้น ก็แอบกระโดดลงสระ ตอนนี้เราว้าวุ่นเลย ต้องรีบช่วยดึงขึ้นมาเดี๋ยวมันตายคาสระขึ้นมาจริงๆ
แต่การอยู่หอในก็มีข้อเสียอยู่บางประการเช่นกัน เช่นถ้าเราเป็นนักศึกษาปีหนึ่งเข้ามาเรียนปีแรกก็จะมีกิจกรรม รับน้อง ซึ่งกิจกรรมนี้พวกที่อยู่หอในจะไม่สามารถหลีกหนีได้เลยเพราะจะมีรุ่น ที่อยู่หอในเช่นเดียวกันมาเคาะประตูเรียก ให้เข้าร่วมกิจกรรมรับน้องอย่างเสียไม่ได้ เพราะอย่างไรก็คงหนีไม่พ้นไม่เหมือนพวกที่อยู่หอนอก ส่วนใหญ่ก็จะไม่เข้าร่วมกิจกรรมรับน้องสักเท่าไหร่นอกจากพวกที่สนิทกับรุ่นพี่จริงๆ ก็จะเข้าร่วมกิจกรรม ส่วนใหญ่กิจกรรมรับน้องที่มหาลัยของผมไม่ค่อยรุนแรงนัก
มักจะเป็นกิจกรรมสันทนาการร่วมกับการทำกิจกรรมรวมรุ่น อะไรแบบนั้นแต่จะมีอยู่หนักหน่อยสำหรับพวกที่อยู่หอใน ก็คือกิจกรรมรับน้องเข้าหอ ซึ่งก็คือหอในนั่นเอง อันนี้จะพารุ่นน้องไปเจอกับรุ่นพี่ปีสองปีสาม ที่อยู่ในหอและจะจัดเป็นด่านด่าน ไป มีทั้งโดนว๊าก โดนให้กินเหล้า โดนวิดพื้นต่างๆนานา ก็ทำไปจนกว่าจะได้รับรุ่นนั่นแหละ
ผมพักอยู่หอในตั้งแต่ปีหนึ่งจนถึงปีสี่ได้มาอยู่หอนอกจริงๆจังจังก็ตอนปีสี่เทอมสุดท้ายตอนนั้นทำโปรเจค เลยออกมาเช่าหออยู่ข้างนอก ตอนนั้นยังไม่แยกชายหญิงยังเป็นหอนอกที่สามารถที่จะพักได้ทั้ง ผู้หญิงผู้ชาย ก็รู้สึกว่าอยู่หอนอกสะดวกดีอยากทำอะไรก็ได้ทำพาเพื่อนมาก็ได้พาแฟนมาก็ได้ สะดวกดี
หากมีข้อได้เปรียบอยู่อย่างหนึ่งคือไม่ต้องย้ายหอ แบบหอใน จึงบอกไปว่าปกติแล้วหอพักจะเป็นการอยู่แบบจับฉลาก คือมันจะมีหอพักชายตั้งแต่หอที่หนึ่งถึงหอที่สี่ แต่ละปีเราก็ต้องจับฉลากว่าเราจะได้อยู่หอพักไหน บางทีเราอยู่หอหนึ่งปีหน้าเราจะจับฉลากได้อยู่หอที่สี่เราก็ต้องย้ายหอ ไปตามสิทธิ์ที่เราได้ เราก็ต้องใช้รถเข็น เพราะว่าสมัยนั้นนักศึกษาไม่มีเงิน และไม่มีรถกระบะหรือรถเก๋งกับเค้าหรอก มีแต่รถจักรยาน มอเตอร์ไซต์ผมยังไม่มีเลย
เวลาย้ายหอทีนึงก็ต้องใช้รถเข็นสามล้อใส่กระเป๋าคอมพิวเตอร์เสื้อผ้าหอบกันไป ดีว่าหอมันมันไม่ไกลกันมาก ส่วนไอ้พวกมีกะตังหน่อย ก็เช่ารถยนต์ให้เค้าขนไปให้ แต่สุดท้ายก็ต้องขนขึ้นไปชั้นสามชั้นสี่เองอยู่ดี
เป็นประสบการณ์อีกแบบหนึ่งที่เรียกเหงื่อ ได้ดีเหลือเกิน(ฮา)
โฆษณา