Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
หนูนิ
•
ติดตาม
22 ม.ค. 2024 เวลา 01:04 • นิยาย เรื่องสั้น
ล่องไพร วรรณกรรมอมตะ ของ น้อย อินทนนท์ (บรมครูมาลัย ชูพินิจ)
.
ตอนที่ 13 วิมานฉิมพลี ภาค 1
.
7.แขกยามวิกาล
.
พวกเขาใช้เวลาหลายชั่วโมงในการข้ามช่องเขาสูงที่ตั้งตระหง่านอยู่หลังเม็นยามา ต่อมาจึงเป็นทางเท้าที่ขรุขระและลื่นลาดต่ำลงไปจนถึงพื้นที่ราบในหุบเขา
.
ขณะนั้นเป็นเวลาเที่ยงแลเห็นแสงพระอาทิตย์เป็นครั้งแรก ภูมิประเทศปกคลุมด้วยหญ้าที่มีลักษณะคล้ายแฝก ดงเฟิร์น ต้นปาล์ม และ ป่าไผ่ เสียงนกเล็กๆร้องอยู่ตามกิ่งไม้ สัตว์ที่ผ่านหน้ามีเพียงอีเห็น และ พวกสัตว์เลื้อยคลาน
.
อีเห็นเป็นสัตว์กินพืชและผลไม้ มีการเลี้ยงอีเห็นโดยให้กินเมล็ดกาแฟ เมื่อมันถ่ายมูลออกมาเมล็ดกาแฟจะไม่ถูกย่อยสลายจะออกมาเป็นเมล็ดเหมือนเดิม จากนั้นจะนำไปล้างและคั่วเป็นกาแฟสำหรับจำหน่าย ซึ่งกาแฟลักษณะนี้เรียกว่า "กาแฟขี้ชะมด"
เป็นกาแฟที่มีรสชาติกลมกล่อม หอมหวาน อร่อยกว่ากาแฟทั่วไป จึงมีราคาขายที่แพงกว่ากาแฟปกติ
.
ทั้งนี้เนื่องจากในระบบย่อยอาหารของอีเห็นมีเอนไซม์ที่ทำให้เมล็ดกาแฟมีรสชาติที่หอมหวาน
อีเห็นแตกต่างจากชะมด คือ อุ้งตีนมีลักษณะเหมาะสมสำหรับการปีนป่าย อีกทั้งอีเห็นเป็นสัตว์ชอบกินพืชและผลไม้มากกว่าชะมดที่จะกินสัตว์ต่าง ๆ เช่น กบ หรือเขียด หรือปลา เป็นอาหารมากกว่าพืช
.
เมื่อหยุดพักข้างลำธารเล็ก ๆ แห่งหนึ่งในหุบเขานั้น โจนส์หันไปนับพวกลูกหาบ เมื่อพบว่ายังอยู่ครบก็โล่งอก ยิ่งเห็นหลายคนร้องเพลงพื้นเมืองขณะนั่งรวมกลุ่มกันอยู่ใต้ร่มไม้ ความเคร่งเครียดก็คลายลง
.
สมัยหนึ่งเมื่อไม่นานมานี้ชาวป่าเหล่านี้ยังเป็นมนุษย์กินคน แต่ด้วยความช่วยเหลืออบรมของรัฐบาลออสเตรเลีย และ มิชชันนารีที่เสียสละความสุขเสี่ยงชีวิตเข้าไปอยู่ในระหว่างพวกเขา ชาวคูกูคูกูเหล่านี้จึงหันหลังให้ประเพณีดึกดำบรรพ์นั้นได้
.
จากหุบเขานั้นมากาพาขึ้นสู่ทิศตะวันตกเฉียงเหนือเรื่อยไปในท่ามกลางภูมิปร:เทศที่ปกคลุมด้วยป่าไม้หนาแน่น อากาศที่เย็นเฉียบก็อบอุ่นขึ้น ตอนบ่ายวันนั้นก็ถึงหมู่บ้านแห่งหนึ่งซึ่งตั้งอยู่โดดเดี่ยวบนเนินเขา
หัวหน้าบ้านเป็นชายชราเผ่าคูกูคูกูเช่นเดียวกันและรู้จักมากาดี พ่อเฒ่าบอกให้พักกับแกคืนนี้ ทั้งที่แกก็รู้ว่าเป็นข้อห้ามที่คณะเดินทางจะพักรวมกับชาวพื้นเมืองในหมู่บ้านหนึ่งตำบลใดไม่ได้
.
เนื่องจากข้างหน้าต่อไปไม่มีหมู่บ้าน เพื่อความปลอดภัยของคณะเดินทางเองจึงควรพักที่นี่ แต่หากไม่สะดวกพักในกระท่อมของแกจะตั้งแค้มป์อยู่ข้างนอกก็ได้
พ่อเฒ่าบอกว่าการพักที่อื่นวิญญาณของกังยีจะมาทำร้าย แต่หากพักอยู่กับแก แกมีเวทมนด์สามารถช่วยเหลือได้ ไปพักในป่าแกตามไปช่วยไม่ได้
เมื่อโจนส์ขอบใจแกด้วยวาจาของนักการทูต จึงทำให้พ่อเฒ่าหน้าบาน แล้วแกยังให้ของขลังไว้ป้องกันตัวก่อนจากกันอีกด้วย
.
โจนส์บอกกามาช่วยบอกพ่อเฒ่าด้วยว่า ปีหน้าฟ้าใหม่จะมาที่นี่อีก คราวนี้จะพักด้วยนาน ๆ"
.
มากา "พ่อเฒ่าบอกว่า จะไม่มีปีหน้าฟ้าใหม่ ไปคราวนี้ทุกคนจะไม่ได้กลับมา"
.
พันเอกโจนส์ "บอกพ่อเฒ่าว่า เราจะกลับมา และ ขอลาไปก่อน หนทางยังอีกไกล"
.
ทุกคนออกเดินทางต่อผ่านเชิงเขาที่ปกคลุมด้วยพืชไร่ของชาวบ้าน ลงสู่ช่องเขาซึ่งคดเคี้ยวไปในระหว่างหน้าผาทั้ง2ด้าน จนกระทั่งออกสู่ภูมิประเทศอันเป็นที่ราบกว้างใหญ่แวดล้อมด้วยต้นไม้หนาแน่นและทิวเขา ราวกับกำลังอยู่ในก้นกะทะยักษ์
.
ลักษณะของป่านี้แตกต่างไปจากป่าของเมืองไทยและอเมริกาใต้ที่ศักดิ์เคยผ่านมาแล้ว ที่นี่นอกจากไม่มีทางด่านแล้วแม้แต่ทางเท้าที่ชาวป่าเดินก็ไม่ปรากฎ เพราะมิ
ได้ใช้กันจำเจเนื่องจากการอพยพกันอยู่เนืองนิตย์
.
นี่เป็นสถานที่ซึ่งมนุษย์อารยะน้อยนักจะเข้ามาถึง แต่เมื่อย่างเข้าไปในป่านั้นแล้ว ความรกทึบ ชื้นแฉะ และ ละม้ายคล้ายคลึงกันไปหมด ก็ทำให้ยากที่จะบอกได้ว่ากำลังอยู่ที่ไหน และ บ่ายหน้าสู่ที่ใด
.
แผนที่และเข็มทิศของโจนส์กับความทรงจำของมากาเท่านั้นที่ช่วยในการเดินทาง ในราวบ่าย4โมงวันนั้นจึงออกสู่ลานโล่งบนเนินเล็ก ๆ แห่งหนึ่งซึ่งติดกับยอดเขาสูงตระหง่าน หมอกไหลรินปกคลุมยอดของมันไม่ขาดสาย
.
ขณะนั้นเหลือเวลาอีก2ชั่วโมงแสงสว่างแห่งกลางวันก็จะอันตรธาน แม้มากาจะแนะนำให้พ้นหุบเขาก่อนจึงตั้งแค้มป์พัก แต่โจนส์ไม่เห็นด้วยเพราะเมื่อมองสภาพของทีมงานและลูกหาบแล้วคงข้ามช่องเขาไปไม่พ้น
.
โจนส์ได้สั่งให้ตั้งแค้มป์ท่ามกลางความกระสับกระส่ายของเจ้าคนนำทางและความหวาดเกรงของมัน ซึ่งในไม่ช้าก็แผ่ซ่านไปในหมู่ลูกหาบด้วย
.
ไมรา "มีอะไรเกิดขึ้น วิล"
.
โจนส์ "มากามันว่าหุบเขานี้เป็นที่อาศัยของกังยี ชาวป่าไม่ว่าจะเป็นคูกูคูกู หรือ คูมัน ผ่านไปมาไม่เคยมีใครหยุดพักนอนเลย เพราะจะไม่มีโอกาสได้ตื่นมันว่าให้ไปค้างบนยอดเขา"
.
"ฉันคิดว่าขืนไปค้างบนยอดเขา โอกาสไม่ตื่นจะมีมากกว่า นี่คือเหตุผลที่พ่อเฒ่าขอร้องให้พักที่หมู่บ้านของแก
หนทางข้างหน้ามีเพียง 2 ทางเลือก คือ 1.นอนในหุบ-ดังเช่นที่เราทำในขณะนี้ เสี่ยงต่อกังยี และ 2.นอนบนยอดเขา เสี่ยงต่อการหนาวตาย"
.
ทันทีที่ค่ำลงไม่มีใครเลยที่กล้าก้าวเท้าออกจากบริเวณแค้มป์ โดยปราศจากเพื่อนและแสงไฟแม้แต่ในเวลานอนก็จับกลุ่มรอบกองไฟ แม้จะยังหัวค่ำมากากับลูกหาบกินอาหารเสร็จก็เข้านอนและหลับ หรือ อาจแกล้งหลับก็ได้
.
ตาเกิ้น "มันกลัวอะไรของมัน นาย"
.
"ความมืดอย่างที่ชาวป่าทั้งหลายกลัวนั่นแหละ ตาเกิ้น แต่พวกนี้เรียกว่า กังยี เมืองไทยเราเรียก ผีป่า ผีปอบ นางไม้ พรายตะเคียน"
.
"แต่พรายตะเคียนแปลงเป็นสาวสวยได้นะนาย"
.
"กังยีก็แปลงได้เหมือนกัน แต่มากาไม่ได้บอกว่าแปลงเป็นอะไรบ้าง"
.
อากาศซึ่งหนาวขึ้นเป็นลำดับทำให้กองไฟน่าพิศมัยกว่าเตียงสนามในเต็นท์ที่เย็นเฉียบ ช้าๆนานๆไฟในกองจะประทุสักครั้ง ไม่เจ้ามากาก็ลูกหาบคนใดคนหนึ่งต้องผวาตื่น เมื่อมองไปรอบ ๆ กายไม่มีอะไร ก็ล้มตัวลงนอนแสร้งหลับ
.
ศักดิ์ยังคงนั่งสูบบุหรี่อยู่เงียบ ๆ คนเดียวในขณะที่คนอื่น ๆ ในทีมพากันหลับ พลันก็แว่วเสียงใบไม้แห้งดังกรอบแกรบพร้อมด้วยเงาหนึ่งมายืนเบื้องหน้า
.
ไมรา "ฉันนอนไม่หลับค่ะ คุณศักดิ์" หล่อนยื่นมือมาอังไฟ "รู้สึกเหมือนมีใครมาเดินรอบ ๆ แค้มป์"
.
"ผมก็รู้สึกเหมือนมีดวงตาหลายคู่จ้องดูอยู่ในเงามืด"
.
"คุณคิดไหมคะว่ามากาและลูกหาบคงรู้สึกเหมือนเรา พวกเขาแกล้งทำหลับ แต่จริง ๆ แล้ว ตื่นตลอด"
.
แล้วไมราก็เรียกชื่อเจ้าคนนำทางซึ่งมากาก็ผุดลุกขึ้นทันทีพร้อมด้วยลูกหาบคนอื่นๆ ไมราจึงบอกว่าต้องการรู้หลับหรือตื่นเท่านั้น พวกนั้นจึงล้มตัวลงต่อ
.
ไมรา "ฉันไม่เข้าใจว่ามันกลัวอะไร และ เรากลัวอะไร"
.
ศักดิ์ "ความมืด และ ความไม่รู้ ทำให้คนกลัว"
.
"แต่คุณไม่เคยกลัวอะไร"
.
"นั่นเป็นสิ่งที่เราหลอกตัวเอง คนเรากลัวด้วยกันทั้งนั้นซึ่งเป็นของธรรมดา เพียงแต่ว่ามันจะเป็นเรื่องไหน ผมกลัวเสมอเมื่อผจญสัตว์ร้าย แต่ต้องมีสติข่มใจไม่ให้ทำอะ
ไรโง่ ๆ ตามที่ความกลัวบังคับ ทำให้คุณเข้าใจผิดคิดว่าผมเป็นคนกล้าไม่กลัวตาย"
.
ไมรา "เมื่อเล็ก ๆ ฉันเคยกลัวความมืด ไปไหนต้องมีพี่เลี้ยงเป็นเพื่อน จนกระทั่งคุณพ่ออธิบายว่า เรากลัวเพราะไม่รู้ว่าในความมืดมีอะไร เมื่อใช้ไฟฉาย หรือ เทียน เราก็ไปได้"
.
"นั่นคุณจะทำอะไรครับ ไมรา"
.
"ก็ออกไปพิสูจน์ว่ารอบแค้มป์นี้ไม่มีอะไร"
.
"ถ้าเช่นนั้น ผมก็ขอไปด้วย"
.
"โปรดคอยอยู่ที่นี่ และ ปล่อยดิฉันไปคนเดียว"
.
ว่าแล้วหล่อนก็หันหลังกลับหายลับไปทางหลังเต้นท์ แลเห็นแสงไฟฉายในมือกราดไปตามป่าอันว่างเปล่า นก 2-3 ตัวบินออกจากพุ่มไม้ที่หล่อนผ่านถลาผ่านขึ้นไปในอากาศ
จากที่ใดที่หนึ่งทางเชิงเขาศักดิ์ได้ยินเสียงซ่าเหมือนน้ำตกแว่วมาแต่ไกล ขณะเดียวกันก็อาจเป็นเสียงลมพัดต้องใบไม้
.
เท่านั้นเอง คือ สภาพของรอบแค้มป์
.
เท่านั้นเอง คือ สิ่งที่ความมืดปิดบัง และ แสงสว่างจากไฟฉายไมราเปิดออก
.
เท่านั้นเอง คือ สิ่งที่เราหวาดกลัวกัน เริ่มจากมากา และ ลูกหาบ แล้วก็มาถึงพวกเราทุกคน
.
เท่านั้นเอง....ศักดิ์หยุดคิดทันทีเมื่อเห็นไมราลงจากเนินสูงตรงไปยังลำธารผ่านต้นไม้ใหญ่น้อยซึ่งเรียงราย 2 ฟากทางเหมือนทหารยาม
.
อะไรบางอย่างทำให้ศักดิ์เย็นสันหลังวาบ มีสิ่งใดสิ่งหนึ่งปรากฎอยู่ระหว่างเงาของต้นไม้ ไมราเองก็หยุดชะงักเหมือนได้ยินอะไรบางอย่าง หล่อนหันกลับแสงไฟฉาย
ในมือส่องเต็มหน้าเงาที่ศักดิ์กำลังติดตามดูอยู่
.
เสียงหวีดร้องด้วยความตกใจของหล่อนดังก้องไปทั้งป่า ขณะที่ร่างมหึมาของเจ้าของเงาโถมเข้าใส่หล่อนทำให้ไฟฉายหลุดจากมือ แสงสว่างดับวูบไปทันที
.
"ไมรา" ศักดิ์ร้องออกวิ่งไปหาหล่อนจนชนเข้ากับดร.สมิท ขณะที่พันเอกโจนส์ถลันออกจากแค้มป์ชนเข้ากับลูกหาบที่โงเงลุกขึ้นมาจนล้มลงไปใหม่
.
ไม่ถึงพริบตาต่อมาศักดิ์ก็พบเข้ากับต้นไม้หรือสิ่งที่คิดว่าเป็นต้นไม้ แต่มันไม่ใช่เพราะเคลื่อนไหวได้ กิ่งไม้หรือเถาวัลย์ขนาดมหึมาโอบรัดเขาไว้แน่น กลิ่นสาบนั้นเองที่ทำให้รู้ว่าไม่ใช่
.
มีเสียงขู่คำรามในลำคอของเจ้าสิ่งนั้น ศักดิ์พยายามต่อสู้ดิ้นรนอย่างสุดกำลัง เขาถูกรัดแน่นจนหายใจไม่ออก กลิ่นสาบก็รุนแรงขึ้นทุกที
ขณะที่คิดว่าเขากำลังจะขาดใจตาย นัยน์ตาก็พร่าแลเห็นแสงไฟฉายกราดมาสับสน
ทันใดนั้นก็มีเสียงปืนดังขึ้นในระยะใกล้หลายนัดก้องราวกับแก้วหูจะแตก
ลำแขนที่รัดไว้ก็คลายปล่อยศักดิ์ให้ตกลงบนพื้นดิน นั่นคือทั้งหมดที่เขาจำได้ก่อนที่จะหมดสติ
.
โปรดติดตามตอนต่อไป อาคันตุกะยามวิกาล และ คนสุดท้าย
ภาพปก อีเห็น(Common Palm Civet)
บันทึก
2
2
2
2
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย