24 ม.ค. 2024 เวลา 14:21 • นิยาย เรื่องสั้น

ล่องไพร วรรณกรรมอมตะ ของ น้อย อินทนนท์ (บรมครูมาลัย ชูพินิจ)

.
ตอนที่ 13 วิมานฉิมพลี ภาค 1
.
8.อาคันตุกะยามวิกาล
.
ลมเย็นที่พัดมาต้องหน้าคือสิ่งแรกที่ศักดิ์รู้สึก เสียงพึมพัมเหมือนหมีกินผึ้ง หรือ พี่เลี้ยงที่ปลอบเด็กเป็นสิ่งแรกที่ได้ยิน เมื่อเผยอเปลือกตาขึ้นหัวคิ้วที่ย่นและฟันที่หลอของตาเกิ้นเป็นสิ่งแรกที่เห็น
.
ใครต่อใครแม้แต่ลูกหาบพากันมามุงทำให้ศักดิ์รู้สึกว่าสภาพปัจจุบันไม่น่าดูเอาเสียเลย จึงพยายามลุกขึ้นแต่ต้องร้องครางออกมา แล้วทรุดลงไปอย่างเก่าเพราะความขัดยอกไปทั่ว
.
ตาเกิ้นเตือนให้นอนนิ่ง ๆ ในขณะที่ไมราซึ่งเผชิญหน้ากับมันในระยะกระชั้นชิดยืนยันว่า เจ้าสิ่งที่คล้ายอุรังอุตังนั้นเป็นมนุษย์อย่างแน่นอน ไมราบอกว่าร่างของมันสูงใหญ่ นุ่งผ้าเตี่ยวผืนเดียว เนื้อตัวจะเต็มไปด้วยขน กลิ่นสาบรุนแรง นัยน์ตาวาวน่ากลัว
.
แต่ทันทีที่มันยื่นมืออกมาตะครุบหล่อน ไมราก็บอกได้ทันทีว่าเป็นมือของมนุษย์ ตอนที่มันจับหล่อนเหวี่ยงเพื่อหันมาเล่นงานศักดิ์ ไมราคว้าขนของมันติดมือมา
.
ขนหรือผมปอยหนึ่งนั้นละเอียดราวเส้นไหมสีบรอนซ์จนเกือบทอง หากเป็นขนสัตว์จะมีสีเทา ดำ หรือ น้ำตาล ข้อสำคัญขนสัตว์ไม่ยาวเช่นนี้ พันเอกโจนส์ก็ยืนยันว่าเขาอยู่ที่นิวกินีหลายปีไม่เคยพบว่าเกาะนี้มีอุรังอุตัง โดยเฉพาะอุรังอุตังที่มีขนสีทอง
.
ศักดิ์สงสัยว่าหากคนอื่น ๆ มาช่วยไม่ทัน ซี่โครงของเขายังอยู่ในสภาพเดิมหรือไม่ โจนส์จึงบอกว่าโชคดีที่ตาเกิ้นเป็นคนเดียวที่มีปืนมาด้วย แต่ก็ปล่อยคนร้ายหลุดมือไป
.
ตาเกิ้นเล่าเหตุการณ์ว่า ทันทีที่แกไปถึง และ พบว่าศักดิ์กำลังถูกรัด แกจะยิงก็กลัวไปโดนเอานายเข้า จึงยิงขู่ซึ่งมันก็ตกใจเปิดป่าราบไป แกมีโอกาสฆ่ามันได้แต่ดวงตาที่ไม่สะท้อนแสงแกจึงรู้ว่าเป็นคน
ขนาดสัตว์ประหลาดหายากนายยังสั่งห้ามยิง นี่เป็นคนแท้ๆ จะยิงได้อย่างไร แต่ถ้านายเป็นอะไรไปแกจะตามล้างถึงโคตร
.
เมื่อกลับถึงแค้มป์พักโจนส์พยายามสอบถามมากาเกี่ยวกับมนุษย์ขนดกนี้ แต่เจ้าคนนำทางก็บอกเพียงว่า นี่คือกังยีที่แปลงตัวมา ครั้นโจนส์ถามว่ากังยีทำไมมีผมสีทองมันก็ตอบไม่ได้ยังคงยืนยันว่าอาคันตุกะยามวิกาลคือกังยีเท่านั้น โจนส์อ่อนใจจึงเดินกลับ
.
ตาเกิ้นพบรอยเท้าของเจ้ายักษ์เคราทอง แกยืนยันว่าเป็นมนุษย์ที่มีร่างกายใหญ่โตกว่าคนธรรมดาและมาคนเดียว มันมาคอยไมราอยู่หลังต้นไม้นานแล้ว
.
โจนส์ข้องใจว่าทำไมเป็นไมรา มันอาจเป็นชาวป่าที่หวังมาขโมยก็เป็นได้ ไมราเห็นด้วยกับตาเกิ้นเพราะหล่อนเป็นผู้หญิงเพียงคนเดียวของคณะและได้เห็นแววตาของมันก็ทราบได้ทันทีจะชาวป่าหรือชาวเมืองก็เหมือน ๆ กัน
.
ร้อยเอกเรืองเสนอให้จัดเวรยามตลอดการเดินทางนับจากนี้ โจนส์ขอรับหน้าที่เป็นยามต้นต่อด้วยดร.สมิท ร้อยเอกเรือง ตาเกิ้น และ ศักดิ์
.
โจนส์ขอร้องไมรา อย่าได้ออกไปไหนตามลำพังอีกเป็นอันขาดซึ่งหล่อนก็แสดงความเสียใจ โจนส์จึงบอกว่าเกิดเหตุเสียในระยะแรกก็ดีจะได้ไม่ประมาท
.
ในราวตี 3 ศักดิ์ตื่นขึ้นมารับเวรจากตาเกิ้น ซึ่งแกบอกว่าได้ออกไปดูที่เกิดเหตุเมื่อตอนหัวค่ำอีกครั้ง แกยืนยันว่ารอยตีนของอ้ายเคราทองเป็นรอยตีนเดียวกับที่แก
พบในหุบเขาที่นกตัวนั้นตก
.
นกตัวนั้นยังไม่ตายมีคน ๆ หนึ่งไปที่นั่นจะเกี่ยวข้องอย่างไรไม่รู้และคน ๆ นั้นมาที่นี่คืนนี้ ตาเกิ้นถามว่าเป็นไปได้หรือไม่ที่เจตนาในการมาครั้งนี้พวกศัตรูรู้กันหมดแล้ว
.
ศักดิ์ "ทำไมจะเป็นไปไม่ได้ นกยักษ์ที่ผู้การโจนส์บอกว่าอยู่ห่างจากเส้นทางคอปเตอร์บินตั้งหลายร้อยไมล์ จู่ ๆ ก็มาโผล่ แล้วเข้าโจมตีโดยไม่มีเหตุผล
จู่ ๆ ก็มีคนมาโผล่จุดที่มันตกแล้วนกตัวนั้นก็หายไป แล้วจู่ ๆ คน ๆ นั้นก็ตามแหม่ม
ไมรามาที่นี่"
.
หมายเหตุ! อุรังอุตัง เป็นชื่อลิงขนาดใหญ่ รูปร่างคล้ายคน ขนตามลำตัวยาวหยาบรุงรังสีน้ำตาลแดง แขนยาว ขาสั้น หูเล็กลักษณะเหมือนหูคน ตัวผู้มีถุงลมขนาดใหญ่ใต้คอหอย กระพุ้งแก้มห้อยย้อยเป็นถุงขนาดใหญ่
.
อาศัยอยู่บนต้นไม้ กินผลไม้ ตาและยอดอ่อนพืช แมลง ไข่นก และ สัตว์ขนาดเล็กอื่น ๆ มี 2 สายพันธุ์ คือ พันธุ์สุมาตรา และ พันธุ์บอร์เนียว
.
9.คนสุดท้าย
.
คืนนั้นผ่านไปโดยไม่มีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้น คืนต่อ ๆ มาก็เช่นเดียวกัน ตลอด 3 วันเต็มของการเดินทางคือมุ่งขึ้นสู่ทิศตะวันตกเฉียงเหนือเรื่อยไป
.
ข้ามเทือกเขาใหญ่ซึ่งเป็นต้นกำเนิดของแม่น้ำอันไหลลงสู่อ่าวปาปัว ภูมิประเทศเป็นพื้นที่กว้างปกคลุมด้วยป่าละเมาะโปร่ง ๆ และ บึงใหญ่น้อยที่ต่อเนื่องกันไป
.
ครั้นแล้วก็เข้าสู่ป่าใหญ่ มืดมิดแทบไม่เห็นแสงเดือนแสงตะวัน บรรดาต้นไม้ดูใหญ่และสูงเบื้องล่างมีแต่ความชื้นแฉะเพราะแดดส่องไม่ถึง เบื้องบนก็ปกคลุมด้วยเมฆหมอก
.
บางวันก็แทบจะหาที่ก่อไฟหุงต้มไม่ได้ บางคืนต้องจับเจ่าหลับนกอยู่ข้างกองไฟเพราะแมลงรบกวนตลอดรุ่ง
ยุงซึ่งเป็นสื่อของมาลาเรียชนิดร้ายแรงที่สุดในนิวกินีก็ยังไม่น่าหวาดกลัวเท่าฝูงทาก ที่คอยสูบเลือดจนซีดไปทั้งกาย ยาทาป้องกันสมัยใหม่ก็ยังเอาไม่อยู่
 
.
ดังนั้นทุกคนจึงรู้สึกเหมือนขึ้นสวรรค์เมื่อพ้นจากดงทึบที่เปรียบเสมือนนรกสีเขียวเสียได้ ออกสู่ความสว่างแสงแดดอบอุ่นของวันที่5นับแต่ออกจากเม็นยามา
.
ระหว่างเทือกเขาสูงทาบขอบฟ้าที่ยาวเหยียดอยู่ข้างหน้าเป็นท้องทุ่งสูง ๆ ต่ำ ๆ ทอดยาวไปจรดชายป่าทั้งซ้ายและขวา ไกลออกไปที่เชิงเขาตรงกันข้ามควันไฟสีน้ำเงินอ่อนลอยขึ้นมาจากชายป่า
.
กระท่อมชาวพื้นเมืองตั้งเรียงรายอยู่หลายสิบหลัง ท่ามกลางหมู่บ้านนี้เองมีโบสถ์
ฝรั่งตั้งอยู่ ยอดอันเพรียวพร้อมด้วยไม้กางเขนเหนือยอดนั้นเห็นได้ชัดกว่าหลังคากระท่อมใด ๆ
"ไวซายา" มากาบอกอย่างภาคภูมิใจ
.
พันเอกโจนส์ใช้นิ้วเคาะที่ศีรษะอย่างใช้ความคิดเหมือนเคยได้ยินชื่อนี้ที่ไหนมาก่อน ทันใดนั้นเขาก็ดีดนิ้วหันไปจับไหล่ไมราเขย่า "บาทหลวงเอ็สบีโนซ่า เดอ ทอเรส นี่เอง"
 
.
ไมรา "ก็ใครกันล่ะคะ บาทหลวงเอ็สบีโนซ่า เดอ ทอเรส คนนี้"
.
"ท่านเป็นบาทหลวงนิกายเย็สวิต เชิ้อสายชาวสเปนมาตั้งรกรากที่นิวกินีหลายชั่วอายุคนแล้ว ตอนสงครามโลกครั้งที่ 2 ท่านมีบทบาทสำคัญอยู่หลังแนวรบ จนทำให้ขับไล่ญี่ปุ่นออกไปจากนิวกินี
.
กระทั่งญี่ปุ่นสงสัยต้องการจับกุมท่าน หลวงพ่อก็เลยหายไป ฉันได้ข่าวจากคนรับใช้ชาวพื้นเมืองของท่านก่อนสงครามยุติเพียงนิดเดียว ไม่นึกว่าท่านจะหนีมาไวซายา"
.
แม้เหตุการณ์นี้จะผ่านมาเกือบ 20 ปีแล้ว โจนส์ก็หวังว่าท่านจะยังมีชีวิตอยู่ เพราะโบสถ์ของท่านยังตั้งอยู่ที่นั่น ไมราเองก็ภาวนาขอให้มีน้ำและไฟเพื่อจะได้อาบน้ำ
อุ่น ๆ
.
เมื่อขบวนของพวกเขาตัดข้ามทุ่งใกล้หมู่บ้านเข้าไป ศักดิ์เริ่มรู้สึกประหลาดใจที่ไม่มีวี่แววความเคลื่อนไหวของสิ่งมีชีวิต ไม่มีแม้แต่เสียงสุนัขเห่า ยิ่งใกล้ก็ยิ่งวังเวง ควันไฟที่เห็นแต่ไกลมาจากซากของกระท่องหลังหนึ่งซึ่งไหม้เหลือแต่เสา
.
โจนส์สั่งให้มากาเข้าไปดูในโบสถ์ว่ามีใครอยู่บ้าง แต่มากาอึกอักอยู่นานก่อนที่จะบอกว่า "ลองตะโกนเรียกดูก่อนไม่ดีกว่ารึ นาย"
.
โจนส์ได้ฟังก็ก้มลงมองเจ้าคนนำทางจากความสูงของเขา "แกกลัวอะไรของแก มากา"
.
"บอกไม่ถูก นาย มากาไม่ชอบที่มันเงียบเหมือนป่าช้า เรือนมีแต่ไม่มีคน ไวซายาไม่เคยเป็นอย่างนี้ ไม่มีผู้ใหญ่ก็ควรมีเด็ก ไม่มีคนก็ควรมีหมา"
.
"ครั้งสุดท้ายแกมาที่นี่เมื่อไหร่"
.
"3 ปี มาแล้ว นาย คนขาวสวมเสื้อดำยังอยู่ที่นั่น" มากาชี้ไปที่โบสถ์
.
"มันหมายถึงหลวงพ่อทอเรสน่ะไมรา" โจนส์หันมากระซิบแล้วพูดต่อว่า "ดีละ เมื่อแกไม่กล้าเข้าไป ฉันเองจะ...."
เขาพูดไม่ทันขาดคำ เสียงระฆังที่ยอดโบสถ์ก็ดังเหง่ง ๆ ขึ้น มันดังเพียง 2-3 ครั้งแล้วก็เงียบ เสียงของมันทำให้ทุกคนสะดุ้ง
.
ตาเกิ้นเป็นคนที่คุมสติได้ก่อน แกวิ่งปราดไปที่ประตูโบสถ์ที่ปิดสนิทใช้ไหลดันจนมันเปิดแง้มแล้วลอดเข้าไป ไม่ถึงอึดใจแกก็วิ่งหน้าซีดกลับมา
"อย่าให้คุณนายไมราเข้ามาดีกว่า นาย"
.
"เกิดอะไรขึ้น ตาเกิ้น ข้างในมีอะไร" ศักดิ์ถามในขณะที่พันเอกโจนส์และร้อยเอกเรืองวิ่งผ่านเข้าประตูไป
.
"เข้าไปดูเองเถอะ นาย" ตาเกิ้นเสียงสั่น
.
ตอนนั้นเองที่ไมราขยับจะเข้าประตู โจนส์ที่ก้าวออกมาพอดีจึงห้ามแต่หล่อนไม่ฟังพยายามเบียดเข้าไปจนได้ สักครู่ก็มีเสียงอุทานเบา ๆ "โอ้ พระผู้เป็นเจ้า เป็นไปได้หรือนี่"
.
ศักดิ์แม้เคยเห็นความตายที่สยดสยองมาเพียงใดก็ไม่เหมือนภาพตรงหน้า ภาพของเด็ก-คนชรา และชายหญิงนอนตายเกลื่อนหน้าแท่นบูชาในท่าต่าง ๆ กัน กลิ่นคาวเลือดคละคลุ้งไปหมด
.
ไมรายกมือทั้ง2ขึ้นปิดหน้าทำท่าจะเป็นลม ศักดิ์จึงรีบประคองเธอไปส่งดร.สมิทที่ยืนอยู่หน้าประตูแล้วย้อนกลับเข้าไปใหม่
มีเสียงตะโกนให้เปิดประตูหน้าต่างทุกบานออกสภาพภายในโบสถ์จึงแจ่มชัดขึ้น โจนส์ถึงกับอึ้งยอมรับว่า ความทารุนของทหารญึ่ปุ่นบางหน่วยตอนสงครามโลก
ครั้งที่ 2 ยังไม่โหดเท่านี้
.
ศพชาวบ้านที่นอนตายทับถมนับรวมได้ 50 คน ดูเหมือนคนทั้งหมู่บ้านจะถูกต้อนมาตายรวมกันที่นี่ ทุกศพล้วนถูกของมีคม เพราะชาวบ้านเหล่านี้เป็นเผ่าคูมัน โจนส์จึงคิดว่าผู้ทำร้ายคือเผ่าคูกูคูกู
.
มากาค้านว่าคูกูคูกูจะฆ่าเด็กและคนแก่แต่ไม่ฆ่าผู้หญิง และไม่ตัดหัวคนเพราะเกรงวิญญาณผู้ตายจะคอยรังควาญ แต่เมื่อโจนส์ถามว่าเป็นฝีมือของใคร มากาก็มีท่าทีหวาดกลัวไม่กล้าพูด
.
ไมราสงสัยว่าหลวงพ่อทอเรสหายไปไหน โจนส์เข้าใจว่าอาจถูกคนร้ายจับตัวไป แต่จะเพื่ออะไรเขาไม่อาจตอบได้ เมื่อไมรายื่นเส้นผมสีทองที่หล่อนพบในมือเด็กที่ตายให้โจนส์ดู เขาถึงกับอุทาน
.
เส้นผมนั้นเหมือนกันกับเจ้าคนที่บุกที่แค้มป์เพื่อทำร้ายไมราในคืนแรกที่มาจากเม็นยามา แล้วยังได้รับการยืนยันจากตาเกิ้นที่ออกไปสำรวจร่องรอยต่างๆอีกว่ารอยเท้า
ที่พบเป็นคนุเดียวกับยักษ์เคราทองแน่นอน
.
มันฆ่าทั้งคนทั้งหมายกเว้นหมูกะแกะมันต้อนเอาไป ส่วนหลวงพ่อทอเรสไม่พบร่องรอยใด ๆ แม้จะกระจายกำลังกันตามหาท่านโดยรอบก็ไม่พบ พบเพียงเจ้ายักษ์ผมทองพาสมุนมาด้วยนับสิบ
.
เพราะคนตายเหล่านี้เป็นคริสตังแล้วทั้งนั้น โจนส์จึงสั่งให้ขุดหลุมใหญ่แล้วฝังคนเหล่านี้ไว้ร่วมกัน กว่าจะแล้วเสร็จเวลาก็ใกล้ค่ำ พวกเขาจึงเลยไปตั้งแค้มป์ที่ข้างลำธารชายป่าห่างจากหมู่บ้านประมาณครึ่งกิโลเมตรเศษ
.
กว่าจะหุงหาอาหารรับประทานและอาบน้ำเสร็จเวลาก็มืดลงพอดี ในคืนก่อนๆเสียงคุยเสียงหัวเราะมีน้อยอยู่แล้ว คืนนี้ถึงกับเงียบเลยทีเดียว มากาและลูกหาบของมันนอนขดตัวนิ่งข้างกองไฟ ไมรานั่งกอดเข่าอยู่ข้างสามี ไม่มีใครพูดอะไรกันเลย
.
ความเคร่งเครียดกับเหตุการณ์เมื่อกลางวันกระจายอยู่ในทุกคน โจนส์ถึงกับพื้นเสียความเงียบที่เกิดขึ้นทำให้เขาแทบบ้า หูแว่วเสียงต่าง ๆ ไม่ว่าเสียงหัวเราะ เสียงร้องของเด็ก ๆ
.
ดร.สมิทส่งบรั่นดีให้ด้วยใบหน้าที่ใจดีทำให้โจนส์ได้สติและขอโทษ ไมราตอบว่า
ทุกคนต่างก็อยู่ในสภาพนี้ด้วยกันทั้งนั้น เมื่อโจนส์ถามศักดิ์ว่าจะทำอย่างไรต่อไป
.
ศักดิ์ตอบว่า "มี 2 ทางเลือก คือ 1. ตั้งหน้าเดินทางไปสู่หมู่บ้านในเชิงเขาเฮเกิ้นซึ่งเป็นเป้าหมายในการเดินทางครั้งนี้ และ 2. ติดตามพวกปล้นและสังหารหมู่ชาวบ้านไวซายา เพราะ 2 กรณีนี้มีความเกี่ยวขัองกัน"
.
จู่ ๆ โจนส์ก็หยุดชะงัก เขาคิดว่าได้ยินเสียงระฆัง แต่ก็ไม่มีใครได้ยินอะไร นอกจากเสียงแมลงและน้ำในลำธารเท่านั้น ไมราคิดว่าอุปาทานทำให้หูของเขาได้ยินเช่นนั้น
.
แล้วหล่อนก็หยุดชะงัก ไกลออกไปในความมืดสนิทของเชิงเขาซึ่งหมู่บ้านร้างไวซายาตั้งอยู่ เสียงเหง่งหง่างของระฆังดังกังวานตามสายลมอย่างเยือกเย็น เพียงไม่ถึงอึดใจมันก็เงียบหายไป
.
เพื่อพิสูจน์ความจริง โจนส์ ไมรา ศักดิ์ และ ตาเกิ้น จึงไปให้เห็นกับตา ส่วนทางนี้ให้ร้อยเอกเรือง และ ดร.สมิทอยู่กับลูกหาบ
ถ้าในเวลากลางวันมันจะอ้างว้างวังเวงอยู่แล้ว เวลากลางคืนซึ่งมืดสนิทเปล่าเปลี่ยวและว้าเหว่พร้อมด้วยสายลมเย็นจากชายเขา ความรู้สึกนั้นจึงเพิ่มขึ้นอีกหลายเท่า
.
กำลังที่พวกเขาก้าวเข้าไปภายในรั้วเตี้ย ๆ ที่กั้นบริเวณโบสถ์นั่นเอง เสียงระฆังก็ดังขึ้นหง่างเดียวเท่านั้นก็เงียบหายไป โจนส์ชักปืนสั้นถือไว้ ถึบประตูเปิดออกส่องไฟฉายในมือเตรียมยิง
.
"อย่ายิง นายทหารใหญ่" ตาเกิ้นร้องลั่น ปัดปืนในมือของโจนส์เบนไป เสียงระเบิด
กึกก้องของปืนและเสียงของโจนส์ "นี่แกมาขัดขวางฉันทำไม"
.
"มีฝรั่งแต่งชุดดำอยู่ในนั้น" ตาเกิ้นกระหืดกระหอบ
.
แสงไฟฉายในมือโจนส์ส่องไปที่ร่างตะคุ่มหน้าแท่นบูชา เมื่อร่างนั้นหันกลับมาศีรษะที่ไร้ผม นัยน์ตาที่บวมปูดแทบปิด เคราอันดกที่เกรอะกรังด้วยโลหิตที่แห้งแล้วโจนส์ถลาเข้าไปหา "หลวงพ่อทอเรส"
.
"คุณ...คุณ" เท่านั้นเองนัยน์ตาทั้งคู่ก็หรี่หลับ คอตกพับซบกับทรวงอกของโจนส์ที่ขอร้องให้ศักดิ์ช่วยพยุงร่างของท่านที่มีน้ำหนักไม่น้อยไปกว่าตัวของศักดิ์ใส่บ่าของเขา
ขณะที่ขบวนเคลื่อนออกจากโบสถ์ทุกคนก็ได้แต่ภาวนาว่า มันจะไม่สายเกินไป.........
.
โปรดติดตามตอนต่อไป เรื่องจากหลวงพ่อทอเรส และ ตั้งแต่ตอนนี้เป็นต้นไป บทเจรจาของตาเกิ้นและตัวละคนอื่น ๆ ในเรื่องจะพูดกันโดยตรง ตัดคุณศักดิ์ที่คอยแปลออก
ภาพปก แมวลายบิดขี้เกียจ จากรักดอกไม้ ธรรมชาติ และสัตว์เลี้ยงน่ารัก
โฆษณา