25 ม.ค. เวลา 06:23 • กีฬา

ในวันที่รู้ว่าลูกชายจะตาบอด โมเมนต์เศร้าของโอเว่น

ถ้าลูกชายที่เป็นความหวังในชีวิต อยู่ๆ สายตาก็มองไม่เห็นขึ้นมา คนเป็นพ่อคงรับมือยากอยู่เหมือนกัน
1
เมื่อเราพูดถึง "ตระกูลโอเว่น" นี่คือสายเลือดนักฟุตบอลที่สืบต่อดีเอ็นเอกันมารุ่นสู่รุ่น
เทอร์รี่ โอเว่น เป็นนักเตะอาชีพกับเอฟเวอร์ตัน แจ้งเกิดในปี 1966 จากนั้นลูกชายไมเคิล โอเว่น เป็นนักเตะอาชีพกับลิเวอร์พูล แจ้งเกิดในปี 1996 ซึ่งทุกคนทราบดีว่า ไมเคิลได้ก้าวไปสู่จุดสูงสุด ด้วยการคว้ารางวัลบัลลงดอร์มาแล้ว
ไมเคิล โอเว่น มีลูกทั้งหมด 4 คน คือ เจสซิก้า, เจมม่า, เอมิลี่ และ เจมส์ โดยทั้งหมดนี้มีลูกชายเพียงคนเดียวคือ เจมส์ ดังนั้นไม่แปลกที่มีความคาดหวังเด็กคนนี้เยอะ ว่าจะสานต่อความสำเร็จที่ปู่ และพ่อ เคยทำได้ ก้าวสู่เส้นทางนักเตะอาชีพไปอีกคน
ในช่วงที่เป็นเยาวชน เจมส์ มีพรสวรรค์ในฐานะนักเตะอยู่เหมือนกัน โดยไมเคิลเคยกล่าวว่า "ผมพูดกับพ่อ และภรรยาของผม ว่า 'เจมส์มีโอกาสดีนะ ที่จะได้เป็นนักเตะอาชีพ' "
แต่ปัญหาคือ ตอนเจมส์อายุ 13 ปี อยู่ๆ การเล่นฟุตบอลของเขาก็เปลี่ยนไป เขา "มองเห็นไม่เหมือนเดิม" อธิบายคือ จากที่เคยมองเห็นชัดเจน ก็เริ่มมองไม่เห็น เขาไม่เห็นลูกบอล ถ้าไม่อยู่ในระยะ 5 เมตร เขามองภาพกว้างในสนามไม่ได้ เพราะมองไม่ค่อยเห็นอะไรเลย ไม่รู้ว่าบอลเด้งไปทางไหน
เจมส์เล่าว่า "ผมอยากเล่นฟุตบอลเก่งที่สุด แต่ถึงจุดหนึ่ง ผมเล่นไม่ได้ เพราะมันยากเกินไป ที่จะรู้ว่าลูกบอลกำลังกลิ้งไปทางไหน"
ช่วงแรก โอเว่นก็ไม่รู้ว่าลูกชายเป็นอะไร ทำไมการเคลื่อนที่ในสนามฟุตบอลแปลกๆ ตอนแรกก็คิดว่า ลูกฝีเท้าไม่พัฒนาเองหรือเปล่า เขาพยายามแนะนำเท่าไหร่ก็ไม่ได้ผล
แต่ทว่าเจมส์ ไม่ได้มีพฤติกรรมที่แปลกๆ แค่ในสนาม นอกสนามก็มี เช่น เวลาถ่ายรูปครอบครัวไม่ยอมมองกล้อง หรือ เวลาจับมือกับใครแล้วไม่ค่อยมองตา โอเว่น ก็จะดุลูกว่า ทำไมลูกไม่ทำแบบนั้น ลูกไม่ทำแบบนี้
แต่เมื่อมันมีอาการแบบนี้มากขึ้น โอเว่นจึงพาลูกชายไปปรึกษาจักษุแพทย์ และผลการวินิจฉัย ลูกชายของเขาเป็นโรคชื่อ "Stargardt Disease" หรือชื่อไทยคือโรคจุดภาพชัดของจอตาเสื่อม
1
นี่เป็นโรคที่หายาก ในประเทศอังกฤษ มีรายงานว่า เด็ก 10,000 คน จะมีแค่ 1 คนที่เป็นโรคนี้ โดยอาการของ Stargardt Disease คือตาจะค่อยๆ มองไม่เห็นไปเรื่อยๆ
จากเดิมที่เคยเห็นชัดทุกอย่าง ก็จะเห็นน้อยลง น้อยลง เริ่มเห็นแค่ระยะใกล้มากขึ้นเรื่อยๆ และในปัจจุบัน เจมส์อายุ 18 ปี สายตาเขามองเห็นโลกแบบเบลอๆ เห็นแค่เป็นรูปทรง และเป็นสีแค่นั้น
คนเป็นโรคนี้ จะอ่านหนังสือไม่ได้ เพราะมองไม่เห็นตัวอักษร, ดูกีฬาไม่รู้เรื่อง เพราะไม่เห็นว่านักกีฬาคนไหนได้บอลอยู่, ขับรถไม่ได้ เพราะไม่สามารถใช้ท้องถนนได้อย่างปลอดภัย
คือแม้จะไม่ใช่ผู้พิการ คือพอมองเห็นบ้าง แต่สภาพสายตา จะเห็นเบลอทุกอย่าง ไม่สามารถใช้ประโยชน์อะไรจากการมองเห็นได้เลย
โอเว่นพยายามหาหนทางรักษาลูก ไปหาแพทย์ชื่อดังมาแล้วหลายคน แต่คำตอบจากแพทย์คือ "ยังไม่มีวิธีรักษาในตอนนี้"
โอเว่นทรมานใจอย่างมาก เขาให้สัมภาษณ์ว่า "เวลาคุณนั่งอยู่ในผับ แล้วมีคนเดินมาถามว่า 'ลูกชายของนายไม่เล่นฟุตบอลเหรอ?' คุณอยากจะเปลี่ยนบทสนทนาไปเลย นี่คือสิ่งที่ทรมานใจผมมากที่สุดในช่วงหลายปีที่ผ่านมา"
"ผมไม่ยอมรับความจริง พยายามจะไปหาหมอทุกเดือน เพื่อพาลูกไปตรวจดวงตา หวังว่าอาการจะดีขึ้นทีละนิด หรือว่าวันหนึ่งหมอจะมีวิธีรักษาใหม่ๆ ขึ้นมา แต่สุดท้ายก็ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง"
1
นอกจากนั้นเขาก็เสียใจด้วย ที่ตอนลูกเด็กๆ เขาด่าว่า ลูกไปเยอะ ตอนเล่นฟุตบอลไม่ได้ดั่งใจพ่อ หรือเวลาสายตาไม่ยอมมองโฟกัสดีๆ เขาไม่รู้เลยด้วยซ้ำ ว่าลูกป่วย ตอนแรกคิดว่าลูกแค่เตะบอลไม่ได้เรื่อง หรือชอบที่จะกวนคนอื่นเฉยๆ
เมื่อความจริงออกมาแบบนี้ โอเว่นยอมรับว่าผิดหวังในตัวเองมาก ที่เป็นพ่อที่ไม่เข้าใจลูกเลย
3
สำหรับมุมของเจมส์ เขาก็ทุกข์ใจเหมือนกัน เขาเล่าว่า "ตอนผมเด็กๆ ผมนั่งเสียใจทุกวัน ทำไมเรื่องแบบนี้ต้องมาเกิดกับผม ทำไมผมขับรถไม่ได้ ทำไมผมทำสิ่งนี้ สิ่งนั้นไม่ได้ แต่ที่เสียใจที่สุด คือโมโหแค่ไหน ก็แก้ไขอะไรไม่ได้อยู่ดี"
"ผมอ่อนไหวง่ายมาก เวลาพูดถึงเรื่องการมองเห็น ผมมองคุณค่าของตัวเองตอนนั้นแค่เป็นคนตาใกล้พิการเท่านั้นเอง"
1
อย่างไรก็ตาม พอเวลาผ่านไปสักระยะ เจมส์ก็เริ่มใจเย็นลง เขาไม่ตีโพยตีพาย ยอมรับความจริง แล้วพยายามหาหนทางใช้ชีวิตไปกับมัน
สิ่งที่ทำให้เขายืนหยัดได้ คือวิธีการมองโลก จากคนที่มองโลกในแง่ร้าย คิดว่า ทำไมไม่สามารถทำอะไรได้เหมือนคนอื่น เขาหันมามองโลกในแง่ดีว่า แล้วคิดว่า สภาพร่างกายที่มี สามารถทำอะไรได้บ้าง
1
"ผมเริ่มหาทริกบางอย่าง เพื่อใช้ในชีวิตประจำวันให้ได้ เช่น เวลาไปข้างนอก ผมจะจำสีเสื้อของคุณพ่อเอาไว้ คือผมเห็นหน้าเขาเบลอๆ ไม่รู้ว่าเป็นเขาหรือเปล่า แต่ผมยังพอจดจำสีได้ และรู้ว่าอ๋อ พ่อยืนอยู่ตรงนี้"
"ผมเริ่มหาสิ่งที่ผมทำได้ ผมเริ่มเล่นฟุตซอล สำหรับคนที่สายตามองไม่เห็น รวมถึงมองหาลู่ทางการต่อยอดธุรกิจของที่บ้าน อนาคตถ้าพ่อเกษียณไป ผมก็อยากโตขึ้นมาเป็นคนรับผิดชอบที่บ้านด้วยตัวเอง"
2
นอกจากนั้น เจมส์ ยังตั้งใจจะให้ความรู้กับคนที่เป็นโรค Stargardt Disease ให้มากที่สุด เด็กหลายคนที่อังกฤษ ไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าเป็นโรคนี้ ทำให้พออาการแย่ลงกะทันหันจะใช้ชีวิตได้ลำบากมาก ตัวเจมส์ที่ผ่านจุดนี้มาแล้ว สามารถช่วยเหลือคนที่เป็นโรคนี้ได้ แนะนำว่าจะเดินหน้าใช้ชีวิตอย่างไรในอนาคต
เมื่อเห็นลูกชายเข้มแข็งขึ้น โอเว่นก็ได้รับพลังนี้มาด้วย เขากล่าวว่า "ผมเริ่มเรียนรู้ว่า ถ้ามีปัญหาอะไร เราก็ค่อยๆ แก้กันไปก็ได้ ถ้าเจมส์ขับรถไม่ได้ ผมก็ขับให้เขาเอง หรืออย่างตอนที่เราไปเยี่ยมคุณปู่ บทสนทนาของเราก็มักจะเป็นเรื่องฟุตบอล แต่พอเรารู้ว่า เขาดูบอลไม่ได้ ดังนั้นเราก็จะเปลี่ยนไปคุยเรื่องอื่นแทน ที่เขาเข้าใจมากขึ้น"
1
"มันยากมากที่จะยอมรับในช่วงแรก เพราะคนเป็นพ่อ ก็อยากให้ลูกมีชีวิตที่สมบูรณ์ แต่ผมมาคิดว่า มันก็แค่ทางขรุขระในถนนชีวิตของเจมส์แค่นั้นเอง"
"แน่นอน การมองไม่เห็น มันเป็นสิ่งที่จะต้องอยู่กับเขาไปตลอด แตในชีวิตของคนเรา ก็ต้องมีเรื่องเลวร้ายสัก 1-2 อย่าง ผมเองก็มี เขาเองก็มี ดังนั้นผมอยากขอบคุณเจมส์ ที่มองโลกในแง่ดีเสมอ"
2
ตอนนี้ พ่อลูกไมเคิล-เจมส์ ได้ถ่ายทำสารคดี เรื่อง Football is for Everyone จะฉายลงช่อง TNT Sports เล่าเรื่องราวชีวิตจริงของลูกชาย จากเด็กที่มีแวว มีลุ้นเป็นนักเตะอาชีพได้ ต้องกลายมาเป็นคนที่สายตามองไม่เห็น
โดยทั้งคู่ว่าหวังว่า สารคดีนี้ จะทำให้คนได้รู้จัก Stargardt Disease มากขึ้น และยืนยันว่า คนที่เป็นโรคนี้ สามารถใช้ชีวิตต่อไปได้ แม้สายตาจะไม่ปกติเหมือนคนอื่นก็ตาม
ส่วนตัวแล้ว ผมเคยได้ยินเรื่องของลูกโอเว่น ตั้งแต่สัก 5 ปีก่อน ตอนนั้นเจมส์ยังมองเห็นบ้าง แต่ในปัจจุบันนี้ เขามองอะไรไม่รู้เรื่องแล้ว ทุกอย่างคือเบลอหมด
พอเห็นสายตาของเจมส์ในปัจจุบัน ผมก็แอบเฮิร์ทแทนไมเคิล โอเว่นเหมือนกันครับ ลองคิดดูนะ ว่าลูกชายของเรา ที่แบบ เป็นเหมือนความหวัง เหมือนจิตวิญญาณของเรา อยู่ๆ ตาก็เริ่มมองไม่เห็น
อาจจะตาไม่บอด แต่ก็อ่านหนังสือไม่ได้ ดูหนังไม่ได้ ขับรถไม่ได้ เขาจะพลาดหลายๆ อย่างในชีวิต คนเป็นพ่อเมื่อรู้ว่าลูกต้องเป็นแบบนี้มันก็มีแต่เสียใจ
ลองคิดดูกับตัวผมเอง ถ้าผมเขียนหนังสือสักเล่ม แต่ลูกไม่สามารถอ่านได้ มันก็เศร้าเหมือนกันเนอะ
แต่สิ่งที่ทำให้สังคมอังกฤษ ประทับใจครอบครัวโอเว่น คือวิธีการ React กับสิ่งที่เกิดขึ้น กล่าวคือ สุดท้ายเมื่อเรื่องมันเกิดไปแล้ว บางทีการคร่ำครวญ โทษโชคชะตา ก็อาจไม่ใช่ทางออก เพราะมันก็เปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้
1
ตรงข้าม การมองหาวิธีการใช้ชีวิต ในสภาพที่เป็นอยู่ ให้กำลังใจกัน และช่วยมองหาวิธีที่จะทำให้ชีวิตมีความสุขแบบที่พ่อลูกโอเว่นทำ อาจเป็นคำตอบที่ดีที่สุดแล้วก็เป็นได้ครับ
1
โฆษณา