“ฉิบหายแน่”

บทสรุปสุดท้าย (20/3)
หลังจากบ้านปากเหม็น ได้ส่งของขวัญ 2 ลูกใหญ่
ไปให้ญี่ปุ่นแล้ว…และทุกอย่างก็เป็นไปตามที่บ้านปากเหม็นต้องการ
รวมทั้งเป็นตามที่พวก CFR ทำการบ้านอย่างครบถ้วนแล้ว
บ้านปากเหม็น จึงไม่รีรอให้เสียเวลา …
จัดการออกการประกาศ “ยกเลิก” โครงการ Lend Lease ทันที
ก็สงครามจบแล้วนี่ …จะมีความจำเป็นต้องมาขอยืม ขอใช้อะไรกันอีก
เขาว่ารัฐบาลใหม่ของเกาะนิ้วก้อย …ที่เพิ่งชนะการเลือกตั้ง…
รวมทั้งท่านหลอดเชอร์ชิล (ที่แพ้การเลือกตั้งในครั้งนั้น
อย่างไม่อยากจะเชื่อ ว่าตัวเองจะแพ้การเลือกตั้งครั้งนั้นได้)
เมื่อรู้ข่าวเรื่องบ้านปากเหม็น ยกเลิก Lend Leaseไปแล้ว
โดยไม่บอกกล่าวกันก่อน …ถึงกับตาเหลือก …
และแสดงอาการโกรธจัด ปนผิดหวังอย่างรุนแรง
ทำไมล่ะ …ไหนรับปากเราแล้วนี่ ว่าจะให้ใช้เงิน Lend Lease
อีกจำนวน 7 พันล้านเหรียญ เพื่อให้บ้านเราเอามาใช้ในการซ่อม
บ้านเมืองไง…แล้วทีนี้ เราจะไปเอาเงินจากไหนกันล่ะ…
เกาะนิ้วก้อย มีภาระที่จะต้องรีบเร่งซ่อมบ้านซ่อมเมืองของตัว
และของบรรดาอาณานิคมของตัว ที่ก็ฉิบหายยับเช่นกัน …
ต้องเร่งทำการผลิตสินค้า เพื่อเอาไปขายเพื่อเอาเงินมาเป็นค่าซ่อม
สิ่งต่างๆที่กล่าวมาแล้ว และอื่นๆ อีกมาก…เช่น งบประมาณของแผ่นดิน
และของพระราชวงศ์ ที่ยังค้างคา รอการเบิกจ่ายอยู่
1
แล้วหัวหน้ารัฐบาลใหม่ของเกาะนิ้วก้อย ก็เลยต้องกัดฟัน
ส่งทีมของตัว …ไปคุยกับ “ทีมใหม่” ของบ้านปากเหม็น …
ที่อยู่ภายใต้การดูแล ของท่าน ปธน ทรูแมน
ที่คนบ้านปากเหม็นส่วนใหญ่ในช่วงนั้น …
(ยัง) มองว่าเขาเป็นไก่อ่อน และ สุดบื้อ
ดูเหมือนแนวโน้มว่า “อย่างเก่ง” ที่ทางเกาะนิ้วก้อยจะได้รับ
จาก “ท่านบื้อ” ก็คือในรูปเงินกู้ ที่มีดอกบานแฉ่ง…
ส่วนระยะเวลาใช้หนี้คืน …อาจจะพอคุยกันได้บ้าง
แต่…เกาะนิ้วก้อย “ต้องรับปาก” ที่จะทำการบ้านให้กับบ้านปากเหม็น
อีกหลายเรื่อง อย่างที่เกาะนิ้วก้อยนึกไม่ถึง …ว่าตนเองจะมีวันอย่างนั้น
ที่ผมเล่ามาข้างต้นนั้น …มันเป็นเพียงแค่การเปิดฉากใหม่
ของโลกเรา…ที่มีการเปลี่ยนแปลงไปเกือบสิ้นเชิง…
จากการที่บ้านปากเหม็น “โดยการตัดสินใจ” ของ ปธน ทรูแมน
มีคำสั่งให้บ้านปากเหม็น ใช้อะตอมมิคบอมบ์ 2 ลูก กับญี่ปุ่น…
มันเป็นปฏิบัติการ ที่เหี้ยมโหด… อย่างที่ไม่เคยมีใครเคยทำมาก่อน
และโดยใช้ข้ออ้างว่าเพื่อเป็นการ “ยุติ” สงครามโลกที่กำลังดำเนินอยู่
และมันก็ได้ผล อย่างที่บ้านปากเหม็นต้องการ ครบถ้วน
ทั้งด้านความเสียหายของสรรพสิ่งต่างๆ และจิตใจของผู้ตกเป็นเหยื่อ
อย่างยากที่จะบรรยายให้เหมือนของจริงและความรู้สึกจริง …
ที่พวกเหยื่อต้องโดนกัน
ภาพดอกเห็ดยักษ์พวยพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า ซึ่งกลายเป็นสีแดงฉานอย่างน่ากลัว
กินบริเวณไปไกลสุดสายตา …เสียงสั่นสะเทือนดังก้องไปหมด
และอย่างยาวนาน อย่างที่มนุษย์เราน่าจะไม่เคยได้ยินมาก่อน
พร้อมกับตึกรามบ้านช่องที่พังทลาย หายวับไปกับตา …
มันคงเหมือนฝันร้ายอย่างที่สุด …
ที่ชั่วชีวิตของใครที่ต้องประสบ ก็คงไม่มีวันลืม
เมื่อสงครามโลกจบสิ้นลงใน เดือนสิงหาคม คศ 1945…
ระบบต่างๆ ที่เคยใช้กันอยู่ในยุโรป …ตามที่มหาอำนาจในยุโรป
กำหนด หรือ ใช้บังคับ …ก็ดูเหมือนจะจบสิ้นไปพร้อมกันด้วย
ตัวใหญ่ตัวสำคัญในยุโรป ไม่ว่าจะอยู่ฝ่ายไหน
ของการทำสงคราม… เช่น เยอรมัน, อิตาลี และ ฝรั่งเศส
ต่างก็พังพินาศย่อยยับ ไปเกือบทั้งประเทศ เช่นเดียวกันหมด
ส่วนเกาะนิ้วก้อย มหาอำนาจผู้เริ่มสงคราม
และ “เป็นผู้ชนะ” ในสงครามโลกครั้งที่ 2
นอกจากบ้านเมืองจะฉิบหายพังยับแล้ว…ยังมีหนี้สินล้นพ้น…
และเศรษฐกิจของประเทศอยู่ในสภาพล้มละลาย …
ในตอนนั้น…โลกเรา เหลือมหาอำนาจ เพียง 2 ประเทศเท่านั้น
คือ บ้านปากเหม็น …ซึ่งเมื่อสงครามโลกจบสิ้นลง…
เศรษฐกิจของบ้านปากเหม็น กลับยังอยู่ในสภาพแข็งแรงดีและมั่นคง
และบ้านเมืองก็ไม่ได้พังฉิบหายแม้แต่น้อย…
และ ดูเหมือนจะกลายเป็นผู้ครอบงำโลก “ให้อยู่ในกำมือได้”
จากแผน War & Peace ของพวก CFR …
และจากการผลิตและใช้ระเบิดมหาประลัย 2 ลูกนั้นแหล่ะ
ส่วน สหภาพโซเวียต …ก็เป็นอีกหนึ่งประเทศ ที่ยังรักษา
สถานภาพของการเป็นมหาอำนาจไว้ได้ …แม้จะบอบช้ำไม่น้อย…
จากการ(ถูกหลอกให้ออกหน้า) ไปรบกับเยอรมันอย่างเข้มข้นและยืดเยื้อ
แต่ สหภาพโซเวียต ก็ยังยืนได้อยู่…และยังมีกองทัพที่เข้มแข็งเหลืออยู่
ในจำนวนมากพอ …ที่จะสามารถควบคุมพวกยุโรป
ที่เหลืออยู่ประมาณครึ่งหนึ่งในตอนนั้นได้
1
การจบสิ้นลง ของระบบต่างๆ ที่เคยใช้อยู่ในยุโรป…
หลังจากสงครามโลกจบสิ้นไปแล้วนั้น…
ทำให้โลกเริ่มแสดงอาการ “แบ่งแยกกัน” ชัดเจนขึ้น
ระหว่าง…บรรดาประเทศ ที่ฝักฝ่าย กับบ้านปากเหม็น…
กับบรรดาประเทศ ที่ฝักฝ่าย กับสหภาพโซเวียต…
ซึ่งเป็น 2 มหาอำนาจ… ที่มีความแตกต่างกัน …
ทางโครงสร้าง องค์ประกอบ และระบบเกือบทุกอย่าง
และนั่น คือการเริ่มต้นของ “สงครามเย็น”
การแข่งขันระดับโลก ของ 2 ระบบการปกครองประเทศ
ที่ได้ดำเนินต่อไป อีกประมาณ 50 ปี…
ระหว่างขั้วอำนาจ …ของฝ่ายบ้านปากเหม็น
กับขั้วอำนาจ …ของฝ่ายสหภาพโซเวียต
บทสรุปสุดท้าย (20/4)
หลังจากสงครามโลกจบสิ้นลง และบรรดาพวกประเทศ
เจ้าของอาณานิคม พากันหงายท้องผลึ่งอย่างหมดท่าไปตามๆกันแล้ว
การเริ่ม “ปลดปล่อย” อาณานิคมให้เป็นอิสระ…
ตามรูปแบบ ที่ CFR วางไว้ …ก็ค่อยๆ เริ่มขึ้นอย่างแนบเนียน
ในปี คศ 1945… บ้านปากเหม็น “รายเดียว” สามารถทำการผลิตสินค้า
ได้ “มากกว่าครึ่งหนึ่ง” ของการผลิตสินค้าของทั้งโลก
และบ้านปากเหม็น ยังสามารถ “ส่งสินค้าออก”ไปขายยังต่างประเทศ
ได้ถึงจำนวน “ 1 ใน 3 “ ของสินค้าทั้งหมดที่มีการส่งออกกัน
อยู่ในตอนนั้น
1
และ บ้านปากเหม็น “ยังมีทองสำรอง” เป็นจำนวนถึง 2 ใน 3
ของจำนวนทองสำรองทั้งหมดของโลก
(มันมีและได้มาจากไหนกัน อย่างมากมายขนาดนั้น !?!)
ทั้งหลายทั้งปวงนั้น …ทำให้บ้านปากเหม็น “มีสถานะ” ใหม่
ที่ใหญ่ยิ่ง “ทั้ง อำนาจ และ ทุน”
อย่างที่ “ไม่เคย” มีชาติใดใหญ่เท่าเทียมเช่นนี้มาก่อนเลย…
1
แบบนี้จะไม่ให้ไอ้พวก CFR มันเชิดหน้า มันอวดดี มันกร่าง ฯลฯ
มาจนถึงปัจจุบันนี้ได้อย่างไร …
เพราะความคิดและฝีมือพวกมัน (ส่วนใหญ่ ) มิใช่หรือ
รัศมีของมหาอำนาจปากเหม็น จริงๆเริ่มฉายแสงสว่างจ้า
เมื่อมีการประชุมที่ Bretton Woods, New Hampshire
ในวันที่ 1 ถึง 22 เดือนกรฏาคม คศ 1945 นั่นแล้ว
โดยมีถึง 44 ประเทศ มาร่วมประชุม…
เพื่อหารือตามโพยของบ้านปากเหม็น ว่าเราควรมีการจัดระเบียบโลก
กันใหม่ เมื่อสงครามโลกครั้งนี้จบลงนะ …
ทั้งนี้ “เพื่อป้องกัน” ไม่ให้มีเรื่องเศรษฐกิจถดถอยเกิดขึ้น
ซึ่งมันอาจนำไปสู่ความขัดแย้ง ระหว่างประเทศขึ้นมาใหม่ได้อีก
ดังนั้น เราจึงควรตั้งหน่วยงานใหม่ขึ้นมา
คือ International Monetary Fund (IMF) และ World Bank…
โดยทั้ง 2 หน่วยงาน จะตั้งอยู่ที่ กรุงวอชิงตัน ดีซี ของบ้านปากเหม็น
และองค์กรทั้ง 2 นี้ …จะมีหน้าที่คอย “ติดตาม” ดูความเคลื่อนไหว
ของการไหลเวียนทางการเงิน “ระหว่าง” ประเทศทั้งหลาย…
รวมทั้ง ให้เงินกู้แก่ประเทศ ที่มีความลำบากเหนื่อยยาก
ทางด้านเศรษฐกิจ
สรุปสั้นๆ …คือ ไอ้ IMF กับ World Bank …
มันทำหน้าที่เหมือนเป็นตำรวจลับ หรือ สายลับ
ผู้ควบคุม การจับจ่ายใช้สรอย ของประเทศทั้งหลายในโลก
หรือ “คุมการเคลื่อนไหว ของทุน ของทั้งโลก”
แบบนี้ ใคร ที่รู้การการเคลื่อนไหวของกระเป๋าใคร
น่าจะได้ปรียบ หรือ เสียเปรียบครับ
ที่ Bretton Woods ยังมีการคุยกันว่า เพื่อให้การแลกเปลี่ยนเงินตรา
ระหว่างกันมีความยุติธรรม …เงินแต่ละสกุล …
จะต้องมีการผูกกับทองสำรอง ของประเทศเจ้าของเงินสกุลนั้นด้วย
และแน่นอน ผู้ที่มีทองสำรองมากที่สุด ก็คือบ้านปากเหม็น…
แบบนี้กระดาษสีเขียวตรานกอินทรี ก็ต้องเป็นที่ต้องการ
ของตลาดทั่วโลก…มากกว่าเงินสกุลอื่น …
และบ้านปากเหม็น และ เงินของบ้านปากเหม็น
ก็กลายเป็นสัญลักษณ์ของความมั่นคงของเศรษฐกิจโลก
หลังสงครามโลกครั้งที่ 2
หลังจากนั้น ในฐานะที่เป็นผู้นำหมายเลขหนึ่ง ของโลกไปแล้ว
บ้านปากเหม็น ก็จัดให้มีการก่อตั้ง องค์การสหประชาชาติ
หรือ United Nations ในปี คศ 1945… โดยมีตัวแทนของประเทศต่างๆ
เข้าร่วมประชุม ถึง 50 ประเทศ…เพื่อสร้างกฏบัตรของ สหประชาชาติ
เพื่อไม่ให้มีการแตกคอก…
1
และสหประชาชาติ ก็ได้ตั้งขึ้นอย่างเป็นทางการ
ในวันที่ 24 ตุลาคม คศ 1945 … โดยมีสำนักงานใหญ่
อยู่ที่บ้านปากเหม็น…แน่นอนอยู่แล้ว
การตั้งสหประชาชาติขึ้นมา …ก็ไม่ต่างกับการที่บ้านปากเหม็น
กวาดเอาชาติต่างๆเข้าไปอยู่ในคอกเดียวกัน …
ใช้กติกาเดียวกัน เหมือนทุกประเทศกลายเป็นหุ่นยนตร์
เลี้ยวซ้าย เลี้ยวขวาเหมือนกัน …ตกถนนหัวร้างข้างแตกเหมือนกัน
เพราะ บ้านปากเหม็น เป็นผู้คุมคอก ทางอ้อม
ผ่านกลไก หลายรูปแบบ ตั้งแต่ อำนาจในการออกเสียงลงคะแนน
หรือการควบคุมเสียงนั่นแหล่ะ รวมไปถึงการตัดสินให้ หรือไม่ให้มีการช่วยเหลือ
ทางด้านเศรษฐกิจ และ ความมั่นคง และ ฯลฯ
แล้วประเทศต่างๆในโลก… หลังสงครามโลกจะเหลืออะไรครับ
ที่เป็น อำนาจ สิทธิ และอธิปไตย …ที่แท้จริงของตนเอง …
ความเป็นประชาธิปไตย…มันเป็นเรื่องจอมปลอม ตอแหล
ห่อหุ้มเอาไว้ ด้วยองค์กรต่างๆ พร้อมกติการ้อยแปด …
ที่บรรดาชาวโลก ที่ยังไม่สร่างจากการสู้รบในสงครามโลก …ตามไม่ทัน…เลยพากันนอนอุ่นอยู่ในหม้อต้ม …ที่เรียงกันเป็นตับ
1
นอกจากนี้ พ่อพระปากเหม็นยังมีความสงสารเห็นใจอย่างยิ่ง
กับบรรดาประเทศที่ฉิบหายยับจากการทำสงคราม…
ก็เลยตัดสินใจแน่วแน่ อย่างไม่มีการรวนเรกันอีกแล้ว
ว่าไอ้นโยบายอยู่โดดเดี่ยวไม่ยุ่งกับใครนั่น “เราไม่เอาแล้วนะ”
มันไม่ใช่เป็นการแสดงความห่วงใย และใจกว้าง
ต่อเพื่อนร่วมโลกเลยนี่นา
เราเป็นมหาอำนาจใหญ่ยิ่งอย่างนี้ …เรายิ่งต้องแสดง…
ความเมตตาปราณี ให้ชาวโลกเห็นอย่างชัดเจน
แล้วบ้านปากเหม็น ก็ตั้งโครงการใหม่เอี่ยม …
ชื่อ European Recovery Plan หรือ ERP …
และปั้มเงินใส่ในโครงการนี้ จำนวน 13 พันล้านเหรียญ
เพื่อให้ชาวยุโรป “ตะวันตก” เอาไปซ่อมบ้านซ่อมเมือง
ผู้ที่ได้รับมอบหมายให้ไปดูแลโครงการนี้
คือ ท่าน รมต ตปท ในตอนนั้น คือ นาย George Marshall
โครงการดังกล่าวจึงเป็นที่รู้จักกัน ในชื่อ “Marshall Plan”
แต่ในความเป็นจริง โครงการดังกล่าวนั้น เน้นที่จะช่วยบ้านเมือง
ที่ฉิบหายรีบซ่อมบ้าน หลังจากนั้น ก็จะได้เดินหน้ารีบผลิตสินค้า
กลับมาค้าขายกันเองใหม่…คนเราค้าขายกันดีๆ รวยๆ …
ใครมันจะอยากไปรบกัน จริงมั้ย …ท่าน Marshall ท่านว่าอย่างนั้น
แต่ที่ท่าน Marshall ไม่ได้แจง คือ ในการซ่อมบ้านแปงเมือง
ของพวกยุโรปนั้น …วัตถุดิบต่างๆ…ที่ใช้ในการซ่อมในการสร้าง
รวมทั้งใช้ผลิตสินค้า เพื่อส่งไปขายกันเองในยุโรปนั้น…
มันมาจากไหนกัน …
ท่านผู้ อ่านคงพอจำกันได้ ถึงเรื่อง “บริเวณ”
ที่ พวก CFR ทำการบ้านไว้
บริเวณที่มีวัตถุดิบสำคัญ ที่เหมาะสำหรับใช้ในช่วงทำสงคราม
และ หลังสงคราม ก็ คือบริเวณเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ …
หรือ บริเวณแถวบ้านเรานี่ล่ะครับ
ที่ดกไปด้วยอาณานิคมของเกาะนิ้วก้อย และ ของพวกยุโรปอื่นๆ
แล้วเรื่องอาณานิคมของเกาะนิ้วก้อย …ก็เลยต้องไปปรากฏ
อยู่ในข้อตกลงการให้เงินกู้ …ระหว่าง ไอ้ปากเหม็นกับไอ้เกาะนิ้วก้อยด้วย
ซึ่งไอ้ปากเหม็นมันระบุไว้ว่า ถ้าอยากได้เงินกู้ไปซ่อมบ้านเมือง
และทำการค้าขาย …ก็ต้องจัดการปลดปล่อย พวกอาณานิคม
ของตัวเองให้เป็นอิสระด้วย
ฟังดู ดี๊ ดี …ดี ฉิบหายเลย
เสร็จแล้วบรรดาพวกอาณานิคมเหล่านั้น รวมทั้งเพื่อนบ้าน(อย่างเรา)
ก็ถูกรวบไปตกอยู่ใน “อำนาจ”ของใคร ในรูปแบบไหน ด้วยวิธีการใด
หวังว่าท่านผู้อ่านคงมองออกเข้าใจแล้ว
(ถ้ายังมองไม่ออก รบกวน ไปอ่านนิทานเรื่อง “จิ๊กโก๋ปากซอย”
นิทานเรื่องแรกของผม …เล่าไว้แล้วครับ โดยเฉพาะเกี่ยวกับบ้านเรา)
1
โครงการ Marshall Plan เหมือนดูดี แต่มีเหลี่ยมซ่อนพราว…
แค่นั้นก็น่าทุเรศพอแล้ว …แต่จริง ๆ โครงการนี้ มันคือตัวการร้าย…
ในการสร้างการแข่งขัน และการแบ่งพวก…
ระหว่าง พวกยุโรปฟากตะวันตก …ที่บ้านปากเหม็นอุ้ม…
กับ พวกยุโรปฟากตะวันออก …ที่เป็นเพื่อนกับสหภาพโซเวียต
และการแตกแยกเกี่ยวกับระบอบการปกครอง…
ระหว่าง ทุนนิยมเสรี กับ ระบอบคอมมิวนิสต์ …
ก็เริ่มมีช่องว่างระหว่างกันมากขึ้นไปเรื่อยๆและขยายออกมา
นอกบริเวณยุโรป …ข้ามมาถึงทวีปเอเซีย…
บทสรุปสุดท้าย (20/5)
หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 จบสิ้นลง… บ้านปากเหม็นส่งท่านนายพล
Douglas MacArther ซึ่งเป็นผู้บัญชาการสูงสุดของกลุ่มพันธมิตร
(Supreme Commander of Allied Power หรือ SCAP) ประจำอยู่ที่ญี่ปุ่น
เมื่อมีข่าวว่า “อาจ” มีการปฏิวัติของจีนคอมมิวนิสต์เกิดขึ้น
ทาง SCAP ก็รีบเร่งให้ญี่ปุ่นสร้างงานด้านอุตสาหกรรม ในแนวทาง
ที่ “ไม่ใช่” … เป็นการสร้างเสริมความแข็งแกร่งทางด้านการทหาร
เดี๋ยวเกิดจะมีการเอาอย่าง พวกจีนคอมมิวนิสต์ขึ้นมาบ้าง
แต่เรื่องจริง มันเหมือนจะคนละเรื่องกัน
วิธีการคิดของบ้านปากเหม็น …มันสุดแสนแสบจริงๆ
จริงๆ มันคือ “การยึด” เอากิจการของพวกเจ้าพ่อทางธุรกิจ
หรือ พวก zaibatsu ของญี่ปุ่น…เอามาไว้ในกำมือ…
พร้อมควบคุมตระกูลใหญ่ๆ ของญี่ปุ่น ที่ครอบงำอุตสาหกรรมต่างๆนั้น
โดยบีบให้ตระกูลใหญ่เหล่านั้น …ซึ่งหลายครอบครัว
ดูเหมือนจะเป็นตัวแทนของ องค์จักรพรรดิ์ญี่ปุ่นด้วยซ้ำ
ไปทำมาค้าขายในธุรกิจเล็กๆ หรือ ไปทำนา ทำฟาร์มแทน
หลังจากนั้น ก็มีการอ้างว่า มาตรการทำนองนั้น…
จะยิ่งทำให้ความนิยมการปกครองแบบคอมมิวนิสต์เกิดขึ้น
ในญี่ปุ่นเอาด้วยซ้ำ แถมจะลามไปถึงเกาหลีเอาด้วย
เหตุ และ ผล มันไม่ไปกันเลยนะ
ความต้องการจริงของไอ้ปากเหม็นมัน คือการ “บีบ”
ให้พวกตระกูลใหญ่ๆ เหล่านั้น ต้องมาทำข้อตกลง “อีกรอบ”
กับบ้านปากเหม็น เพื่อแลกเปลี่ยนอะไรกันอีกหลายอย่าง
และก็เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้อุตสาหกรรมของญี่ปุ่น (ปลอม?!?)…
เจริญก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว
อะไรๆที่บ้านเราใช้ …ก็ทำและส่งมาจากญี่ปุ่นทั้งนั้น …
แปลว่า ปฏิบัติการตามแผน Grand Area ในส่วนของยุโรป
เรียบร้อยดีมาตลอด จนถึงเอาญี่ปุ่นมาอยู่ในกำมือได้เรียบร้อยอีกด้วย
“ยังเหลือ” เรื่องเกี่ยวกับบริเวณเอเซียตะวันออกเฉียงใต้
หรือบริเวณที่เป็นส่วนสำคัญ ที่ตามแผนของ CFR …
ต้องการใช้วัตถุดิบเพื่อนำไปสร้างความร่ำรวย หรือ ทุน ของตน
ที่กำลังจะเกิดขึ้นตามแผนของ CFR ทุกประการ
แต่แล้วสงครามเกาหลี (ระหว่างเกาหลีเหนือกับเกาหลีใต้)
ก็เกิดขึ้นจริงๆ
และก็จะยังมีสงครามเวียดนาม ตามมาอีกด้วย
ซึ่งก็เป็นส่วนหนึ่ง ของแผน CFR ที่จะใช้เป็นช่องทาง
ในการเข้ามาครอบครอง บริเวณเอเซียตะวันออกเฉียงใต้
เพื่อมา “ตั้งหม้อต้ม” เอาวัตถุดิบในบริเวณนี้ ไปใช้ในราคาถูก หรือได้เปล่า
และต่อมาการตั้งหม้อต้ม …ก็ลามเลี้อยไปเอาถึง วัตถุดิบ หรือ น้ำมัน
ในตะวันออกกลาง …เป็นไปตามแผน ของ CFR อีกเช่นกัน
สวัสดีครับ
จาก คนเล่านิทาน
23 มกราคม 2567
เชิญแชร์กันตามสบาย ถ้าไม่ใช่เพื่อการค้า และโปรดให้เครดิตด้วย
ภาพประกอบจากกูเกิล
โฆษณา