28 ม.ค. เวลา 01:00 • หุ้น & เศรษฐกิจ

อินทรีจิกตีมังกร

แม้จะเมกาจะเผชิญกับปัญหารุงรัง ไม่ว่าจะสงครามยูเครน หรือเรื่องอิสราเอล-ฮามาส แต่ในเรื่องความเป็นหนึ่งระหว่างอเมริกาและจีน ถ้าวัดจากด้านเศรษฐกิจ ชีก็ยังเหนือกว่า โดย GDP ในปี 2023 ของอเมริกา อยู่ที่ 26.95 ล้านล้านเหรียญ ขณะที่จีนมี GDP 17.7 ล้านล้านเหรียญ ซึ่งถือเป็นส่วนต่างมากสุดนับตั้งแต่ปี 2010 เลยทีเดียว
1
และถ้าวัดจากตัวเลขอื่นๆ เมกาก็ยังเหนือกว่าอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็น มูลค่า Wealth โดยรวมของเมกาที่ 140 ล้านล้านเหรียญ ส่วนจีน 85 ล้านล้านเหรียญ ในปี 2022 โดยมันยิ่งห่างมากขึ้นต่อเนื่องกันสองปีแล้ว
1
ด้านตัวเลขการผลิตน้ำมัน เมกาผลิตได้ 11.9 ล้านบาเรลต่อวัน ส่วนจีนผลิตได้แค่ 4.1 ล้านบาเรลต่อวัน นับว่าอเมริกามีกำลังการผลิตน้ำมันเป็นสองเท่าของจีน
1
เมื่อมองตัวเลขหนี้ เมกา ที่ว่าหนักแล้ว เพระตัวเลขปูดไปถึง 253% ของ GDP แต่หนี้พี่จีนฉ่ำกว่าที่ 307% และอีกด้านที่เมกายังนำจีนอย่างต่อเนื่องก็คือการลงทุนด้านการวิจัยและพัฒนา เพราะทุ่มไปถึง 886 พันล้านเหรียญ ถือเป็นสองเท่าของจีนเลยทีเดียว
2
ส่วนด้านที่จีนเหนือกว่า แต่กลับไม่ถือว่าเป็นเรื่องดีทางด้านเศรษฐกิจสักเท่าไหร่ นั่นก็คือ อายุเฉลี่ยของประชากรที่สูงขึ้น บ่งบอกถึงการเข้าสู่สังคมผู้สูงวัย ในขณะที่ตัวเลขประชากรโดยรวมกลับลดลงเรื่อยๆ โดยคาดว่าจำนวนประชากรจีนจะลดลงไปครึ่งนึงในอีกร้อยปีข้างหน้า ในขณะที่จีนเองต้องแบกรับค่าใช้จ่ายที่สูงขี้นในการดูแลประชากรที่อายุมากขึ้น
1
และแม้ว่าจีนจะปฏิรูปประเทศทางด้านตลาดทุนให้มีความเสรีมากขึ้น ส่งผลให้การผลิตเติบโต แต่การดำเนินนโยบายทางการเมืองที่เข้มงวดของพี่สี จิ้นผิง ก็ส่งผลในด้านลบต่อเศรษฐกิจ ด้วยเหตุนี้ทำให้หลายๆคนคาดว่า จีนน่าจะตามเมกาไม่ทันทางด้านเศรษฐกิจ ในช่วงสิบปีที่จะถึงนี้
1
แต่นั่นก็เหอะ ถึงแม้จากตัวเลขทางเศรษฐกิจของเมกาจะดูเหนือกว่าจีน แต่ก็ต้องยอมรับว่าจีนก็ร้ายไม่เบาในการขยายอิทธิพลไม่ว่าจะเรื่องการค้า หรือการลงทุนที่หลอกล่อให้หลายประเทศมากู้ แล้วพอประเทศไหนจ่ายไม่ไหว พี่จีนก็ใจดี บอกว่าไม่จ่ายไม่เป็นไรนะ แลกกับสัมปทาน 100ปี ด้วยราคาย่อมเยาแทนละกัน โดยเฉพาะในแถบประเทศกำลังพัฒนา และประเทศด้อยพัฒนา ซึ่งการขยายอิทธิพลของจีนเนี่ย มันได้โชคหลายต่อมาก ไม่ว่าจะเป็น Support ในเวทีสากล หรือแม้กระทั่งด้านเศรษฐกิจ
6
เพราะยิ่งนางแผ่อิทธิพลได้มากขึ้น นางก็ยิ่งขายของจากประเทศนางได้เยอะขึ้น ดูอย่างรถไฟฟ้าสิ BYD ก็คือแซง Tesla ไปแล้ว ซึ่งความมาแรงของ BYD มันฟาดมากจน Elon ต้องบอกเลยว่าถ้าไม่ใช้มาตรการตั้งกำแพงภาษีน่ะ ผู้ผลิตรถไฟฟ้าจากประเทศอื่นได้ตายกันหมดแน่ เพราะอะไรน่ะหรอ ก็ BYD นางขายรถได้มาก จนได้ Economy of scale อารมณ์ก็คือยิ่งขายได้จำนวนมากๆ ต้นทุนต่อการผลิตรถ1คันก็คุ้มไง
2
ไอ้เรื่องการตั้งกำแพงภาษีเนี่ยนะ เอาจริงๆ เราก็เห็นหลากหลายประเทศมากเคยใช้ หรือบางประเทศก็ยังใช้อยู่ อย่างของไทยเคยเห็นใช้กันหนักๆก็ช่วง จอมพล ป. แต่อิฉันจำไม่ได้ละว่านางใช้กับอุตสาหกรรมไร แต่ก็นั่นแหละ การตั้งกำแพงภาษีนำเข้าสินค้าของประเทศอื่นให้แพงๆ เพื่อที่สุดท้ายอุตสาหกรรมนั้นๆของประเทศตัวเองจะได้อยู่ได้....ฟัง Concept แล้วอาจจะไม่ถูกใจสาวกเปิดเสรีทุนนิยมสักเท่าไหร่ แต่อิฉันก็เห็นว่า การจะตั้งไข่บางอย่างในประเทศ ให้เรียนรู้ ให้ทำตลาด จนสามารถอยู่ได้ด้วยตนเองเนี่ย มันก็สำคัญมากเหมือนกันนะ
3
โฆษณา